กรุงเทพฯ--12 ก.ค.--วอลล์ ดิสนีย์ สตูดิโอ
ประวัตินักพากย์
แลร์รี เดอะ เคเบิล กาย (พากย์เสียงเมเตอร์) เป็นศิลปินเจ้าของอัลบัมยอดขายมัลติแพลตินัม ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลแกรมมี และเป็นดาวเด่นของซีรีส์ฮิตเรื่องใหม่ทางฮิสทอรี แชนแนล “Only in America with Larry the Cable Guy” ในแต่ละเอพิโซด แลร์รีจะเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เผยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ พร้อมกับนำตัวเองไปซึมซับกับวิถีชีวิต งานและงานอดิเรกใหม่ที่แตกต่าง ซึ่งยกย่องประสบการณ์ของชาวอเมริกัน ผลที่ได้ก็คือการนำเสนอประวัติศาสตร์รูปแบบใหม่ ที่ทั้งน่าจดจำและแปลกประหลาด แลร์รีร่วมแสดงใน “Tooth Fairy 2” สำหรับฟ็อกซ์ ซึ่งจะจัดจำหน่ายในรูปแบบดีวีดีในไตรมาสแรกของปี 2012
ในวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 2009 ที่เมโมเรียล สตาเดียมในลินคอล์น, เนบราสกา แลร์รีได้แสดงต่อหน้าแฟนๆ กว่า 50,000 คน และได้บันทึกการแสดงหนึ่งชั่วโมงของเขา “Tailgate Party” สำหรับคอเมดี เซ็นทรัลด้วย รายการนี้เป็นการขอบคุณแฟนๆ และเนบราสกาสำหรับการสนับสนุนที่ยาวนานของพวกเขา ตั๋วสำหรับรายการนี้ราคาเพียงแค่ 4 เหรียญและก็ขายหมดภายในเวลาเพียงสุดสัปดาห์เดียวเท่านั้น รายการพิเศษนี้แพร่ภาพในวันที่ 31 มกราคม ปี 2010 และดีวีดีก็ออกวางจำหน่ายในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปี 2010 ซีดีคอเมดีชื่อเดียวกันนี้ได้เปิดตัวที่อันดับหนึ่งของบิลบอร์ด คอเมดี ชาร์ต
“The Comedy Central Roast of Larry the Cable Guy” (2009) ที่ควบคุมงานสร้างโดยแลร์รี เป็นรายการที่มีเรตติ้งสูงสุดเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์ของคอเมดี เซ็นทรัล ด้วยยอดผู้ชม 4.1 ล้านคน นอกจากนี้ เขายังเป็นพิธีกรและผู้อำนวยการสร้าง “Larry the Cable Guy’s Star Studded Christmas Extravaganza” ซึ่งแพร่ภาพทางซีเอ็มทีและประสบความสำเร็จด้านเรตติ้งอย่างสูงอีกด้วย รายการพิเศษช่วงคริสต์มาสของเขา “Larry the Cable Guy’s Hula-Palooza Christmas Luau” ได้แพร่ภาพทางซีเอ็มทีในช่วงปลายปี 2009
ในปี 2008 แลร์รีได้ร่วมแสดงกับอิวานา มิลิเซวิค, ยาเพ็ท คอตโต้, ปีเตอร์ สตอร์แมร์, โจ แมนเทนา, เจนนี แม็คคาร์ธีย์และอีริค โรเบิร์ตส์ในภาพยนตร์เรื่อง “Witness Protection” ในปี 2007 เขาได้นำแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Delta Farce” ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา “Larry the Cable Guy: Health Inspector” เข้าฉายในปี 2006 คอเมดีเรื่องนี้นำแสดงโดยโจ แพนโทเลียโน, โจแอนนา คัสซิดี้และโทนี เฮล เมื่อดีวีดีเรื่องนี้วางจำหน่ายในเดือนสิงหาคมปี 2006 มันก็ทำยอดขายได้กว่าหนึ่งล้านก็อปปี้ภายในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย
แลร์รีเป็นส่วนหนึ่งของ “Blue Collar Comedy Tour” คอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 15 ล้านเหรียญ ทีมนักแสดงตลกที่ร่วมแสดงในคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้แก่เจฟฟ์ ฟ็อกซ์เวิร์ธตี้และบิลล์ อิงก์วอล ความสำเร็จของทัวร์ครั้งนั้นนำไปสู่ “Blue Collar Comedy Tour, The Movie” ซึ่งแพร่ภาพทางคอเมดี เซ็นทรัลในเดือนพฤศจิกายน ปี 2003 และเป็นภาพยนตร์ที่ทำเรตติ้งได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ของสถานีในขณะนั้นด้วย ดีวีดีคอนเสิร์ตครั้งนี้ทำยอดขายได้กว่าสี่ล้านก็อปปี้ ซีเควล “Blue Collar Comedy Tour Rides Again” ทำยอดขายได้กว่าสามล้านก็อปปี้ ในเดือนมีนาคม ปี 2006 หนุ่มๆ บลู คอลลาร์ กลับมารวมตัวอีกครั้งเพื่อถ่ายทำ “Blue Collar Comedy Tour, One for the Road” ในกรุงวอชิงตัน, ดีซี ที่วอร์เนอร์ เธียเตอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้แพร่ภาพครั้งแรกทางคอเมดี เซ็นทรัลในวันที่ 4 มิถุนายน ปี 2006 และก็โกยเรตติ้งสูงเช่นเคย ซาวน์แทร็คของเรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมีปี 2006
อัลบัมคอเมดีชุดแรกของเขา “Lord, I Apologize” ทำยอดขายได้ถึงระดับโกลด์ ด้วยจำนวนกว่า 500,000 ก็อปปี้ ซีดีชุดนี้ครองอันดับหนึ่งในบิลบอร์ด คอเมดี ชาร์ต 15 สัปดาห์ติดต่อกัน ดีวีดีพิเศษของแลร์รีในชื่อ “Git-R-Done” ทำยอดขายได้กว่าหนึ่งล้านก็อปปี้และแตะระดับแพลตินัม นอกจากนี้ แลร์รียังได้แสดงใน “Blue Collar TV” ซีรีส์สเก็ตช์คอเมดีทางวอร์เนอร์ เน็ตเวิร์ค ซึ่งแพร่ภาพครั้งแรกในวันที่ 29 กรกฎาคม ปี 2004 อีกด้วย
