กรุงเทพฯ--27 มิ.ย.--บลจ.บัวหลวง
ผู้บริหาร บลจ.บัวหลวง ร่วมแถลงแนวทางการดำเนินงานของบริษัท ใน 3 กลุ่มธุรกิจ พร้อมโชว์ผลงานการบริหารกองทุนหุ้นที่ยอดเยี่ยม ที่ยึดหลักการลงทุนตามปรัชญาที่เน้นการลงทุนตามปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เชื่อมั่นปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในระยะยาวยังดีอยู่ เชื่อหลังเลือกตั้งความผันผวนของตลาดหุ้นจะเป็นช่วงสั้น แนะผู้ลงทุนศึกษาหาความรู้และลงทุนให้เหมาะสมกับตนเอง มากกว่ามุ่งเป้าผลตอบแทนสูงเพียงอย่างเดียว
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (บลจ.บัวหลวง) ร่วมกับผู้บริหารของบริษัท แถลงผลการดำเนินงานของธุรกิจกองทุน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนบุคคล โดยกล่าวว่า ณ เดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา บลจ.บัวหลวง มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารรวม 3 กลุ่มธุรกิจ อยู่ที่ประมาณ 194,465 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนรวม 161,349 ล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 26,409 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคล 6,707 ล้านบาท และกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจกองทุนว่า แนวโน้มการแข่งขันจะมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ตรงใจมากขึ้น โดยผู้ลงทุนจะมีทางเลือกมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องให้ความรู้กับคนไทย ให้อยู่ในระดับอ่านออกเขียนได้ทางการเงิน และเข้าใจเรื่องการบริหารเงินส่วนบุคคล เพื่อให้สามารถหาวิธีจัดการด้านการเงินของตนเองได้อย่างเหมาะสม
“บลจ.บัวหลวง ให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลมาโดยตลอด พยายามให้ข้อแนะนำผู้ลงทุนให้รู้จักตนเอง รู้ว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหน รู้จักการจัดพอร์ตลงทุน และรู้จักทางเลือกต่างๆ ในการลงทุนโดยเฉพาะกองทุนรวมว่า มีคุณประโยชน์อย่างไรบ้าง เราพยายามเผยแพร่เรื่องต่างๆ เหล่านี้ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มลูกค้าธนาคารกรุงเทพ สื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ อีเมล์ การสัมมนา เว็บไซต์ต่างๆ รวมถึง social network ผ่าน Facebook ซึ่งเป็นช่องทางใหม่ที่สื่อสารกับกลุ่มผู้สนใจได้รวดเร็วมากขึ้น”
นายหรรสา สุสายัณห์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคล กล่าวว่า สำหรับแนวทางการบริหารกองทุนส่วนบุคคลนั้น จะใช้กลยุทธ์ “Manage with Client” เน้นการเข้าถึงความต้องการของลูกค้าหลัก 3 กลุ่ม คือ ลูกค้าสถาบันขนาดใหญ่ ลูกค้านิติบุคคลที่ต้องการผู้ช่วย และลูกค้า High Net Worth จากฐานลูกค้าธนาคารกรุงเทพเป็นหลัก
“เราอยากให้ลูกค้าให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตการลงทุนโดยพิจารณาข้อมูลส่วนบุคคล และระดับการยอมรับความเสี่ยง เพื่อทำ asset allocation ร่วมกันกับลูกค้าในคอนเซปต์ ‘รู้ก่อนเลือก’ ที่จะลงทุนในกลุ่มกองทุนรวมของ บลจ.บัวหลวง รวมถึงใช้วิธีคัดสรรผลิตภัณฑ์ทางการเงินตลอดจนกองทุนจากต่างประเทศที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า และสำหรับการยกเลิกคุ้มครองเงินฝาก คงไม่มีอะไรวุ่นวายหรือโกลาหล เพราะมีการให้ความรู้ความเข้าใจต่อสาธารณชนมาโดยตลอด และเป็นที่รู้กันว่าจะไม่กระทบกับผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งเรามองเป็นโอกาสที่จะสานต่อการปลูกฝังเรื่อง “การอ่านออกเขียนได้ทางการเงิน” ให้คนรุ่นใหม่ๆ รวมถึงเป็นโอกาสนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่ม High Net Worth ที่มีเงินฝากจำนวนมากจนไม่ได้รับความคุ้มครองทั้งหมดซึ่งจะถูกกระทบจากเรื่องนี้ได้” นายหรรสากล่าว
ส่วนการดำเนินงานด้านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นายหรรสา กล่าวว่า จะใช้กลยุทธ์ “เลือกที่ใช่ ได้ที่ชอบ” โดยจะรณรงค์เชิญชวนให้ลูกค้าเลือกการใช้ Employee‘s Choice เป็นเครื่องมือเพิ่มความเข้าใจ และใส่ใจในเงินทองของตนเองให้แก่สมาชิกกองทุน ลดช่องว่างในการสื่อสาร ระหว่าง บลจ. กับสมาชิก ให้น้อยลง เพิ่มความสะดวก รวดเร็วแก่ลูกค้าด้วยช่องทาง “บัวหลวง E-Channel” และช่วยพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ทางการเงินหรือ Financial Literacy ให้ขยายวงเพิ่มขึ้นอีกช่องทางหนึ่ง
สำหรับมุมมองต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย นางวรวรรณ กล่าวเสริมว่า พื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศเรายังดีไม่ได้เปลี่ยน แม้จะมีปัจจัยจากสหรัฐและยุโรปมากระทบ แต่ส่งผลไม่มาก แต่เอเชียน่าจะมีผลดีมากกว่าผลเสียในแง่ของ Fund flow เพราะเงินต้องมีที่ไป และฐานเอเชียยังแน่น แม้จะมีเรื่องเงินเฟ้อ แต่ยังไม่เห็นสัญญาณฟองสบู่
“การบริหารกองทุนหุ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนจำนวนมากสนใจ ค่ายเราตัดปัจจัยทางการเมืองออกจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว และยังคงแนวทางการบริหารกองทุนในรูปแบบเดิมที่ยึดมั่นมาตลอด ซึ่งทุกวันนี้เริ่มเห็นผล โดยกองทุนหุ้นทุกประเภท รวมทั้งกองทุนอาร์เอ็มเอฟหุ้นและกองทุนแอลทีเอฟ ของเรากลับมาให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ”
นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดการกองทุน กล่าวว่า แม้ว่าปัจจัยความไม่แน่นอนที่ยังคงเป็นกังวล ไม่ว่าจะเป็นปัญหาวิกฤตของสหรัฐและยุโรป ผลกระทบต่อเนื่องจากแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิที่ทำให้เศรษฐกิจบางส่วนที่เกี่ยวข้องชะงักงัน วิกฤติการเมืองในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือที่ส่งผลต่อราคาน้ำมัน และความกังวลต่อปัญหาการเมืองหลังการเลือกตั้ง จะยังคงเป็นปัจจัยรบกวนตลาดหุ้นไทยอยู่บ้างโดยเฉพาะในไตรมาสหน้า แต่ บลจ.บัวหลวง ยังเชื่อมั่นในพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจประเทศที่ยังแข็งแกร่ง ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในเกณฑ์ดี อัตราการจ่ายปันผลดี และมูลค่าของหุ้นยังไม่ได้แพงเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค จึงมองภาพของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ว่ายังคงเป็นขาขึ้นอยู่
“คำแนะนำสำหรับนักลงทุนเนื่องจากความไม่แน่นอนในตลาดการลงทุนต่างๆ ที่สูงขึ้น การจัดพอร์ตลงทุน โดยกระจายการลงทุนไปยังทรัพย์สินหลากหลาย ที่มีความสัมพันธ์กันต่ำในด้านความเคลื่อนไหวของราคาจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ โดยเฉพาะการลงทุนในทองคำที่ควรมีไว้ในพอร์ต และสามารถซื้อในรูปแบบของกองทุนรวมทองคำได้ เพราะทองคำจัดเป็นทรัพย์สินปลอดภัย (Save Heaven) ที่ยังคงมีแนวโน้มที่เป็นขาขึ้นในระยะยาว” นายพีรพงศ์ กล่าวเสริมความจำเป็นของการมีทองคำไว้ในพอร์ตลงทุน