กรุงเทพฯ--12 ก.ค.--สวรส.
นักวิจัยเผยหญิงมุสลิมเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมระยะรุนแรงสูง เหตุไม่มีการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง ด้วยกลัวผิดหลักศาสนา และวิถีชีวิตไม่สอดคล้องกับการร่วมกิจกรรมสาธารณสุข ชี้แนวทางส่งเสริมความรู้ต้องเริ่มจากความเข้าใจของผู้นำชุมชน และค่อยๆ ขยายสู่ชาวบ้าน พร้อมทั้งสร้างผู้สื่อสารสุขภาพและสื่อทำให้เข้าใจได้ง่าย ระบุหลังใช้โปรแกรมเสริมสร้างความรู้ สถิติการตรวจเต้านมด้วยตัวเองของหญิงมุสลิมเพิ่มขึ้นจาก 18% เป็น 92%
มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่สามารถตรวจพบได้ด้วยตัวเอง แต่ปัจจุบันพบว่ายังมีผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมมากเป็นอันดับสอง รองจากมะเร็งปากมดลูก และมักพบในระยะที่รุนแรง ฉะนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการรณรงค์ให้ผู้หญิงไทยรู้จักการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถพบมะเร็งเต้านมได้ในระยะแรก ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตในช่วง 5 ปีหลังจากพบว่าเป็นมะเร็ง และช่วยลดความทุกข์ทรมานของโรค เพราะหากมีการกระจายของมะเร็งไปสู่อวัยวะอื่นๆ จะทำให้ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อน และเจ็บปวดมากขึ้น
ดร.หทัยรัตน์ แสงจันทร์ ภาควิชาการพยาบาลศัลยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันแม้จะมีการรณรงค์ให้ผู้หญิงตรวจเต้านมอย่างต่อเนื่อง แต่พบว่าผู้หญิงบางกลุ่มยังมีข้อจำกัดในการรับข้อมูลข่าวสารจากการรณรงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้หญิงมุสลิม ซึ่งจากการสถิติผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมในประชากรภาคใต้ โดยโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ พบแนวโน้มของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น จาก 14.8 คน ต่อ 1 แสนคน ในปี 2542 มาเป็น 16.1 คน ต่อ 1 แสนคน ในปี 2548 โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นช่วงอายุที่น้อยลง นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในระยะที่ 2 -3 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการตรวจเต้านมในผู้หญิงภาคใต้ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ยังมีการปฏิบัติอยู่น้อย และผู้หญิงที่มาพบแพทย์มักมีอาการก่อนจึงค่อยมารับการตรวจ ทำให้การรักษาล่าช้าและผู้ป่วยต้องทนเจ็บป่วยทรมานมากขึ้น
เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงได้สนับสนุนให้มีการทำวิจัยเรื่อง “การเสริมสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม การรับรู้สมรรถนะแห่งตน และการปฏิบัติการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีไทยมุสลิม โดยใช้รูปแบบการสอนที่สอดคล้องกับวัฒนธรรม ในชุมชนตัวอย่างตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา” เพื่อหาสาเหตุและข้อจำกัดที่ทำให้หญิงมุสลิมไม่สามารถเข้าถึงสื่อการรณรงค์ รวมทั้งหารูปแบบการให้ความรู้ที่ทำให้หญิงมุสลิมสามารถปฏิบัติการตรวจเต้านมด้วยตัวเองได้
“จากการเข้าไปศึกษาในชุมชนมุสลิม ทำให้ทราบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้หญิงมุสลิมไม่สามารถเข้าถึงสื่อการรณรงค์ได้ เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการปฏิบัติตามหลักศาสนา เพราะโดยปกติศาสนาอิสลามจะมีหลักเรื่องการปกปิดอวัยวะ โดยเฉพาะอวัยวะที่เป็นสื่อทางเพศ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แผ่นพับให้ความรู้เรื่องการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง และมะเร็งเต้านมมักมีรูปภาพของผู้หญิงเปลือยอก ทำให้ผู้หญิงมุสลิมไม่กล้าหยิบแผ่นพับมาอ่าน และไม่ได้รับข่าวสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ประกอบกับท่าทางของการตรวจเต้านมต้องมีการคลำและเปิดเต้านมดูในกระจก หญิงชาวมุสลิมจึงเกรงว่าการกระทำเช่นนี้อาจผิดต่อหลักศาสนา นอกจากนี้ วิถีชีวิตของชาวมุสลิมภาคใต้ ที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนยางพารา ทำให้ต้องตื่นแต่เช้ามืดไปกรีดยาง กว่าจะเสร็จงานก็กินเวลาไปถึงช่วงสายหรือเที่ยง และหลังจากนั้นจะต้องทำงานบ้าน ทำอาหาร เลี้ยงลูก จึงไม่มีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์ที่โรงพยาบาลหรือสาธารณสุขจัดให้ได้”
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การรณรงค์เข้าถึงกลุ่มหญิงมุสลิมมากขึ้น จึงได้จัดทำโปรแกรมการเสริมการรับรู้กับประชาชน ซึ่งเป็นการรณรงค์เชิงรุกให้ผู้หญิงในชุมชนมุสลิมมีการรับรู้และปฏิบัติการตรวจเต้านมมากขึ้น โดยในขั้นแรกอาศัยผู้นำศาสนาเป็นผู้ที่เปิดประตูการเรียนรู้และการปฏิบัติให้กับผู้หญิงในชุมชน หากมีคำยืนยันจากผู้นำศาสนาว่า กิจกรรมการตรวจมะเร็งเต้านมเป็นกิจกรรมเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ ไม่ขัดต่อหลักศาสนา แล้ว อาสาสมัครหญิงจะทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าว โดยนำความรู้ที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ไปสื่อสารกับคนในชุมชนในรูปแบบของสื่อต่างๆ อาทิ สื่อสิ่งพิมพ์ที่มีเนื้อหาของการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง โดยนำแผ่นพับดังกล่าวมาแปลเป็นภาษาที่ผู้หญิงในชุมชนสามารถเข้าใจได้ง่าย และสื่อประกอบการเรียนรู้ หรือ โมเดลเต้านม ที่มีสัมผัสเหมือนเต้านมจริง เพื่อให้รู้จักวิธีการคลำที่ถูกต้อง และสัมผัสถึงส่วนที่มีความผิดปกติได้จริง โดยการเข้าไปหากลุ่มหญิงมุสลิมในชุมชนจะเข้าไปในช่วงบ่าย ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้หญิงจะมีการรวมกลุ่มพูดคุยและทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน อาสาสมัครหญิงจะเข้าไปชวนคุย และชี้ให้เห็นความสำคัญของการตรวจเต้านม เมื่อหญิงมุสลิมเริ่มมีการยอมรับ ทีมวิจัยจะให้ความรู้โดยการให้อ่านแผ่นพับที่จัดทำขึ้น และให้ฝึกคลำร่วมกัน ซึ่งการฝึกจะมีขึ้นทุกเดือนเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยในการคลำ
“การเก็บข้อมูลหลังจากจบโปรแกรมเสริมสร้างความรู้ไปแล้ว 3 เดือน พบว่าการรับรู้เรื่องการตรวจเต้านมตัวเองในผู้หญิงมุสลิมดีขึ้น สามารถตรวจเต้านมด้วยตัวเองได้ และมีการปฏิบัติจริงทุกเดือน จากเดิมที่มีการตรวจเต้านมด้วยตัวเองเพียง 18% แต่ภายหลังจากร่วมกิจกรรมแล้วมีการตรวจเต้านมด้วยตัวเองถึง 92% แสดงให้เห็นว่าการสร้างการรับรู้ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมจะทำให้มีการรับรู้และการปฏิบัติตามดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการติดตามผลกิจกรรมครั้งนี้จะไม่จบอยู่ที่ 3 เดือน แต่จะมีการติดตามผลติดต่อไปอีก 1 ปี เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของกิจกรรม และในอนาคตทีมวิจัยมีแนวคิดว่าจะนำโปรแกรมดังกล่าวไปใช้กับชุมชนมุสลิมอื่น เพื่อให้มีการตรวจเต้านมด้วยตัวเองอย่างแพร่หลาย”
ดร.หทัยรัตน์ กล่าวต่อว่า การตรวจเต้านมด้วยตัวเองควรเริ่มทำตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป โดยตรวจเต้านมทุกเดือน หลังจากหมดประจำเดือนไป 3 วัน การตรวจทุกเดือนจะทำให้เกิดความคุ้นเคยกับเต้านม และสามารถรับรู้ความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ สำหรับผู้หญิงที่อายุ 35-40 ปี นอกจากตรวจเต้านมด้วยตัวเองแล้ว ควรเพิ่มการตรวจแมมโมแกรม หรือตรวจโดยแพทย์ ปีละ 1 ครั้ง และในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจแมมโมแกรมบ่อยขึ้น ทั้งนี้ หากผู้ใดสนใจข้อมูลและการตรวจที่ถูกวิธี สามารถหาข้อมูลได้ที่เว็บไซด์ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ หรืออาจค้นหาด้วยคำว่า breast self examination ซึ่งท่านจะพบข้อมูลดังกล่าวจำนวนมาก
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)
โทร.0-2270-1350-4 ต่อ105 email:prhsri@hotmail.com