ซีดีคอเมดีของแลร์รีในชื่อ “Morning Constitutions” วางจำหน่ายในปี 2007 และเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบิลบอร์ด คอเมดี ชาร์ต ส่วนผลงานก่อนหน้านี้ “The Right to Bare Arms” (แจ็ค เรคคอร์ดส์/วอร์เนอร์ บรอส. เรคคอร์ดส์) เปิดตัวที่อันดับหนึ่งในซาวน์สแกน คอเมดี ชาร์ต, อันดับหนึ่งในคันทรี ชาร์ตและอันดับ 7 ในท็อป 200 ชาร์ต มันได้รับประกาศนียบัตรยืนยันยอดขายระดับโกลด์ (500,000 ก็อปปี้) โดย RIAA นอกจากนี้ “The Right to Bare Arms” ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมี และซีดีคริสต์มาสชุดแรกของเขา “A Very Larry Christmas” ก็ทำยอดขายได้ถึงระดับแพลตินัม (1,000,000 ก็อปปี้) ด้วย
แลร์รีได้รับรางวัลศิลปินคอเมดียอดเยี่ยมแห่งปีและรางวัลอัลบัมคอเมดียอดเยี่ยมแห่งปีของบิลบอร์ดในปี 2005 เขาเป็นนักเขียนเบสต์เซลเลอร์ และหนังสือของเขา “Git-R-Done” (2005) ก็เปิดตัวที่อันดับ 26 ในลิสต์เบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์
แลร์รีได้รับการยกย่องให้ติดหนึ่งใน 100 คนดังของฟอร์บส์ในปีนี้ (2011) และเขาก็เคยติดลิสต์นี้มาก่อนสองปีติดต่อกัน (ในปี 2006 และ 2007) โดยลิสต์นี้เป็นการรวบรวมรายชื่อของบุคคลที่ร้อนแรงและประสบความสำเร็จสูงสุดในอุตสาหกรรมบันเทิง นอกจากนี้ แลร์รียังได้รับรางวัลบิลบอร์ด ท็อป คอเมดี ทัวร์ อวอร์ด (2006) อีกด้วย
โอเวน วิลสัน (พากย์เสียงไลท์นิง แม็คควีน) ได้รับคำยกย่องจากการแสดงอันน่าจดจำของเขาทั้งในภาพยนตร์เมนสตรีมและอินดี โดยเขาได้แสดงในโรแมนติกคอเมดีที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงของวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง “Midnight in Paris” ซึ่งร่วมแสดงโดยราเชล แม็คอดัมส์และเอเดรียน โบรดี ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาได้แก่โรแมนติกคอเมดีโดยเจมส์ แอล. บรู๊คส์เรื่อง “How Do You Know” ที่ร่วมแสดงโดยพอล รัดด์และรีส วิทเธอร์สปูน, ภาคสามของ “The Fockers” ที่ร่วมแสดงกับเบน สติลเลอร์และโรเบิร์ต เดอ นีโรและ “Hall Pass” ประกบเจสัน ซูเดคิส, เจนนา ฟิสเชอร์และคริสตินา แอปเปิลเกท ผลงานเรื่องถัดไปของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยเดวิด แฟรงเคลเรื่อง “The Big Year” ประกบสตีฟ มาร์ติน, แจ็ค แบล็คและแองเจลิกา ฮูสตันและ “Turkeys” ภาพยนตร์อนิเมชันคอเมดีที่พากย์เสียงโดยวิลสัน, วู้ดดี้ ฮาร์เรลสันและลุค วิลสัน
ผลงานความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศของวิลสันได้แก่ “Marley & Me” ที่นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ อานิสตัน และสร้างขึ้นจากอนุทินยอดนิยมโดยจอห์น โกรแกน, “Night at the Museum” และซีเควล “Night at the Museum 2: Battle of the Smithsonian” ที่แสดงประกบโรบิน วิลเลียมส์และเบน สติลเลอร์, คอเมดีฮิต “Wedding Crashers” ที่แสดงประกบวินซ์ วอห์นและโรแมนติกคอเมดีเรื่อง “You, Me and DuPree”
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ “Starsky & Hutch,” “Zoolander,” “Drillbit Taylor,” “The Wendell Baker Story,” “Shanghai Noon,” “Behind Enemy Lines,” “I Spy,” “Shanghai Knights,” “Armageddon,” “The Minus Man” และ “The Cable Guy” นอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่ผู้ช่วยอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์เรื่อง “As Good as It Gets” อีกด้วย
วิลสันได้พากย์เสียงภาพยนตร์โดยเวส แอนเดอร์สันเรื่อง “Fantastic Mr. Fox,” “Marmaduke” และ “Cars” ในปี 2006 ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยม
ไมเคิล เคน (พากย์เสียงฟินน์ แม็คมิสไซล์) เป็นหนึ่งในนักแสดงที่ได้รับการยกย่องสูงสุดของวงการภาพยนตร์ ด้วยผลงานภาพยนตร์กว่าร้อยเรื่องและรางวัลเกียรติยศมากมายตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษ เคน เจ้าของสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมครั้งแรกจากภาพยนตร์โดยวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง “Hannah and Her Sisters” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและบาฟตา อวอร์ดด้วยเช่นกัน เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่สองจากการแสดงในภาพยนตร์โดยแลสซี ฮอลสตรอมเรื่อง “The Cider House Rules” ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลแซ็ก อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและบาฟตา อวอร์ดด้วย
