บทสัมภาษณ์ “ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ” ที่ยอมหวนคืนจอเงินเพื่อรับบท “ธีระพล แสนสุข”ในภาพยนตร์เรื่อง “พุ่มพวง”

ข่าวบันเทิง Tuesday June 28, 2011 17:48 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--28 มิ.ย.--สหมงคลฟิล์ม Q: กลับมาคืนสู่จอเงินอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง พุ่มพวง รับบทเป็นใครอย่างไร P: รับบทเป็น ธีระพล แสนสุข ครับ คาแร็คเตอร์เป็นนักดนตรีในวงของครูไวพจน์ เพชรสุพรรณ เครื่องดนตรีประจำกายคือแซกโซโฟน ธีระพลจะมีบุคลิกเป็นคนขี้เล่นแล้วก็เป็นกันเองแต่ก็มีความมุ่งมั่นมีความจริงจังในการที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และก็ได้มาเจอกับพุ่มพวง รักกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกันครับ ซึ่งในช่วงแรกก็อาจจะเป็นวัยน่ารักสนุกสนานแต่ว่าชีวิตก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ เริ่มมีความเข้มข้นตามมา Q: เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงของ “พุ่มพวง ดวงจันทร์” และหยิบประเด็นเรื่องการต่อสู้ชีวิตมาสร้างเป็นหนังอย่างไรบ้าง P: ในภาพยนตร์เรื่องนี้เราจะเล่าเกี่ยวกับคุณพุ่มพวงตั้งแต่วัยเด็กครับ ซึ่งหลายคนผมเชื่อว่าอาจจะรู้จักคุณพุ่มพวงในช่วงที่ประสบความสำเร็จแล้วหรือมีชื่อเสียงที่โด่งดังแล้ว แต่จริงๆแล้วมีเรื่องราวเริ่มต้นตั้งแต่เด็กจะเห็นการฝ่าฟันของคุณพุ่มพวงตั้งแต่การที่จะเดินเข้ามาในวงของครูไวพจน์ เพื่อที่จะขอเป็นนักร้องถูกปฎิเสธจนในที่สุดก็ฝ่าฟัน และเข้ามาเป็นนักร้องในวงได้ แต่ก็มีเหตุการณ์อีกเหตุการณ์ที่จะทำให้ตัวเองไม่ได้เป็นนักร้อง ชีวิตของคุณพุ่มพวงค่อนข้างจะพลิกพลันพอสมควรครับ จนได้มาเจอผู้ชายคนหนึ่งก็คือ ธีระพล หลังจากนั้นชีวิตก็เปลี่ยนไป อาจจะเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดีบ้างแต่ทั้ง 2 คนก็ได้ฝ่าฟันมาพอสมควรในการที่จะเจอกับปัญหาต่างๆ แล้วในที่สุดทั้ง 2 คนก็เหมือนกับว่าเดินไปสู่ความฝันของตัวเองได้สำเร็จนั้นก็คือการเป็นนักร้อง แล้วคุณพุ่มพวงก็ประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นชีวิตของคุณพุ่มพวงก็ยังประสบปัญหาอีก นั้นคือโรคร้ายที่รุมเร้าตามมาซึ่งอันนี้เส้นเรื่องทั้งหมดมันจะเริ่มตั้งแต่ศูนย์ถึงร้อย ภาพยนตร์เรื่องนี้ผมเชื่อว่าหากใครได้ชมแล้วจะเป็นกำลังใจที่ดีกับใครหลายๆ คนที่กำลังมีความฝันอย่างแน่นอนครับ Q: ห่างหายจากการแสดงภาพยนตร์ไปนาน ได้มีโอกาสกลับมาอีกครั้งรู้สึกอย่างไร P: คือจริงๆ ผมเป็นนักแสดงละครนะครับ จนผมได้มีโอกาสไปแวะเวียนไปแสดงภาพยนตร์มาบ้างอยู่หนึ่งเรื่องก็คือ ครอบครัวตัวดำ ของน้าโน๊ต เชิญยิ้ม ก็รู้สึกสนุกดีรู้สึกชอบ หลังจากนั้นก็กลับไปเล่นละครก็มีช่วงนี้แหละครับที่มีโอกาสที่ดีมากคือ หมายความว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้อ่านบทอย่างลึกซึ้งของเรื่อง พุ่มพวง ได้พูดคุยกับทางโปรดิวเซอร์กับทางผู้กำกับ พี่อ๊อด บัณฑิต ทองดี ได้นั่งพูดคุยกันว่าตัวแสดงของ คุณธีระพล แสนสุข น่าจะเป็นป๋อนะ ซึ่งผมก็มีความรู้สึกว่าจริงหรอพี่ และผมก็แบบขอบทกลับไปอ่านอีกรอบ ซึ่งพี่อ๊อดก็ย้ำว่าน่าจะเป็นผม ตอนที่ผมขอบทกลับไปอ่านอีกรอบ ผมเองก็พยายามจะนึกตามว่าเราเหมาะกับบทนี้หรือว่าบทนี้เหมาะกับเราขนาดไหน และเริ่มมีความรู้สึกว่าน่าสนใจดีนะสำหรับบทนี้จึงตัดสินใจครับ Q: ความยากง่ายของการแสดงระหว่างละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ P: ศาสตร์ของละคร กับศาสตร์ของภาพยนตร์เนี่ยผมว่าค่อนข้างที่จะตรงข้ามกันพอสมควรนะครับ แต่ว่าเรามีพื้นฐานของการแสดงเดียวกันมีความเข้าใจเดียวกันเ พียงแต่ว่าอาจจะต่างในเรื่องของเทคนิคการบันทึกภาพ อาจจะต่างกันเรื่องของจำนวนคัทที่ถ่าย เพราะฉะนั้นเราจะต้องปรับทุกอย่างใหม่หมดเลยเพราะละครเนี่ยมันจะเหมือนแสดงฉากหนึ่งมันก็จะเล่นยาวทีเดียวจบ แต่การแสดงภาพยนตร์มันจะไม่เหมือนกันเพราะมันจะเป็นหลายคัทมาก มันจะไม่เฮือกเดียวจบ แต่จะมี 2 เฮือก 3 เฮือก 4 เฮือกในหนึ่งฉากเราอาจจะต้องทำถึง 5 เฮือกอะไรอย่างเนี่ยครับ ผมก็คิดว่ายากเหมือนกันนะ แต่ผมเองก็ได้คุยกับพี่ อ็อดผู้กำกับ บ่อยพอสมควรกับเรื่องนี้ครับและก็ต้องขอระยะเวลาในการปรับตัวในช่วงแรกๆ และทีมงานทุกคนผมต้องขอบคุณมากที่ได้ให้โอกาสผมได้ปรับตัวในเรื่องของการทำงาน จนสามารถทำงานได้ราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ (ยิ้ม) Q: ความรู้สึกที่ได้ร่วมโปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่อง “พุ่มพวง” P: รู้สึกยินดีมากครับ ตอนแรกต้องบอกว่าขอบคุณมากที่พี่อ็อด และทีมงานรู้สึกว่าบทนี้เหมาะสมกับผม แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ต้องอยากจะเห็นด้วยความรู้สึกของตัวผมเอง ว่าบทเนี่ยเหมาะกับผมจริงๆ ซึ่งพออ่านบทแล้วก็ยิ่งมีเสน่ห์ อ่านแล้วเรารู้สึกเลยว่ามันมีความแยบยลอยู่ในนั้น มันมีทุกอย่างเล่าด้วยภาพทุกอย่างไม่ได้เล่าด้วยไดอะล็อคหรือคำพูดอะไรมากมาย แต่เล่าด้วยภาพเล่าด้วยความรู้สึกจริงๆ เพราะฉะนั้นผมจะรู้สึกเลยว่าบทธีระพลแทบไม่ค่อยมีบทพูดอะไรมากเลย ในเรื่องนี้นะครับแต่สิ่งที่ยาก คือการแสดงความรู้สึกออกมาสู่กล้องหรือมาสู่คุณผู้ชมให้รับรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร เพราะเราพยายามเน้นเรื่องของความรู้สึกมากกว่าบทพูดด้วยซ้ำ เรื่องราวตรงนี้เราจะเห็นเลยว่าความรู้สึกที่อยู่ในระหว่างการดำเนินชีวิตของคุณพุ่มพวงนั้นมีความรู้สึกอยู่ในนั้นมากมายเหลือเกิน ทั้งดีใจ สุข ทุกข์ เศร้าผสมปนเปกันไปหมดเลยทีเดียว แต่สุดท้ายมีเรื่องของการให้อภัยอีกซึ่งอันนี้ผมว่าเป็นบทที่ดีแล้วก็น่าสนใจ แต่ว่าจะให้อภัยอย่างไรนั้นก็คงต้องไปติดตาม Q: รับบทเป็น ธีระพล ต้องปรับลุคต้องมีการเปลี่ยนเสื้อผ้าทรงผมอย่างไรบ้าง P: ในเรื่องจะมีประมาณ 2 ลุค 2 สมัย จะมีพัฒนาการในเรื่องของเสื้อผ้า เรื่องของทรงผมมีการใส่วิก เพื่อให้ธีระพลดูย้อนกลับไปในวัยหนุ่ม ผมเห็นแล้วก็นึกถึงเจมส์ ดีน สมัยยุคผมจะตั้งๆ เสยๆ หน่อย แล้วก็จะมีรากไทรนิดๆ ดีครับแปลกดี รู้สึกว่าหล่อแบบโบราณแต่จะเฟี้ยวๆ หน่อย รองเท้าก็เป็นส้นตึกเดินทีไรข้อเท้าก็จะพลิกทุกทีครับ เสื้อผ้ากางเกงก็จะเอวสูงหน่อยขาจะบานมาก และในยุคต่อมาก็จะเริ่มเข้ามาคล้ายๆ ในยุคปัจจุบัน แต่เรื่องสีสันของเสื้อผ้าจะเน้นมากเป็นพิเศษ มีลายดอก ลายทางบ้าง ทรงผมก็จะหวีเรียบธรรมดาครับ ผมว่าหน้าผมเหมาะกับลุคนี้นะ (หัวเราะ) Q: สไตล์การแต่งตัวจะเป็นแนวย้อนยุค ทั้งสีสันจัดจ้านเริ่มรู้สึกติดใจบ้างไหม P: ในเรื่องนี้ก็จะเป็นนักร้องนักดนตรีอยู่บนเวทีเล่นคอนเสิร์ต เพราะฉะนั้นสีสันของเสื้อผ้าก็จะมีความสำคัญมาก คืออยู่บนเวทีแล้วเมื่อแสงไฟโดนเสื้อผ้าปุ๊ป มันจะต้องวิบวับไปหมดเลยทีเดียว ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยชินนะครับ ตอนนี้เริ่มชอบ และติดใจ (หัวเราะ) หลังๆ เนี่ยแต่งตัวใส่เสื้อผ้าสีๆ ตลอดเลย มันก็สดชื่นดีนะ และมันก็ให้บรรยากาศของเพลงด้วย ในเรื่องจะมีทั้งเพลงที่สนุกสนาน เพลงเศร้า แต่พอเป็นเพลงสนุกสีสันของเสื้อผ้ามันบวกเข้าไปอีกก็ทำให้รู้สึกเราสนุกและมีความสุข ผมคิดว่าคนดูก็น่าจะมีความสุขเหมือนกันนะ Q: ในเรื่องต้องเป่าแซกโซโฟนด้วย มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง P: คือผมได้มีโอกาสไปร่วมงานกับวงดนตรีวงหนึ่งแล้วผมก็แอบไปขอวิชาจากคนที่เขาเป่าแซกโซโฟนจริงๆครับ ก็จะถามพี่เขาว่าเป่าแซกต้องมีท่าจับและถืออย่างไร เลยทำให้รู้ว่าช่วงแรกที่ถ่ายไปเนี่ยผมจับผิดมาตลอดเลย พี่เขาก็แนะนำว่าต้องเอานิ้วโป้งไปเกี่ยวตรงข้างล่าง ทำแบบนี้นะ ท่าทางมันต้องแบบนี้ต้องโยกแบบนี้แต่ไม่ต้องโยกมากให้โยกธรรมดาตามจังหวะเพลง โดยเฉพาะเพลงลูกทุ่งด้วยก็ไม่น่าจะมีการโยกอะไรมากมาย จริงๆ แล้วแซกโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่ผมชอบมากแต่ว่าไม่เคยเล่นไม่เคยเป่าเลย เล่นเรื่องนี้ผมได้ลองเป่าเลยทำให้รู้ว่ายากมาก ต้องใช้ลมจากปอดเยอะมากครับ Q: ฉากไหนที่แสดงแล้วรู้สึกอินและประทับใจมากที่สุด P: จริงๆ แล้วประทับใจเกือบทุกฉากนะครับ แต่ว่าถ้าความรู้สึกอินและประทับใจมากที่สุด ผมชอบฉากที่ธีระพลทำผิดพลาดครั้งสำคัญ แต่สุดท้ายแล้วก็ได้รับการให้อภัยจากพุ่มพวง ซึ่งฉากนี้หากชมแล้วจะรู้สึกประทับใจในเรื่องของการให้อภัย และจะได้เห็นถึงความพยายามของพุ่มพวงที่ไม่รู้หนังสือแต่พยายามฝึกฝนที่จะเขียนข้อความบางอย่างให้กับธีระพล ผมรู้สึกว่าฉากนี้เป็นฉากที่ดีมาก ผมประทับใจและรู้สึกอินกับฉากนี้จริงๆ ครับ Q: เรื่องการถ่ายทอดอารมณ์ และความรู้สึกผ่านตัวละคร “ธีรพล” P: พี่อ็อด ผู้กำกับ จะเป็นคนที่ชอบเล่นกับอารมณ์พอสมควรจะคอยบอกให้ใช้อารมณ์กับการแสดงถ่ายทอดออกมาเยอะๆ และในเรื่องจะมีฉากดราม่าค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่บางอารมณ์บางความรู้สึกพี่อ็อดก็จะต้องการแสดงออกแค่แววตาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องร้องไห้แต่พยามส่งความรู้สึกออกมาเยอะๆ ก็ทำให้ผมได้เรียนรู้เหมือนกันนะว่าถ้าเราแสดงออกมาประมาณนี้แล้ว ภาพมันก็จะออกมาเป็นแบบนี้นะ ความรู้สึกที่ส่งออกมามันมีพลังมาก ซึ่งตอนแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะแสดงออกมาได้ดีหรือเปล่า แต่พอมาดูที่จอมอนิเตอร์แล้วผมชอบมาก และพี่อ็อดเองก็ชอบมากเช่นกันครับ Q: ต้องกลายเป็นป๋าดันเพราะว่าประกบคู่นางเอกใหม่ น้องเปา-เปาวลี แนะนำเทคนิคอะไรบ้าง P: เป็นเรื่องแรกของน้องเปาครับและก็ได้มาประกบคู่กันครั้งแรก แล้วก็ต้องเล่นเป็นสามีภรรยากันด้วย ฉะนั้นความกลมกลืนของตัวละคร 2 ตัวย่อมที่จะต้องสนิทใจกันพอสมควร คือ น้องเปาจะมีคุณแม่มาด้วยตลอดทุกครั้ง แต่ผมก็พยามพูดคุยทั้งคุณแม่และน้องเปาอยู่เสมอว่า ให้ไว้ใจกันนะ เพราะนี่คือการทำงานเวลามีฉากกอด กุ๊กกิ๊กกันก็เลยไม่เกร็ง เราเองก็ไม่ได้คิดในเชิงแบบนั้น แต่เรากลับที่จะพยายามทำให้มันกลมกลืนในมุมของความเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ซึ่งน้องเปาก็ทำออกมาได้ดี เป็นธรรมดาที่ช่วงแรกๆ ก็อาจจะเกร็งบ้าง เขินบ้าง แล้วมีฉากเลิฟซีนด้วยกันอีกตอนนั้นน้องเปาตัวแข็งมากครับ พอตัวแข็งก็จะหนักมาก และต้องนอนทับแขนผม โอ้โห!วันนั้นแขนเป็นเหน็บหมดเลยครับ (หัวเราะ) ผมก็จะบอกน้องเปาใจเย็นๆ นะ ส่วนผมเองก็มือสั่นเหมือนกันแต่จะเป็นอีกฉาก คือ ผมต้องเอามือลูบเปาแบบค่อยๆ แล้วมันเกิดอาการเกร็งกับตื่นเต้นไปหมดพอให้เราค่อยๆทำอะไร แล้วตัวเรารู้สึกว่าต้องโฟกัสตรงนั้นเท่านั้น แต่หลังๆ มาพอลูบสัก 7-8 ทีมันก็เริ่มชินล่ะครับ มันเป็นภาพยนตร์ที่เน้นสื่ออารมณ์ ผู้กำกับก็เลยอยากทำให้ทุกอย่างช้าเพื่อเข้าถึงอารมณ์คนดูอย่างแท้จริงครับ Q: อยู่ในกองถ่ายสนิทกับน้องเปามากน้อยแค่ไหน มีอะไรจะเม้าท์น้องเปาบ้างหรือเปล่า P: น้องเปาเป็นเด็กน่ารักแล้วก็มีความสดใส ได้ร่วมงานกับเด็กคนหนึ่งซึ่งไม่เคยผ่านงานทางด้านการแสดงมาเลย แต่ว่าน้องเปามีความเป็นมืออาชีพสูงมาก ความสามารถน้องเปาเหมือนเพชรที่มีพลังอยู่ในตัว รวมถึงการร้องเพลงน้ำเสียงดีและไพเราะมาก หลายๆ ครั้งที่เปาได้แสดงความสามารถทางการแสดงออกมาโดยที่ผมไม่ได้บอกอะไรเลยแล้วน้องก็ทำได้ดีมากๆ ด้วยครับ เป็นคนที่อัธยาศัยดีหัวเราะตลอดเวลา ร่าเริง มีบางทีที่น้องเปาทำอะไรพลาดน้องก็ยังหัวเราะในความพลาดของตัวเองก็ถือว่าใช้ได้ หรือเวลาเป็นช่วงพักรอเข้าฉากของน้องเปา และคนอื่นกำลังถ่ายอยู่เสียงเปาคุยดังเข้าฉาก พอน้องเขารู้ตัวก็หัวเราะผมว่าน้องเขาเป็นคนอารมณ์ดีและทำให้เรารู้สึกอารมณ์ดีไปด้วยครับ จริงๆ อยากบอกว่าผมรู้สึกดีใจกับน้องเปาด้วยที่ได้มาเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะได้ข่าวมาว่าต้องไปฝึกฝนไปเข้าคอร์สไปฝึกการใช้เสียงร้องเพลงรวมถึงทักษะในเรื่องของการแสดงต่างๆ เรียกว่ามาเต็มที่เลยทีเดียวในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมว่าเป็นภาระที่หนักมากสำหรับน้องเปา ที่ถูกเลือกให้มารับบทเป็นคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ ขวัญใจของคนไทยทั้งประเทศ ส่วนตัวผมเองมีความเชื่อว่าด้วยความตั้งใจของตัวน้องเปาสามารถรับบทเป็น คุณพุ่มพวง ทำออกมาได้ดี และสามารถสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ถ่ายทอดชีวิตของคุณพุ่มพวงได้อย่างลึกซึ้งไม่ผิดหวังแน่นอนครับ Q: หลายคนฮือฮาตอนที่น้องเปาสวมชุดลายเสือกันมาก แล้วพี่ป๋อล่ะเห็นครั้งแรกอึ้งเลยไหม P: ก็รู้สึกตกใจเหมือนกันนะ เพราะว่าครั้งแรกที่เราเจอกันยังไม่ได้แต่งหน้าผมหรือสวมชุด จะทำอะไรน้องเปาก็เหมือนเด็กๆ ผู้หญิงคนหนึ่งครับ แต่พอแต่งครบเครื่องตั้งแต่หัวจรดเท้า วิกผมซอยสั้น แล้วชุดเสื้อผ้าทุกอย่างเนี่ยเหมือนคุณพุ่มพวงหมดเลยก็ตกใจเหมือนกัน ต้องบอกว่าคล้ายมากแล้วพอน้องเปาร้องเพลงเนี่ยรัศมีทุกอย่างเกิดออกมาหมดเลยครับ อึ้งกันไปเลย Q: เล่าถึงการทำงานร่วมกับผู้กำกับ “บัณฑิต ทองดี” P: พี่อ็อดเป็นคนตลกครับ ผมไม่เคยนึกว่าพี่อ็อดจะเป็นคนแบบนี้ได้ (หัวเราะ) น่ารักครับพี่อ็อดเป็นคนนิสัยขี้เล่นแล้วก็ทำให้กองถ่ายสนุกสนานอยู่ตลอดเวลา แต่เวลาทำงานเขาก็จริงจังนะครับ มุ่งมั่นแล้วจะพยามอธิบายอารมณ์ต่างๆ ในแต่ละฉากให้เราเข้าใจ แต่บางทีก็ไม่เข้าใจเพราะฟังพี่อ็อดพูดไม่ทัน เขาเป็นคนพูดเร็วผมก็จะตั้งใจฟังมากแล้วก็จะฮะ ฮะ อะไรนะครับ (หัวเราะ) ทำงานร่วมกันแล้วผมรู้สึกว่าเขาไม่เหมือนผู้กำกับ แต่เขาเหมือนเป็นพี่ชายคนหนึ่งมากกว่า โดยศักยภาพของพี่อ็อดแล้วเป็นคนอารมณ์ดีทำให้กองถ่ายไม่เครียด รู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้กำกับเก่งๆ ที่ชื่อ บัณฑิต ทองดี ครับ Q: ส่วนตัวแล้วชื่นชอบและฟังเพลงของ “พุ่มพวง ดวงจันทร์” ด้วยหรือไม่ P: ฟังอยู่แล้วครับ ยุคผมยังทันนะในช่วงที่คุณพุ่มพวงยังจะมีชีวิตอยู่ ซึ่งผมเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ซึมซับงานเพลงของคุณพุ่มพวงมากคนหนึ่งเลยทีเดียว รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการนำเรื่องราวชีวิตช่วงหนึ่งของคุณพุ่มพวงมานำเสนอ ทุกวันนี้แม้คุณพุ่มพวงจะจากไปแล้วแต่ก็ยังอยู่ในใจของคนไทยทุกคนๆ รวมถึงคนหลายๆ คนที่กราบไหว้ และให้ความเคารพคุณพุ่มพวงเพราะมีความเชื่อว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วสำเร็จ Q: คิดว่าสิ่งที่จะสะท้อนและให้แง่คิดจากการชมภาพยนตร์เรื่อง พุ่มพวง P: ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่มีความฝัน เป็นการสะท้อนเรื่องราวชีวิตของผู้หญิงคนนึงที่มีชีวิตและเส้นทางเดินไม่ได้เรียบง่าย ต้องผ่านเรื่องราวฝ่าฟันอุปสรรคมาเยอะแยะ จนสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จและไปถึงความฝันที่ตั้งใจอยากจะเป็นจริงๆ แต่การไปถึงความฝันไม่ได้มาจากพรสวรรค์อย่างเดียวมันมาจากพรแสวงของตัวเองด้วย ความมุ่งมั่น ความมุมานะ ความไม่ย่อท้อ ความอดทนและเพียรพยายามที่จะเดินไปสู่ความฝันให้ได้แม้จะล้มสักกี่ครั้งก็ตาม ผู้หญิงคนนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าลุกขึ้นมาเชิดหน้าแล้วเดินต่อไปได้ ผมเชื่อว่าใครหลายๆ คนที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะได้แนวคิดเป็นแรงบันดาลใจในการที่จะดำเนินชีวิต รักษาความฝันของตัวเองเอาไว้และพยายามที่จะเดินไปให้ถึงความฝันของตัวเองอย่างสำเร็จแน่นอน Q: ฝากผลงานภาพยนตร์เรื่อง “พุ่มพวง” P: ขอฝากภาพยนตร์เรื่อง พุ่มพวง ไว้ด้วยนะครับ ซึ่งผมตั้งใจเต็มที่กับการแสดงครั้งนี้มาก รวมถึงทีมงานทุกคนตั้งใจเต็มที่ ผมเชื่อว่าเรื่องราวของคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ ยังอยู่ในใจของใครหลายๆ คนและขอให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นกำลังใจให้กับคนไทยทุกๆ คนที่กำลังท้อแท้ในเรื่องอะไรก็ตามแต่ กับปัญหาที่พวกเรากำลังประสบอยู่เชิดหน้าขึ้นครับ แล้วก็เดินไปตามความฝันที่ตัวเองฝันไว้ ก้าวไปและคว้ามันให้ได้นะครับกับความฝัน 21 กรกฎาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