กรุงเทพฯ--13 มี.ค.--ตลท.
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 225 บริษัท จากทั้งหมด 462 บริษัท หรือร้อยละ 48.70 (ไม่รวมกลุ่ม NC และ NPG) ประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี 2549 รวม 178,450 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ถึงร้อยละ 10.37 โดยมี Dividend Yield เท่ากับร้อยละ 4.40 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีก่อน เผยกลุ่มที่มี Dividend Yield สูงสุด 5 อันดับแรก คือ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มทรัพยากร
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ณ วันที่ 1 มีนาคม 2550 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 225 บริษัท หรือร้อยละ 48.70 ของบริษัทจดทะเบียน 462 บริษัท ประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี 2549 โดยมีมูลค่าเงินปันผลที่ประกาศจ่ายรวมกันสูงถึง 178,450 ล้านบาท เป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10.37 เมื่อเทียบกับปี 2548 ซึ่งอยู่ที่ 161,680 ล้านบาท และเมื่อคิดเงินปันผลเทียบกับราคาหลักทรัพย์แล้วจะเห็นว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ที่ร้อยละ 4.40 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2548 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 4 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ทั้งนี้ ไม่รวมบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ บจ.กลุ่มที่ เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน (Non-Compliance:NC) และกลุ่มที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (Non-Performing Group : NPG)
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มี Dividend Yield สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. กลุ่มเทคโนโลยี มี Dividend Yield เท่ากับร้อยละ 8.18 โดยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มี Dividend Yield เท่ากับร้อยละ 8.21 รองลงมาคือ หมวดชิ้นส่วนอิเลคโทรนิกส์ เท่ากับร้อยละ 7.99
2. กลุ่มวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรม มี Dividend Yield เท่ากับร้อยละ 5.81 โดยหมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร มี Dividend Yield สูงสุดเท่ากับร้อยละ 10.23 รองลงมาคือ หมวดบรรจุภัณฑ์ เท่ากับร้อยละ 6.31
3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง มี Dividend Yield เท่ากับร้อยละ 5.01 โดยหมวดวัสดุก่อสร้าง มี Dividend Yield สูงสุดเท่ากับร้อยละ 5.84 รองลงมาคือ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เท่ากับร้อยละ 3.55
4. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค มี Dividend Yield เท่ากับร้อยละ 4.84 โดยหมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน มี Dividend Yield สูงสุดเท่ากับร้อยละ 7.70 รองลงมาคือ หมวดแฟชั่น เท่ากับร้อยละ 4.25
5. กลุ่มทรัพยากร มี Dividend Yield เท่ากับร้อยละ 4.36 โดยหมวดเหมืองแร่ มี Dividend Yield สูงสุดเท่ากับร้อยละ 12.76 รองลงมาคือ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค เท่ากับร้อยละ 4.30
หากพิจารณามูลค่าเงินปันผลที่จ่ายจะพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มบริการ
โดยกลุ่มทรัพยากร มีมูลค่าเงินปันผลที่จ่ายรวม 62,536 ล้านบาท นับเป็นหมวดที่มีมูลค่าการจ่ายเงินปันผลสูงสุดในปี 2549 โดยบมจ.ปตท. ( PTT ) เป็นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลเป็นมูลค่ารวมสูงสุดถึง 29,413 ล้านบาท โดยจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 10.50 บาท มี Dividend Yield เท่ากับร้อยละ 5.04
ในขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง มีมูลค่าเงินปันผลจ่ายเป็นอันดับสองรวม 31,934 ล้านบาท โดย บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) จ่ายปันผลสูงสุดในกลุ่มนี้รวมมูลค่า 18,000 ล้านบาท โดยจ่ายในอัตราหุ้นละ 15 บาท มี Dividend Yield เท่ากับร้อยละ 6.47
ส่วนกลุ่มเทคโนโลยี มีมูลค่าเงินปันผลจ่ายเป็นอันดับสามรวม 31,236 ล้านบาท ซึ่งในหมวดนี้ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ (ADVANC) มีมูลค่าเงินปันผลจ่ายสูงสุด 18,607 ล้านบาท โดยจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 6.30 บาท มี Dividend Yield เท่ากับร้อยละ 8.63
สำหรับกลุ่มธุรกิจการเงิน มีมูลค่าเงินปันผลจ่ายเป็นอันดับสี่รวม 18,860 ล้านบาท ซึ่งในหมวดนี้ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มีมูลค่าเงินปันผลจ่ายสูงสุด 4,174 ล้านบาท โดยจ่ายในอัตราหุ้นละ 1.75 บาท มี Dividend Yield เท่ากับร้อยละ 2.73 และกลุ่มบริการ มีมูลค่าเงินปันผลจ่ายเป็นอันดับห้ารวม 14,709 ล้านบาท นำโดย บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) มีมูลค่าจ่ายเงินปันผลรวมสูงสุด 2,571 ล้านบาท โดยจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 2.75 บาท มี Dividend Yield เท่ากับร้อยละ 2.98
ทั้งนี้ ยังมีบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาจ่ายเงินปันผล และจะทยอยประกาศมาให้ทราบเป็นระยะซึ่ง ผู้ลงทุนสามารถติดตามข้อมูลการจ่ายปันผลได้จากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ www.set.or.th และเว็บไซต์บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด ที่ www.settrade.com