นอกเหนือจากนั้น เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกสี่ครั้ง ครั้งแรกในปี 1966 จากบทนำใน “Alfie” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับรางวัลนักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์กด้วย เขาได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ครั้งที่สองและรางวัลลูกโลกทองคำ รวมถึงได้รับรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด อวอร์ดจากบทไมโล ทินเดิลในภาพยนตร์ปี 1972 เรื่อง “Sleuth” ที่แสดงประกบลอว์เรนซ์ โอลิเวียร์ การแสดงของเขาใน “Educating Rita” ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่สามและรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลบาฟตา เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์, ลูกโลกทองคำและบาฟตาครั้งล่าสุดจาก “The Quiet American” ปี 2002 ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอนด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ เคนได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอนและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จาก “Little Voice” เขาได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอนครั้งล่าสุดจากการแสดงของเขาในดรามาพีเรียดโดยคริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่อง “The Prestige” นี่เป็นผลงานเรื่องที่สองของเขากับผู้กำกับโนแลนหลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในภาพยนตร์ฮิตปี 2005 เรื่อง “Batman Begins” ที่เคนรับบทอัลเฟร็ด บัตเลอร์และคนสนิทของบรูซ เวย์น ในปี 2008 เขาได้กลับมารับบทอัลเฟร็ดอีกครั้งในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยโนแลนเรื่อง “The Dark Knight”
เคนมีชื่อเดิมว่ามอริซ มิคเคิลไวท์ เขาเกิดทางตอนใต้ของลอนดอนในปี 1933 และเริ่มสนใจการแสดงตั้งแต่เด็กๆ หลังจากที่เขาได้ปลดประจำการจากกองทหารราชินีและกองทหารรักษาพระองค์ในปี 1953 เขาก็เริ่มต้นชิมลางงานแสดง หลังจากที่เขาได้ชื่อในวงการจาก “The Caine Mutiny” เขาก็ได้ทัวร์อังกฤษในละครเวทีหลายเรื่อง และเริ่มปรากฏตัวในภาพยนตร์และซีรีส์โทรทัศน์อังกฤษหลายเรื่อง
ในพิธีพระราชสมภพของพระราชินีปี 1992 เคนได้รับการแต่งตั้งยศคอมมานเดอร์ ออฟ เดอะ ออร์เดอร์แห่งอาณาจักรอังกฤษ (ซี.บี.อี.) และแปดปีให้หลัง เขาก็ได้รับการประดับยศเป็นอัศวิน
หนึ่งในผลงานของเอมิลี มอร์ติเมอร์ (พากย์เสียงฮอลลีย์ ชิฟท์เวล) คือบทแจ้งเกิดในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง “Lovely & Amazing” เรื่องราวหวานปมขมน่าขบขันเกี่ยวกับผู้หญิงอับโชคสี่คนที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และบทเรียนที่พวกเธอได้เรียนรู้ในการต้องรองรับความต้องการที่เกิดจากอาการวิตกจริตของพวกเธอเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้มอร์ติเมอร์โด่งดังและได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในปี 2003
มอร์ติเมอร์ได้แสดงภาพยนตร์หลากหลายแนว ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศโดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง “Shutter Island” ที่เธอรับบทคนไข้ลึกลับของคลินิก ที่เรื่องราวเกิดขึ้น, คอเมดีฮิตเรื่อง “City Island” ที่แสดงประกบแอนดี้ การ์เซีย, ดรามาอาชญากรรมเรื่อง “Harry Brown” ซึ่งเธอรับบทนักสืบประกบไมเคิล เคน, ทริลเลอร์เรื่อง “Transsiberian” ที่กำกับโดยแบรด แอนเดอร์สันและร่วมแสดงโดยวู้ดดี้ ฮาร์เรลสันและเบน คิงส์ลีย์และ “The Pink Panther 2” ที่เธอกลับมารับบทนิโคลประกบสตีฟ มาร์ตินอีกครั้ง
ผลงานหลังจากนี้ของมอร์ติเมอร์ได้แก่ “Hugo Cabret” ซึ่งทำให้มอร์ติเมอร์ได้ร่วมงานกับมาร์ติน สกอร์เซซีอีกครั้งสำหรับภาพยนตร์ผจญภัยเกี่ยวกับชีวิตลับของเด็กกำพร้าในผนังสถานีรถไฟปารีส และคอเมดีเรื่อง “My Idiot Brother” ที่กำกับโดยเจสซี เปเรทซ์และนำแสดงโดยมอร์ติเมอร์, อลิซาเบธ แบงค์และโซอี้ เดสชาแนล ในบทของพี่น้อง ผู้ซึ่งชีวิตต้องสั่นคลอนด้วยพี่ชายที่ปรารถนาดีของพวกเธอ ที่รับบทโดยพอล รัดด์
มอร์ติเมอร์นำแสดงในโปรเจ็กต์โทรทัศน์หลายเรื่องให้กับบีบีซีและรับบทฟีบี้ คนรักของอเล็ค บัลด์วิน ระหว่างซีซันปี 2007 ในซีรีส์ฮิตทางเอ็นบีซีเรื่อง “30 Rock”
มอร์ติเมอร์เกิดในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เธอเป็นลูกสาวของนักเขียนชื่อดัง เซอร์จอห์น มอร์ติเมอร์ และเพเนโลเป้ กลอสซ็อป มอร์ติเมอร์ได้เข้าศึกษาที่สถาบันเลื่องชื่อ เซนต์ปอล เกิร์ลส์ สคูลในบาร์เนส กรุงลอนดอน หลังจากนั้น เธอก็ได้ศึกษาภาษาอังกฤษและรัสเซียที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดระหว่างปี 1990-1994 เธอสมรสกับนักแสดงอเลสซานโดร นิโวลาในปี 2002 ลูกชายของทั้งคู่เกิดในปี 2003 และลูกสาวของทั้งคู่ก็เกิดในปี 2010
เอ็ดดี้ อิซซาร์ด (พากย์เสียงไมลส์ เอ็กเซลร็อด) หนึ่งในนักแสดงตลกชื่อดังแห่งยุค กำลังสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะนักแสดงจอแก้ว จอเงินและละครเวที
ปัจจุบัน อิซซาร์ดกำลังแสดงซีซันที่สามของซีรีส์ “United States of Tara” ทางโชว์ไทม์ เขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์โจรสลัดคลาสสิก “Treasure Island” ที่เขารับบทลอง จอห์น ซิลเวอร์ประกบเอไลยาห์ วู้ดในบทเบน กันน์สำหรับไซไฟ แชนแนล
“Believe: The Eddie Izzard Story” ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี อวอร์ดเมื่อปีที่แล้ว สารคดีดั้งเดิมเรื่องนี้ได้กลั่นกรองมาจากฟุตเตจหลายพันชั่วโมง ซึ่งบันทึกเรื่องราวของเขาตั้งแต่เริ่มแรกจนกระทั่งเขามามีชื่อเสียงเหมือนในปัจจุบันนี้ เมื่อปีที่แล้ว อิซซาร์ดได้แสดงละครบรอดเวย์โดยเดวิด มาเม็ตเรื่อง “Race” และในภาพยนตร์อินดีเรื่อง “Every Day” ประกบลีฟ ชไรเบอร์, เฮเลน ฮันท์และคาร์ลา กูจิโน
ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของเขาได้แก่ “Valkyrie” ที่แสดงประกบทอม ครูซ, ภาพยนตร์อนิเมชันโดยเอ็มจีเอ็มเรื่อง “Igor,” ภาพยนตร์โจรกรรมโดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง “Ocean’s Thirteen” และ “Ocean’s Twelve” ที่ร่วมแสดงโดยจอร์จ คลูนีย์และแบรด พิทท์และภาพยนตร์โดยจูลีย์ เทย์เมอร์เรื่อง “Across the Universe” และเขายังได้พากย์เสียงภาพยนตร์โดยเจอร์รี แซนเฟลด์เรื่อง “Bee Movie” อีกด้วย
อิซซาร์ดได้วิ่งการกุศลเป็นระยะทาง 1,100 ไมล์ผ่านอังกฤษ เวลส์ ไอร์แลนด์เหนือและสก็อตแลนด์ เขาได้ระดมทุนจำนวน 250,000 เหรียญสำหรับสปอร์ตส์ รีลิฟ ซึ่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในอังกฤษและประเทศยากจนทั่วโลก
จอห์น ทูเทอร์โร (พากย์เสียงฟรานเชสโก้ เบอร์นูลลี) ได้เข้าศึกษาที่เยล สคูล ออฟ ดรามา สำหรับการเปิดตัวในโลกละครเวที เขาได้รับบทนำในละครของจอห์น แพทริค แชนลีย์เรื่อง “Danny and the Deep Blue Sea” ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโอบี อวอร์ดและรางวัลเธียเตอร์ เวิลด์ อวอร์ด นับตั้งแต่นั้น ทูเทอร์โรก็ได้แสดงละครเรื่อง “Italian American Reconciliation,” “La Puta Vida,” “The Bald Soprano,” “Waiting for Godot,” ละครโดยเบรทช์เรื่อง “The Resistible Rise of Arturo Ui” ในบทนำ, ละครโดยยัสมินา เรซาเรื่อง “Life X 3” ในละครของเอดัวร์โด เดอ ฟิลิปโปเรื่อง “Souls of Naples” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลดรามา เดสก์ อวอร์ด นอกจากนี้ เขายังได้กำกับละครโดยเรซาเรื่อง “A Spanish Play” ที่ซีเอสซีอีกด้วย
สำหรับผลงานจอแก้ว ทูเทอร์โรได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดจากบทโฮเวิร์ด โคเซลใน “Monday Night Mayhem” และได้รับรางวัลเอ็มมีจากบทดารารับเชิญของเขาในซีรีส์ฮิตเรื่อง “Monk” ในซัมเมอร์ปี 2007 เขาได้แสดงบทบิลลี มาร์ติน กัปตันแยงกี้ชื่อดังในมินิซีรีส์ “The Bronx Is Burning” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ด
ทูเทอร์โรได้แสดงใน “Transformers” ทั้งสองภาคของไมเคิล เบย์, ภาพยนตร์โดยแอนโธนี ฮ็อปกินส์เรื่อง “Slipstream,” ภาพยนตร์โดยโนอาห์ บอมบัคเรื่อง “Margot at the Wedding,” ภาพยนตร์โดยสไปค์ ลีเรื่อง “The Miracle at St. Anna” และภาพยนตร์โดยโทนี สก็อตต์เรื่อง “The Taking of Pelham 123” ซัมเมอร์ปีนี้ เขาจะได้กลับมารับบทเดิมอีกครั้งใน “Transformers: Dark of the Moon” ทูเทอร์โรสำเร็จการศึกษาจากเยล สคูล ออฟ ดรามา และเอสยูเอ็นวาย นิว พอลท์ และได้ศึกษากับโรเบิร์ต เอ็กซ์. โมดิกา
เบรนท์ มัสเบอร์เกอร์ (พากย์เสียงเบรนท์ มัสแตงเบอร์เกอร์) หนึ่งในผู้ประกาศข่าวที่มีพรสวรรค์และมากความสามารถที่สุดในวงการ เข้าทำงานที่เอบีซี สปอร์ตส์ในปี 1990 นับตั้งแต่เข้าทำงานที่เอบีซี มัสเบอร์เกอร์ได้รายงานข่าวการแข่งขันลิตเติล ลีก เวิลด์ ซีรีส์, บาสเก็ตบอลมหาวิทยาลัย, เอ็นบีเอ, ฟุตบอลมหาวิทยาลัย, เมเจอร์ ลีก เบสบอล, เกมเพลย์ออฟ NFL, เกมฟุตบอลคืนวันจันทร์และเป็นพิธีกรการรายงานการแข่งขัน PGA, เวิลด์ ฟิกเกอร์สเก็ตและการแข่งขันกรีฑาประเภทลู่และลานของสถานี
นอกเหนือจากนั้น มัสเบอร์เกอร์ยังได้รายงานสดการแข่งขันเอ็นบีเอ ไฟนอลส์ทางอีเอสพีเอ็น เรดิโอมาตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา และเขาก็ได้รายงานข่าวกีฬาช่วงบ่ายของทุกวันอีกด้วย
เอบีซีประกาศการมาถึงของมัสเบอร์เกอร์ว่า “เรายินดีที่ได้เบรนท์ มัสเบอร์เกอร์มาเป็นหนึ่งในผู้ประกาศข่าวของเรา ที่เราเชื่อว่ามีคุณภาพดีที่สุดในจอแก้ว มัสเบอร์เกอร์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถมหาศาลในกีฬาหลากหลายประเภท ซึ่งทำให้เขาเหมาะสมอย่างยิ่งในการรักษาคุณภาพและส่งเสริมการนำเสนอรายการที่เพิ่มมากขึ้นของเอบีซี สปอร์ต”
ก่อนหน้าที่จะเข้าทำงานที่เอบีซี สปอร์ตส์ มัสเบอร์เกอร์เป็นสมาชิกของทีมผู้ประกาศข่าวกีฬาซีบีเอส สปอร์ตส์ ตั้งแต่ปี 1975 เขาเป็นผู้ดำเนินรายการ “The NFL Today” ช่วงก่อนเข้าเกม พักครึ่งและหลังเกมของการรายงาน NFL นอกเหนือจากนั้น เขายังเป็นผู้ประกาศหลักสำหรับการแข่งขันเอ็นซีเอเอ ไฟนอล ทัวร์ บาสเก็ตบอล ทัวร์นาเมนต์ด้วย นอกจากนี้ มัสเบอร์เกอร์ได้รับหน้าที่พิธีกรรายการ “CBS Sports Saturday/Sunday,” ยูเอส โอเพน เทนนิส แชมเปียนชิพ, รอบไฟนอลของสมาคมบาสเก็ตบอลระดับชาติ, มาสเตอร์ส ทัวร์นาเมนต์และแพน อเมริกัน เกมส์
ระหว่างเข้าศึกษาเมดิลล์ สคูล ออฟ จัวร์แนลลิซึมแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น มัสเบอร์เกอร์ก็ถูกดึงตัวไปยังชิคาโก้ อเมริกา ที่ซึ่งเขากลายเป็นนักเขียนข่าวกีฬาที่ได้รับรางวัล งานผู้สื่อข่าวของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาได้เข้าทำงานที่ดับบลิวบีบีเอ็ม เรดิโอในชิคาโก้ในปี 1968 ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกีฬา ภายหลัง เขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาที่ดับบลิวบีบีเอ็ม ทีวี ก่อนจะย้ายไปลอสแองเจลิสเพื่อเป็นพิธีกรร่วมในข่าวภาคกลางคืนของสถานีเคเอ็นเอ็กซ์ที-ทีวี
มัสเบอร์เกอร์และอาร์ลีน ภรรยาของเขา มีลูกชายด้วยกันสองคน
โจ แมนเทนา (พากย์เสียง เกรม) ได้รับรางวัลโทนีและรางวัลโจเซฟ เจฟเฟอร์สัน อวอร์ดจากการแสดงที่ได้รับการยกย่องของเขาในบทริชาร์ด โรมาในละครที่ได้รับรางวัลพูลิทเซอร์โดยเดวิด มาเม็ตเรื่อง “Glengarry Glen Ross” ผลงานจอแก้วและจอเงินส่วนหนึ่งของแมนเทนาได้แก่ “House of Games,” “Searching for Bobby Fischer,” “Godfather III,” บทดีน มาร์ตินใน “The Rat Pack” และการพากย์เสียงแฟท โทนีใน “The Simpsons” แมนเทนาได้แสดงประกบแมรี สทีนเบอร์เกนและแอมเบอร์ แทมบลินในดรามาฮิตทางซีบีเอสเรื่อง “Joan of Arcadia” ที่ได้รับรางวัลพีเพิลส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขาดรามาใหม่ยอดเยี่ยมในปี 2004 และได้รับการเสนอชื่อชิงอีกสามรางวัลเอ็มมี เป็นเวลาสองซีซัน ปัจจุบัน แมนเทนารับบทเจ้าหน้าที่พิเศษเอฟบีไอ เดวิด รอสซีในดรามาฮิตทางซีบีเอสเรื่อง “Criminal Minds”
โธมัส เครสช์แมนน์ (พากย์เสียง ศาสตราจารย์ซี) ได้แสดงในภาพยนตร์และซีรีส์ยุโรปหลายเรื่อง ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Dracula 3D” สำหรับดาริโอ อาร์เจนโต และเขาก็เพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำ “The River” ทางเอบีซี ให้กับผู้ควบคุมงานสร้างสตีเวน สปีลเบิร์ก
เครสช์แมนน์ ได้นำแสดงใน “Resident Evil: Apocalypse” และรับบทแม็กซ์ในซีรีส์ “24” ในปี 2005 เขาได้แสดงประกบเอเดรียน โบรดี้และนาโอมิ วัตส์ในรีเมกเรื่อง “King Kong” โดยปีเตอร์ แจ็คสัน ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “Wanted” ที่เขาแสดงประกบเจมส์ แม็คอะวอยและแองเจลินา โจลี, “Transsiberian” ที่กำกับโดยแบรด แอนเดอร์สันและนำแสดงโดยวู้ดดี้ ฮาร์เรลสันและเอมิลี มอร์ติเมอร์, “The Young Victoria” ประกบเอมิลี บลันท์และรูเพิร์ต เฟรนด์และภาพยนตร์โดยไบรอัน ซิงเกอร์เรื่อง “Valkyrie” ที่นำแสดงโดยทอม ครูซ
ปีเตอร์ จาค็อบสัน (พากย์เสียงเอเซอร์) โด่งดังจากบททนายความฝ่ายค้านลิ้นทอง แรนดี้ ดวอร์คินในซีรีส์ “Law and Order” เขามีผลงานที่หลากหลายทั้งในจอแก้ว จอเงินและละครเวที
ด้านจอแก้ว เขาได้รับบทดร.คริส ท็อบในดรามาการแพทย์ที่ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดเรื่อง “House,” ได้แสดงประกบเด็บบรา เมสซิงในมินิซีรีส์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงเอ็มมี อวอร์ดเรื่อง “The Starter Wife” และแสดงประกบปีเตอร์ เคราส์และจูลีแอนนา มาร์กิลิสใน “The Lost Room” มินิซีรีส์หกชั่วโมงที่ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเอ็มมี อวอร์ด ผลงานอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง “Path to War” และ “61*” ที่กำกับโดยบิลลี คริสตัล รวมถึงบทดารารับเชิญในซีรีส์ “CSI: Miami,” “Criminal Minds,” “Will & Grace,” “ER,” “Boston Legal” และ “Scrubs”
ผลงานภาพยนตร์ของเขาได้แก่คอเมดีเรื่อง “What Just Happened” ที่กำกับโดยแบร์รี เลวินสัน, “Transformers” ที่กำกับโดยไมเคิล เบย์, แอ็กชันทริลเลอร์เรื่อง “Domino” ที่ร่วมแสดงโดยเคียรา ไนท์ลีย์, “Failure to Launch” และ “Good Night, and Good Luck” ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดงสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม เขาได้ร่วมแสดงกับเควิน นีลอนและฌอน แอสตินในภาพยนตร์เรื่อง “And They’re Off” จาค็อบสันได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังหลายคน ซึ่งรวมถึงจอห์น แฟรงเคนไฮเมอร์, วู้ดดี้ อัลเลน, จอร์จ คลูนีย์, เดวิด แฟรงเคล, เจมส์ แอล. บรู๊คส์, อัลฟองโซ คัวรอนและทิม ร็อบบินส์
