ภาพข่าวเค.ซี. เผยไตรมาส 2/2550 ผลประกอบการชะลอตัวตามภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม

ข่าวทั่วไป Thursday August 16, 2007 11:34 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 ส.ค.--เจดี พาร์ทเนอร์
เค.ซี. เผยไตรมาส 2/2550 ผลประกอบการชะลอตัวตามภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม เหตุผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านจากความไม่มั่นใจสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การเมือง อีกทั้งธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นผลประกอบการครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น และหลังปรับกลยุทธ์เพิ่มบ้านราคา 2-3 ล้านบาท ตามความต้องการตลาดมากขึ้น และเปิดให้จอง 2 โครงการใหม่
เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ ระบุไตรมาส 2/2550 ปัจจัยลบด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ทั้งค่าเงินบาท ราคาน้ำมัน การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ฉุดความเชื่อมั่นผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อบ้าน เป็นเหตุให้รายได้รวมลดลงอยู่ที่ 151.46 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่องที่ 45.43% จากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ มั่นใจผลประกอบการครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น จากยอดขายบ้านระดับราคา 2-3 ล้านบาท ที่เปิดตัวใหม่ในเฟสพิเศษของหลายโครงการ และยอดจองบ้านใน 2 โครงการใหม่ เค.ซี. เนเชอรัล ซิตี้ รามคำแหง และเค.ซี. สุวินวงศ์ 2 ในไตรมาส 4 ปีนี้
(16 สิงหาคม 2550) นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “KC” เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พบว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์การเมืองและสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวจากปัจจัยลบหลายประการ ทั้งราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง การแข็งค่าของเงินบาทที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะกระทบต่อการส่งออก การจ้างงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต อีกทั้ง ยอดปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อโดยรวมยังอยู่ในระดับสูง แม้ธนาคารต่างๆ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้วก็ตาม ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 นี้ รายได้สุทธิ ลดลงมาอยู่ที่ 151.46 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2549 ซึ่งมีรายได้สุทธิ 250.62 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับบ้านที่โอนขายได้ในไตรมาส 2 นี้ เป็นโครงการที่มีกำไรค่อนข้างดี เนื่องจากบางโครงการมีที่ดินต้นทุนราคาเดิม จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2 ยังอยู่ในระดับสูงที่ 45.43% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2549 ซึ่งอยู่ที่ 44.31% โดยต้นทุนขายรวมและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ลดลงตามรายได้มาอยู่ที่ 82.65 ล้านบาท และ 45.95 ล้านบาท ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2549 ซึ่งอยู่ที่ 139.57 ล้านบาท และ 55.44 ล้านบาท ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ด้วยรายได้รวมที่ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงในอัตราส่วนที่น้อยกว่ารายได้ จึงเป็นสาเหตุให้กำไรสุทธิไตรมาส 2/2550 นี้ ลดลงมาอยู่ที่ 11.26 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.01 บาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2549 ซึ่งอยู่ที่ 43.27 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.04 บาท
สรุปผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2550 พบว่า บริษัทฯ มีรายได้สุทธิ 348.93 ล้านบาท ลดลง 147.35 ล้านบาท เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2549 ซึ่งมีรายได้สุทธิ 496.28 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 46.46% เทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ 41.51% เนื่องจากบริษัทฯ สามารถบริหารจัดการต้นทุนในการก่อสร้างได้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรายได้ที่ลดลงตามการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม จึงทำให้ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2550 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 40.20 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.05 บาท เทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิ 78.41 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.09 บาท
