กรุงเทพฯ--1 ก.ค.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
กระทรวงการคลังจัดงานเปิดตัวกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ในวันนี้ ภายใต้สโลแกน “เกษียณสุขใจ มีบำนาญใช้กับ กอช.” มุ่งหวังให้ประชาชนเข้าถึงช่องทางการออมเงินที่เหมาะสม และสร้างหลักประกันทางสังคมแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง โดยปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประชาชนผู้ประกอบอาชีพอิสระ และนักเรียนนักศึกษา ร่วมเป็นสักขีพยาน
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติในวาระแรก ได้กล่าวรายงานว่า กองทุนการออมแห่งชาติเป็นกองทุนเพื่อการเกษียณอาย? ??ภาคสมัครใจ สำหรับผู้ที่ยังไม่มีหลักประกันทางสังคมเพื่อการชราภาพ เพื่อให้มีรายได้หลังเกษียณในรูปบำนาญ และการเปิดตัวกองทุนการออมแห่งชาติในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงช่องทางการเข้าถึงหลักประกันทางสังคม เข้าใจหลักเกณฑ์ของกองทุน และเตรียมพร้อมในการเป็นสมาชิกและออมกับกองทุน เมื่อกองทุนเปิดรับสมาชิกตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2 555 เป็นต้นไป
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงที่มาของการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติว่า “จากความท้าทายของประเทศที่เข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีความเสี่ยงที่ประชาชนจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ด้อยลงเมื่อย่างเข้าสู่วัยชรา และแม้ว่าประเทศไทยจะมีระบบประกันสังคมในหลายรูปแบบ แต่ที่ผ่านมาผู้ที่ได้รับความคุ้มคารองทางสังคมเพื่อการชราภาพจะเป็นผู้ที่มีอาชีพอยู่ในระบบ เช่น ข้าราชการ พนักงานบริษัทเอกชน และพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น รวมจำนวนทั้งสิ้น 14.6 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 37 ของประชากร ทั้งประเทศ ขณะที่ประชากรวัยแรงงานอีก 35 ล้านคน หรือร้อยละ 53 ของประชากรทั้งประเทศยังไม่ได้รับความคุ้มครองให้มีหลักประกันทางสังคมเพื่อการชราภาพอย่างเหมาะสม จึงได้จัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติขึ้น เพื่อเป็นช่องทางการออมเงินของประชาชนกลุ่มดังกล่าว โดยมีรัฐดูแลส่งเงินสมทบให้
นายนริศฯ ได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์การออมเงินกับกองทุนว่า ผู้มีสิทธิจะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย อายุ 15 — 60 ปี ไม่เป็นสมาชิกกองทุนอื่นใดที่ได้รับเงินสมทบจากรัฐหรือนายจ้าง และไม่ได้อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญภาครัฐหรือเอกชน โดยสมาชิกสะสมเงินเข้ากองทุนไม่ต่ำกว่าครั้งละ 50 บาท แต่ไม่เกิน 13,200 บาท ต่อปี และรัฐบาลจะให้เงินสมทบตามช่วงอายุของสมาชิกและเป็นอัตราส่วนกับจำนวนเงินที่สมาชิกสะสมเข้ากองทุน ตั้งแต่ร้อยละ 50 ถึงร้อยละ 100 โดยไม่เกินเงินสมทบสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับประโยชน์ตอบแทนที่สมาชิกจะได้รับ สมาชิกจะได้รับบำนาญรายเดือนจนตลอดชีวิตเมื่อสมาชิกอายุครบ 60 ปีเป็นต้นไปและมีเงินออมที่มากพอ ซึ่งสมาชิกที่ออมมาก ก็จะได้รับบำนาญมากตามไปด้วย และในกรณีที่สมาชิกทุพพลภาพก่อนอายุครบ 60 ปี จะมีสิทธินำเงินออมของตนออกมาใช้ก่อนได้ นอกจากนี้ หากสมาชิกมีความจำเป็นต้องลาออกจากกองทุน จะได้รับคืนเฉพาะเงินที่ได้ออมไว้ โดยไม่รวมเงินสมทบ อย่างไรก็ดี สมาชิกจะกลับเข ้ามาเป็นสมาชิกของกองทุนได้อีกตามความสมัครใจ และหากสมาชิกเสียชีวิต กองทุนจะจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่สมาชิกได้แจ้งชื่อไว้หรือให้แก่ทายาทของสมาชิก
“สิทธิประโยชน์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ รัฐบาลค้ำประกันผลตอบแทนให้สมาชิกได้รับดอกผลจากเงินออมไม่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 12 เดือน โดยเฉลี่ยของธนาคาร นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับบำนาญจาก กอช. จะยังมีสิทธิได้รับเบี้ย ยังชีพผู้สูงอายุอีกด้วย และที่สำคัญ ในปีแรกที่กองทุนเปิดรับสมาชิก คือระหว่างวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 จนถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2556 จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิกของกองทุนด้วย
นายอารีพงศ์ฯ กล่าวสรุปว่า “การสร้างโอกาสในการออม และการส่งเสริมให้ประชาชนมีวินัยการออม เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญต่อการสร้างรากฐานชีวิตที่มั่นคง การออมเงินกับ กอ. ในจำนวนขั้นต่ำเพียง 50 บาท ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถออมได้ โดยเงินออมนี้จะเพิ่มพูนขึ้นจากเงินที่รัฐร่วมสมทบให้ และจากการนำเงินไปลงทุนโดยมืออาชีพ ภายใต้นโยบายการลงทุนตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้ง รัฐยังค้ำประกันผลตอบแทนของสมาชิกอีกด้วย และทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้กองทุนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และเป็นหลักประกันการจ่ายบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนแก่สมาชิกเมื่อสิ้นสมาชิกภาพ”
ในโอกาสนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวแสดงความยินดีความสำเร็จในการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติอย่างเป็นรูปธรรม และดีใจกับประชาชนที่จะได้มีหลักประกันในชีวิตที่ร่วมสร้างได้ด้วยเงินออมของตนเอง
“นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปประชาชนในภาคส่วนที่เป็นแรงงานนอกระบบ อาชีพอิสระ นักเรียนนักศึกษา และ ผู้ที่ไม่ได้รับความคุ้มครองทางสังคมเพื่อการชราภาพ จะมีหลักประกันในชีวิตที่เกิดขึ้นจากการร่วมออมเงินกับภาครัฐ ผมจึงใคร่ขอเชิญชวนให้ท่านท ั้งหลาย ร่วมเป็นสมาชิกของกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อความมั่นคงในชีวิตของท่าน และกองทุนจะเป็นตัวจักรสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนและเสริมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาวได้อีกด้วย” นายกรณ์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด