กรุงเทพฯ--17 มิ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถด้วยผลงานที่ได้รับการยอมรับ ตลอดจนฐานะทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง สภาพคล่องที่เพียงพอ และรายได้ที่สม่ำเสมอจากธุรกิจจัดการกองทุน อันดับเครดิตยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการทางการเงินที่ดีขึ้นในปี 2553 อันเนื่องมาจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงไปบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งจากความไม่แน่นอนของตลาดหลักทรัพย์และความเสี่ยงทางการตลาดที่ไม่อาจคาดเดาได้จากการลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารหนี้ของบริษัท ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความไม่แน่นอนที่จะเกิดจากความเสี่ยงด้านนโยบายการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2555 ด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และยังคงมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากการบริหารกองทุนของ บลจ. วรรณ ได้ต่อไปแม้ว่าสภาพคล่องและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีความผันผวนเป็นอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการลงทุนในหลักทรัพย์ การให้สินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ ได้ด้วย โดยคาดว่าการขยายธุรกิจจะกระทำได้โดยไม่ทำให้ฐานเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 จะไม่ส่งผลกระทบในเชิงลบที่รุนแรงและฉับพลันต่อธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวม
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) มีขนาดของสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับ 1 ในบรรดาบริษัทหลักทรัพย์ในตลาดทั้งสิ้น 34 แห่ง โดยเพิ่มขึ้นจาก 8,059 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2552 เป็น 11,172 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2553 และ 13,434 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสินทรัพย์มีสาเหตุหลักมาจากการลงทุนในหลักทรัพย์และเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น โดยการลงทุนในหลักทรัพย์บางส่วนเป็นการลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยงจากการขายใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ในหุ้นสามัญ อย่างไรก็ตาม เกือบ 90% ของการลงทุนของบริษัทเป็นหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง อาทิ พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นสามัญจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ให้บริการครอบคลุมทั้งธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ วาณิชธนกิจ ตลอดจนธุรกิจการค้าและการลงทุนในหลักทรัพย์ บริษัทยังให้บริการบริหารกองทุนผ่านทางบริษัทลูกที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 98% คือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ด้วย บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2551 ถึงเดือนเมษายน 2554 โดยเพิ่มขึ้นจาก 3.8% ในปี 2551 (อันดับที่ 11) เป็น 4.7% ในปี 2553 (อันดับที่ 4) และ 5.2% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2554 (อันดับที่ 2) นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทั้งที่เป็นสัญญา Futures และ Options โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด 5.6% ในปี 2553 ด้วย
ในส่วนของธุรกิจวาณิชธนกิจนั้นบริษัทยังไม่สามารถสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมที่มากพอ อย่างไรก็ตาม บลจ. วรรณ ซึ่งเป็นบริษัทลูก ยังคงสร้างรายได้ในระดับที่ดีและสม่ำเสมอ โดยรายได้จากธุรกิจจัดการกองทุนคิดเป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญต่อรายได้รวมของบริษัทในสัดส่วน 14% ในปี 2552 และ 8% ในปี 2553
บริษัทยังคงมีการลงทุนในหลักทรัพย์ในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รวมของบริษัท (17% ในปี 2553 ลดลงจาก 32% ในปี 2550) การลงทุนในหลักทรัพย์นอกจากจะสร้างรายได้ในรูปของกำไรจากเงินลงทุน ดอกเบี้ย และเงินปันผลแล้ว บริษัทยังสามารถใช้ประโยชน์จากหลักทรัพย์ที่บริษัทลงทุนบางส่วนด้วยการออกผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์ชนิดใหม่ ๆ รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขวางยิ่งขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหลักทรัพย์ดังกล่าวก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงทางการตลาดเพิ่มขึ้นด้วย
บริษัทเป็นผู้นำในการริเริ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดทุน โดยในเดือนมิถุนายน 2552 ได้เสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ในหุ้นสามัญเป็นครั้งแรกในประเทศไทยซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์และสถานะทางการตลาดให้แก่บริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถขายใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ในหุ้นสามัญได้อีกหลายชุดในระหว่างครึ่งหลังของปี 2552 และตลอดปี 2553 ณ เดือนธันวาคม 2553 ยอดคงค้างของใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนมีมูลค่าถึง 2,112 ล้านบาท ซึ่ง 37% เป็นตราสารที่ออกโดยบริษัท
ผลจากการที่ตลาดหลักทรัพย์ฟื้นตัวทำให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รายวันโดยเฉลี่ยในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 16,118 ล้านบาทในปี 2551 เป็น 18,226 ล้านบาทในปี 2552 และ 29,066 ล้านบาทปี 2553 ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการประกาศบังคับใช้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์แบบขั้นบันได โดยนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อขายหลักทรัพย์สามารถต่อรองค่าธรรมเนียมอย่างเสรีในส่วนของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อวันซึ่งเกิน 20 ล้านบาท ในปี 2553 อัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยของบริษัทอยู่ในระดับ 0.146% ซึ่งลดลงจากระดับ 0.228% ในปี 2552 แม้ว่าการแข่งขันระหว่างนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จะรุนแรงและมีการใช้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์แบบขั้นบันไดในปี 2553 ก็ตาม แต่รายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 839 ล้านบาทในปี 2553 จาก 571 ล้านบาทในปี 2552
บริษัทรายงานผลกำไรสุทธิ 752 ล้านบาทในปี 2553 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจาก 242 ล้านบาทในปี 2552 ส่วนกำไรสุทธิในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2554 มีจำนวน 112 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมอยู่ในระดับ 47% ในปี 2553 ลดลงจาก 63% ในปี 2552 ในแง่ของอัตราการก่อหนี้นั้น บริษัทมีอัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.23 เท่าในปี 2553 เพิ่มขึ้นจาก 1.78 เท่าในปี 2552 เนื่องจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของสินทรัพย์รวมในปี 2553 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารที่เพียงพอต่อการขยายธุรกิจได้ในอนาคตหากมีความจำเป็น ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KGI)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ rapee@tris.co.th โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500