จาค็อบสันสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบราวน์ ก่อนจะศึกษาต่อที่เดอะ จูเลียร์ด สคูลในนิวยอร์ก ปัจจุบัน เขาสมรสแล้วและมีลูกชายหนึ่งคน
บอนนี ฮันท์ (พากย์เสียงแซลลี) ฮันท์เป็นศิลปินมากความสามารถที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในโลกภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครในฐานะ มือเขียนบท ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้างและนักแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี, ลูกโลกทองคำและแซ็ก อวอร์ด
ฮันท์เติบโตขึ้นในถิ่นชนชั้นแรงงานของชิคาโก้ เธอได้ทำงานด้านการแสดงกับเซคคันด์ ซิตี้ โรงละครอิมโพรไวเซชันชื่อดังพร้อมๆ กับการทำงานเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลนอร์ธเวสเทิร์น เมโมเรียล ไม่นานนัก ฮันท์ก็เริ่มเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของผู้ชมด้วยบทคามีโอที่ติดตรึงในความทรงจำของเธอ เช่นในภาพยนตร์เรื่อง “Rain Man” ที่เธอรับบทสาวเสิร์ฟที่ทำไม้จิ้มฟันหล่นและไกด์นำชมทำเนียบขาวในเรื่อง “Dave” บทอิมโพรไวส์ของเธอ (“เรากำลังเดิน เรากำลังเดิน …”) โด่งดังขึ้นทันทีเมื่อผู้ชมตอบรับอารมณ์ขันที่โดดเด่นและเข้าถึงได้ง่ายของเธอ
ผลงานที่ฮันท์ได้ร่วมงานกับดิสนีย์/พิกซาร์ได้แก่ “A Bug’s Life,” “Monsters Inc.,” “Cars” และ “Toy Story 3” เธอไม่เพียงแต่พากย์เสียงใน “Cars” เท่านั้น แต่เธอยังมีเครดิตการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวอีกด้วย
ผลงานภาพยนตร์อินดีของฮันท์ได้แก่ “Stolen Summer,” “Loggerheads” และ “I Want Someone to Eat Cheese With”
ฮันท์ทุ่มเทให้กับการใช้เวลากับผู้ป่วยและการระดมทุนเพื่อการค้นคว้าวิจัย เธอให้ทั้งชื่อและเวลาของเธอไปกับโครงการการกุศลที่เธอสนับสนุน เช่นเดอะ ลูรีย์ แคนเซอร์ เซ็นเตอร์, เดอะ อาร์ธิริส ฟาวน์เดชัน, เดอะ ชิลเดรนส์ เบรน ทูเมอร์ ฟาวน์เดชัน, นอร์ธเวสเทิร์น เบรน ทูเมอร์ ฟาวน์เดชัน, มัลติเพิล ไมเอโลมา รีเสิร์ช ฟาวน์เดชัน, คาซา โคไลนา รีแฮ็บ แฟซิลิตี้ (ปีกสำหรับบำบัดผู้ป่วยในชื่อของฮันท์เปิดดำเนินการที่คาซา โคไลนาแล้ว)
การปรากฏตัวที่น่าตลกขบขันและบ่อยครั้งของเธอในรายการทอล์คโชว์ทำให้เธอได้รับการยกย่องจากเอนเตอร์เทนเมนต์ วีคลีว่าเป็นแขกรับเชิญ (รายการทอล์คโชว์) ที่ดีที่สุดในอเมริกา
ดาร์เรล วอลทริป (พากย์เสียงดาร์เรล คาร์ทริป) เป็นแชมป์ถ้วยนาสการ์ วินสตัน แชมเปียนสามสมัย (1981, 1982, 1985) เขาชนะการแข่งขันวินสตัน คัพ 84 ครั้ง ซึ่งเป็นอันดับสามของลิสต์ชัยชนะมากที่สุดตลอดกาล (ร่วมกับบ็อบบี้ อัลลิสัน) วอลทริปเป็นผู้วิเคราะห์ทางโทรทัศน์และผู้บรรยายการแข่งขันประจำฟ็อกซ์ สปอร์ตส์ และเขาก็ได้รับบทเป็นตัวเองในภาพยนตร์เรื่อง “Talladega Nights” อีกด้วย เขากลับมาพากย์เสียงดาร์เรล คาร์ทริป ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์ปี 2006 เรื่อง “Cars” อีกครั้งใน “Cars 2”
วอลทริปเริ่มแล่นบนเส้นทางนี้ด้วยการขับรถโกคาร์ทตอนอายุได้ 12 ปี เขาได้เข้าสู่การแข่งรถครั้งแรกในสี่ปีให้หลัง วอลทริปและพ่อของเขาได้สร้างรถ 1936 เชฟโรเล็ต คูเป้ขึ้นมาและขับรถคันนั้นไปสนามแข่งดินลูกรังใกล้ๆ บ้านที่โอเวนส์โบโร, เคนตั๊กกี้ของพวกเขา ค่ำคืนแรกของพวกเขาห่างไกลจากความสำเร็จเมื่อตัวเขา ที่อายุไม่มากพอจะขับขี่บนถนนใหญ่ได้ด้วยซ้ำ ขับชนกำแพงทำให้รถคูเป้เสียหายอย่างหนัก ไม่นานหลังจากนั้น วอลทริปก็โบกมืออำลาดินลูกรังและพบความถนัดของเขาบนยางมะตอย ที่ซึ่งความพลิ้วไหวที่เขาได้เรียนรู้จากการขับรถคาร์ทเป็นประสบการณ์ที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง กิจกรรมการแข่งรถของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจนถึงปลายยุค 60s วอลทริปก็กลายเป็นขาประจำของสนามแข่งรถในแนชวิลล์, เทนเนสซี
วอลทริปกลายเป็นนักแข่งสนามระยะสั้นระดับแนวหน้าของประเภทอย่างรวดเร็วและเริ่มต้นชิงชัยถ้วยนาสการ์ วินสตัน คัพครั้งแรกในปี 1972 ที่สนามทัลลาเดกา ซูเปอร์สปีดเวย์ในอลาบามา เขาลงแข่งในนาสการ์อย่างสม่ำเสมอพร้อมๆ กับการใช้ชีวิตเป็นนักแข่งสนามระยะสั้น ในที่สุดในปี 1975 วอลทริปก็ตัดสินใจที่จะมาลงแข่งนาสการ์ วินสตัน คัพอย่างเต็มตัว
ชื่อของวอลทริปได้รับการบรรจุอยู่ในนอร์ธ แครอไลนา มอเตอร์สปอร์ตส์ ฮอล ออฟ เฟม, เนชันแนล มอเตอร์สปอร์ตส์ ฮอล ออฟ เฟมและอินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์สปอร์ตส์ ฮอล ออฟ เฟม สถิติการแข่งขันของเขาได้แก่
