กรุงเทพฯ--3 ก.ค.--ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น
TRC เผยหลังผนึกสหการวิศวกร ทำให้ความสามารถในการขยายธุรกิจสุดแกร่ง ประเดิมด้วยการปรับกลยุทธ์เน้นงานรับเหมาแบบ Turnkey เหตุมีมาร์จิ้นสูงและมีพันธมิตรจากมาเลเซียช่วยหนุนหลัง ล่าสุดโชว์ Backlog ในมือกว่า 2,000 ลบ.สวนกระแสตลาดที่ปริมาณงานเริ่มชะลอลง ด้านผู้บริหารเปิดแผนงานครึ่งปีหลังเตรียมเข้าประมูลงานเพิ่ม 7-8 โครงการ มูลค่าร่วม 6,000 ลบ. มั่นใจสิ้นปีบริษัทฯ และบริษัทย่อยปั๊ม รายได้ถึง 2,000 ลบ. จากปีก่อนทำได้ 737 ลบ.
นางไพจิตร รัตนานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)(TRC) กล่าวถึงความพร้อมในการขยายธุรกิจภายหลังควบรวมกิจการกับ บริษัท สหการวิศวกร จำกัด (SKW) ว่าทำให้บริษัทฯ สามารถรับงานได้กว้างขวางยิ่งขึ้น จากงานบริการด้านก่อสร้างและวิศวกรในงานวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติในกลุ่มธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจาก SKW เป็นบริษัทรับงานทางด้านสาธารณูปโภคขั้น พื้นฐาน (Infrastructure) โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานโยธา และเป็นผู้รับเหมาที่จดทะเบียนขึ้นชื่อกับทางหน่วยงานราชการหลายแห่ง อาทิเช่น กรมทางหลวง, กรมชลประทาน ฯลฯ ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายขอบกิจการ ให้บริการให้ครบวงจรมากขึ้น
นอกจากนี้ SKW ยังมีพันธมิตรธุรกิจที่มีศักยภาพคือ Zelan Holding (M) Sdn Bhd ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ Zelan Berhad, Malaysia จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งจัดได้ว่าเป็นผู้นำด้านธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภครายใหญ่ที่สุด รวมทั้งธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันกลุ่มบริษัท Zelan ได้ร่วมลงทุนกับ SKW โดยจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท สหการ ซีแลน(ประเทศไทย) จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 51 และร้อยละ 49 ตามลำดับ เพื่อดำเนินกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และโรงงานผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยและเขตภูมิภาค ซึ่งทำให้ SKW มีแนวโน้มที่จะได้รับงานในด้านโรงงานไฟฟ้า และการบริหารงานโครงการซึ่งเป็นงานที่มีอัตรากำไรขึ้นต้นสูงประมาณร้อยละ 20-30 ซึ่งมากกว่าอัตรากำไรขั้นต้นของงานรับเหมาก่อสร้าง
" หลังจากที่ทั้ง 2 บริษัทควบรวมกิจการแล้วทำให้ TRC แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นทั้งด้านงานวิศวกรรมวางท่อในธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีที่ทำอยู่ แต่จากนี้บริษัทฯ จะมีงานในกลุ่มสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน งานโยธา และงานรับเหมาแบบ Turnkey เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นงานที่สหการวิศกรมีความเชี่ยวชาญ และอนาคตทำให้บริษัทฯสามารถรับงานทั้ง 2 รูปแบบได้อย่างคล่องตัว ซึ่งขณะนี้ได้เดินเครื่องลุยงานอย่างเต็มที่"
นางไพจิตรกล่าวถึงแผนงานในช่วงครึ่งปีหลังว่า TRC และ SKW มีแผนจะเข้าร่วมประมูลงานอีกประมาณ 7-8 โครงการมูลค่ารวมกันประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่ากลุ่มบริษัทจะได้รับงานมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ไม่นับรวมมูลค่างานในมือที่เซ็นสัญญาแล้ว (Backlog) ที่มีในปัจจุบันประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าภาพโดยรวมคือปริมาณงานในตลาดลดลง แต่เนื่องจาก TRC มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันทำให้สามารถชนะการประมูลและได้รับงานได้ไม่ยากนัก
"ในครึ่งปีหลังเราคาดว่างานในส่วนของของธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีจะไม่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจมากนัก เพราะเป็นงานที่ผู้ว่าจ้างต้องดำเนินตามแผนลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว อาทิ งานจาก บมจ.ปตท.(PTT) เป็นต้น แต่สำหรับงานด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานและงานโยธาที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐยอมรับว่าตลาดค่อนข้างจะ slow down ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ TRC ได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ เน้นการรับเหมางานแบบ Turnkey ที่นำเสนอลูกค้าทั้งแพ็คเกจ ตั้งแต่การจัดหาไฟแนนซ์จนถึงก่อสร้างครบวงจร ซึ่งทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น ทดแทนกับปริมาณงานในตลาดที่ลดลงได้ ทำให้บริษัทฯ แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทฯและบริษัทย่อย สิ้นปีนี้ยังมั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้ไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท ตามเป้าหมาย ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนจากปี 2549 ที่ TRC มีรายได้ประมาณ 737 ล้านบาท " นางไพจิตรกล่าวในที่สุด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ณัฐพงษ์ ใจแกล้ว 081-4010226 / 02-5549396