“ในครึ่งปีแรกของปี 2550 รายได้ของบริษัทฯ ที่ลดลงส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยภายนอกที่ยากต่อการควบคุม ทั้งสถานการณ์การเมืองที่ยังมีความวุ่นวาย ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังชะลอตัวจากหลายปัจจัยลบ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดหวังว่า จากความชัดเจนของสถานการณ์การเมือง ซึ่งมีการกำหนดระยะเวลาสำหรับจัดการเลือกตั้งที่ชัดเจนภายในปีนี้ ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับตัวลดลงอีก และทิศทางค่าเงินบาทที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นนั้น ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยฟื้นความมั่นใจและกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมาอีกครั้งในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของเค.ซี. ที่ต้องการมีบ้านหลังแรกเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ไม่ใช่การซื้อเพื่อเก็งกำไร ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทฯ พบว่า ความต้องการซื้อบ้านของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายดังกล่าวยังมีอยู่ในระดับสูง เห็นได้จากยอดจองบ้านในโครงการเค.ซี.ที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอ แต่ด้วยความเข้มงวดในการพิจารณาเงินกู้ของธนาคาร จึงอาจทำให้ลูกค้าบางส่วนของบริษัทฯ ไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น เพื่อกระตุ้นยอดขายของบริษัทฯ ในปีนี้ ให้เติบโตใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ได้วางไว้มากที่สุด บริษัทฯ จึงได้ปรับกล-ยุทธ์การพัฒนาโครงการในครึ่งปีหลัง ให้สินค้าบ้านของ เค.ซี. มีรูปแบบและระดับราคาที่สอดรับกับความต้องการของตลาดในปัจจุบันมากขึ้น โดยในไตรมาส 2 บริษัทฯ ได้เพิ่มแบบบ้านใหม่ในระดับราคาระหว่าง 2 - 3 ล้านบาท ในเฟสใหม่ของ 2 โครงการ ได้แก่ เค.ซี. พาร์ค วิลล์ ร่มเกล้า และเค.ซี. พาร์ควิว เทพารักษ์ จากเดิมที่โครงการเฟสแรกจะมีแต่บ้านระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านกว่าบาทขึ้นไปเท่านั้น นอกจากนี้ ในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ วางแผนจะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายบ้านและทาวน์เฮ้าส์ทุกโครงการของเค.ซี.อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเปิดให้จอง (Pre—sale) อีก 2 โครงการใหม่ คือ เค.ซี. เนเชอรัล วิลล์ ซิตี้ รามคำแหง ในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ และเค.ซี. สุวินทวงศ์ 2 ในไตรมาส 4 จึงทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่า ผลประกอบการในครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา” นายอภิสิทธ์ กล่าว
ปัจจุบัน เค.ซี. มีโครงการระหว่างดำเนินการทั้งหมด 19 โครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 2 — 3 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ “เค.ซี.การ์เด้น” “เค.ซี.กรีนวิลล์” และ“เค.ซี.พาร์ควิว” จำนวน 9 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือประมาณ 2,200 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 4 ล้านบาทขึ้นไป ภายใต้ชื่อ “เค.ซี. เนเชอรัลวิลล์” และ “เค.ซี. เลควิว” จำนวน 4 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือประมาณ 2,500 ล้านบาท โครงการทาวน์เฮ้าท์ ราคา 0.8 — 1.2 ล้านบาท จำนวน 5 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือประมาณ 2,300 ล้านบาท และโครงการจัดสรรที่ดินเปล่า 1 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือประมาณ 365 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับอีก 2 โครงการใหม่ที่เปิดตัวในครึ่งปีหลังนี้ อันได้แก่ โครงการเค.ซี.เนเชอรัล ซิตี้ (รามคำแหง) เฟส 1 และโครงการเค.ซี. สุวินทวงศ์ 2 เฟส 1 ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมกันประมาณ 2,000 ล้านบาท อีกทั้ง ที่ดินรอการพัฒนา (Land Bank) มูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท บริษัทฯ จะสามารถดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องได้อีก 3 - 4 ปี
สำหรับความคืบหน้าของโครงการใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ โครงการเค.ซี.เนเชอรัล ซิตี้ (รามคำแหง) เฟส 1 ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว ราคาเฉลี่ย 5.3 ล้านบาท จำนวน 317 ยูนิต มูลค่ารวมโครงการประมาณ 1,680 ล้านบาท ขณะนี้บ้านตัวอย่าง 6 รูปแบบ พร้อมให้เข้าชมและจองได้ในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนโครงการ เค.ซี. สุวินทวงศ์ 2 เฟส 1 ซึ่งเป็นโครงการที่มีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์ ราคาเฉลี่ย 1.13 ล้านบาท จำนวน 440 ยูนิต มูลค่ารวมโครงการประมาณ 420 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการถมดินเพื่อปรับพื้นที่ โดยคาดว่าสำนักงานขายและบ้านตัวอย่างจะแล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้เยี่ยมชมโครงการและจองได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ เช่นกัน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
บริษัท เจดี พาร์ทเนอร์ จำกัด
โทร (02) 661-8803-5 โทรสาร (02) 661-8813
E-mail : sirirat@jaydeepartners.com
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