- ชัยชนะ 37 ครั้งในการแข่งขันซูเปอร์สปีดเวย์ เป็นอันดับเจ็ดในลิสต์ตลอดกาล
- ได้ครองตำแหน่งสตาร์ทแถวหน้าในการแข่งขันวินสตัน คัพ 59 ครั้ง เป็นอันดับสี่ในลิสต์ตลอดกาล
- ได้ครองตำแหน่งสตาร์ทแถวหน้าในการแข่งขันซูเปอร์สปีดเวย์ 23 ครั้ง เป็นอันดับหกในลิสต์ตลอดกาล
- แชมป์การแข่งขัน 1989 เดย์โทนา 500
- เป็นนักแข่งเพียงคนเดียวที่คว้าเงินรางวัลได้ 500,000 เหรียญหรือมากกว่านั้นในซีซันเดียว 18 ครั้ง
- เป็นผู้ชนะเลิศห้าสมัยของการแข่งขันโคคา-โคลา 600 (1978, 1979, 1985, 1988 and 1989) ที่ชาร์ล็อตต์ มอเตอร์ สปีดเวย์ เพียงคนเดียว
- ชนะเลิศการแข่งขันเดอะ วินสตันที่ชาร์ล็อตต์ในปี 1985
ฟรังโก้ นีโร (พากย์เสียงลุงโทโปลิโน) สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมทั่วโลกมาตลอด 45 ปีที่ผ่านมาในบทพระเอกและนักแสดงสมทบ ด้วยการปฏิเสธบทบาทแบบเดิมๆ และตอนนี้ เขาก็ทำหน้าที่มือเขียนบท ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับด้วยเช่นกัน
เขาเกิดในเมืองปาร์มา ประเทศอิตาลี เขาเข้าศึกษาโรงเรียนการละคร และย้ายไปกรุงโรมเมื่อเขาร่วมกับเพื่อนสร้างภาพยนตร์สารคดีขึ้นมา หลังจากที่ทำงานเบื้องหลังด้วยการเป็นช่างภาพได้ซักพัก เขาก็ถูกค้นพบโดยผู้กำกับจอห์น ฮูสตัน ผู้เลือกเขาให้รับบทอาเบลใน “The Bible: In the Beginning” (1965) ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น เขาก็แจ้งเกิดด้วยภาพยนตร์เวสเทิร์นสปาเก็ตตี้คัลท์คลาสสิกที่โด่งดังระดับโลกเรื่อง "Django” ในปีถัดมา โจชัว โลแกนก็ได้เลือกเขาให้แสดงในเวอร์ชันภาพยนตร์ของเรื่อง "Camelot” (วอร์เนอร์ บรอส.) ประกบวาเนสซา เร้ดเกรฟ ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ความสัมพันธ์ของนีโรและเร้ดเกรฟหลังจากนั้นนำไปสู่ลูกชายของทั้งคู่ คาร์โล ที่ตอนนี้เป็นมือเขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์
ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา เขาเป็นผู้สนับสนุนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดอน บอสโกในเมืองทิโวลี ประเทศอิตาลี ในปี 1992 เขาได้รับการประดับยศ คอมเมนดาโทเร ออฟ เดอะ รีพับลิคโดยประธานาธิบดีในขณะนั้นของอิตาลี ในปีนี้ เขาเพิ่งได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยบรูเนลแห่งลอนดอน
เดวิด ฮ็อบส์ (พากย์เสียงเดวิด ฮ็อบส์แค็ป) เป็นอดีตนักแข่งรถชาวอังกฤษ ที่ปัจจุบันรับหน้าที่ผู้บรรยายการแข่งขันรถสูตร 1 ให้กับสปีด แชนแนล เขาเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในนักแข่งที่มีความสามารถหลากหลายที่สุดในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ที่ลงแข่งในการแข่งขันฟอร์มูลา วัน, อินดี้ คาร์, นาสการ์, เลอ แมนส์, แคน-แอม, เอฟ5000 (ชนะเลิศในปี 1971) และทรานส์-แอม (ชนะเลิศในปี 1983) ในปี 1969 ชื่อของฮ็อบส์ได้รับการรวมอยู่ในลิสต์รายชื่อนักแข่งรถชั้นนำของเอฟบีไอ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มนักแข่งระดับสูง 27 คน ที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดในโลกจากความสำเร็จของพวกเขา ชื่อของฮ็อบส์ได้รับการบรรจุให้อยู่ในมอเตอร์สปอร์ตส์ ฮอล ออฟ เฟม แห่งอเมริกาในปี 2009
ฮ็อบส์ใช้ชีวิตอยู่ในมิลวอคี, วิสคอนซิน และเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของเดวิด ฮ็อบส์ ฮอนด้าในเกลนเดล, วิสคอนซิน ซึ่งขายและให้บริการยานพาหนะฮอนด้าทั้งใหม่และมือสองทุกรุ่น เดวิด ฮ็อบส์ ฮอนด้า เป็นทั้งตัวแทนจำหน่ายนอย่างเป็นทางการของมิลวอคี 225 ไอซ็อด อินดี้คาร์ เรซ และเป็นผู้สนับสนุนไฟร์สโตน อินดี้ ไลท์ เดวิด ฮ็อบส์ 00
โทนี ชาลูบ์ (พากย์เสียงหลุยจี้) เป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลเอ็มมี ลูกโลกทองคำและแซ็ก อวอร์ด สำหรับผลงานของเขาในซีรีส์ “Monk”
ผลงานภาพยนตร์มากมายของเขาได้แก่ “The Great New Wonderful,” “Galaxy Quest,” “Spy Kids,” “The Siege,” “Searching for Bobby Fischer,” “Primary Colors,” “Men in Black,” “The Man Who Wasn’t There” และ “Big Night” และเขายังได้พากย์เสียง หลุยจี้ ในภาพยนตร์ฮิตเรื่อง “Cars” อีกด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ชาลูบ์เพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Too Big to Fail” ให้กับเอชบีโอ เขาเปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วยภาพยนตร์อินดีเรื่อง “Made-Up” ที่เขาแสดงประกบบรู๊ค อดัมส์ ภรรยาของเขา
ผลงานละครของชาลูบ์ผู้เป็นนักแสดงละครเวทีที่ประสบความสำเร็จได้แก่ “Waiting for Godot,” “The Heidi Chronicles,” “Conversations with My Father” และ “The Scene” และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาก็ได้แสดงละครบรอดเวย์เรื่อง “Lend Me a Tenor” อีกด้วย
เจฟฟ์ การ์ลิน (พากย์เสียง โอทิส) เป็นมือเขียนบท ผู้อำนวยการสร้าง นักแสดงและนักแสดงตลกสแตนด์อัพ คอเมดี เขาร่วมแสดงและควบคุมงานสร้างซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Curb Your Enthusiasm” ที่นำแสดงโดยแลร์รี เดวิด ผู้สร้าง “Seinfeld” คอเมดีที่โดดเด่นเรื่องนี้ได้การ์ลินมารับบทเจฟฟ์ กรีน ผู้จัดการที่ภักดีของเดวิด ซีรีส์ดังเรื่องนี้ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาคอเมดียอดเยี่ยม, รางวัลแดนนี โธมัส ผู้อำนวยการสร้างแห่งปีจากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกาและรางวัลเอเอฟไอ ซีรีส์คอเมดียอดเยี่ยมแห่งปี และในตอนนี้ ก็กำลังฉายซีซันที่แปดทางเอชบีโอ
การ์ลินเป็นชาวชิคาโก้ เขาศึกษาการสร้างภาพยนตร์และเริ่มแสดงสแตนด์อัพ คอเมดีระหว่างที่ศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยไมอามี ในฐานะสมาชิกเซคคันด์ ซิตี้ เธียเตอร์ การ์ลินได้ตระเวนแสดงทั่วประเทศในฐานะนักแสดงตลกสแตนด์อัพ คอเมดี รายการสแตนด์อัพ คอเมดีพิเศษครั้งแรกของเขา “Young & Handsome: A Night With Jeff Garlin” ถ่ายทำที่โรงละครเซคคันด์ ซิตี้ เธียเตอร์ในชิคาโก้ และเปิดตัวทางช่องคอเมดี เซ็นทรัล
การ์ลินมีผลงานจอแก้ว จอเงิน และหนังสือมากมาย หนังสือเล่มแรกของเขา “My Footprint” ตีพิมพ์โดยไซมอน สปอตไลท์ในปี 2010 ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาในฐานะผู้กำกับ ที่เขานำแสดงเองและเขียนบทเอง เรื่อง “I Want Someone to Eat Cheese With” จัดจำหน่ายโดยไอเอฟซี และ เดอะ วีนสไตน์ คัมปะนี และประสบความสำเร็จด้านคำวิจารณ์อย่างล้นหลาม นอกจากนี้ การ์ลินยังชื่นชอบการได้ร่วมงานกับพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ เขาได้พากย์เสียงกัปตันใน “WALL-E” และบัตเตอร์คัพใน “Toy Story 3” อีกด้วย
มิเชล มิเคลิส (พากย์เสียง ทอมเบอร์) เป็นศิลปิน นักเขียน นักร้อง ล่ามและนักแสดงมากความสามารถ เขาเกิดในเมืองมอนท์เพลเลียร์ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เขาใช้ชีวิตอยู่ในนาร์บอนน์จนกระทั่งอายุได้ 17 ปี ก่อนจะเริ่มแสวงโชคด้วยตัวเอง
กว่า 30 ปีมาแล้วที่เขาได้ร่วมทำงานในโปรเจ็กต์หลากหลายกับนักแสดง ผู้กำกับ นักดนตรี คณะละครสัตว์และผู้จัดรายการวิทยุมากความสามารถ
ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2000 มิเคลิสได้ตั้งกลุ่มซาก้า ไทรบ์ขึ้นในซานฟรานซิสโก เป็นวงดนตรีทริโอบลูส์ ซึ่งได้แสดงในคอนเสิร์ตหลายครั้งทั้งในและรอบๆ บริเวณเบย์ แอเรีย ในปี 2003 เขาได้พักงานดนตรีไว้ชั่วคราวเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับลูนา ลูกสาวของเขา ในฤดูใบไม้ผลิปี 2006 เขาได้กลับมาจับงานดนตรีอีกครั้งเพื่อทำอัลบัม “Le monde est tetu” ขึ้นมา มิเคลิสได้ทัวร์ฝรั่งเศสระหว่างปี 2007-2008 ร่วมกับวงซาก้าและโนเนม บลูส์ ก่อนจะปิดทัวร์ในแคลิฟอร์เนียระหว่างฤดูใบไม้ผลิปี 2008 เพลง “Petite Fee Clochette” ของอัลบัมนี้ถูกเปิดตามสถานีวิทยุ 400 แห่งทั่วอเมริกา ในปี 2009 มิเคลิสได้ก่อตั้งวงยิปซี แจ๊ส รู มาน็อคขึ้นในซานฟรานซิสโก
ปัจจุบัน เขาเป็นส่วนหนึ่งของซิตีเซน บลูส์ วงดนตรีบลูส์ใหม่ ที่มีอัลบัม “La Trace” สำหรับตลาดฝรั่งเศส ซึ่งเขาได้ร่วมแสดงในทรานแซท บลูส์ ทัวร์ในยุโรป
เจสัน ไอแซ็คส์ (พากย์เสียง ซิดเดอลีย์ และลีแลนด์ เทอร์โบ) หนึ่งในนักแสดงที่มากความสามารถและมีพรสวรรค์สูงสุดในรุ่นของเขา เกิดในเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ก่อนจะย้ายไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงลอนดอนกับครอบครัว เขาเริ่มอาชีพงานแสดงที่มหาวิทยาลัยบริสทอล ที่ซึ่งเขาศึกษาด้านกฎหมายแต่พบว่าตัวเองสนใจศิลปะการแสดงมากกว่า หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาก็เข้าศึกษาที่เซ็นทรัล สคูล ออฟ สปีช แอนด์ ดรามาในกรุงลอนดอนทันที และเขาก็ได้ศึกษาที่นั่นนานสามปี ในปี 2000 ไอแซ็คส์ได้แจ้งเกิดด้วยบทผู้พันวิลเลียม ทาวิงตัน ในภาพยนตร์โดยโรแลนด์ เอ็มเมอริคเรื่อง “The Patriot” ที่เขาแสดงประกบเมล กิ๊บสันและฮีธ เล็ดเจอร์ การแสดงครั้งนั้นทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอน สองปีให้หลัง ไอแซ็คส์ได้รับบทที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากที่สุด นั่นก็คือลูเชียส มัลฟอย ผู้ชั่วร้าย พ่อของดราโกใน “Harry Potter and the Chamber of Secrets” หลังจากนั้น เขาก็ได้กลับมารับบทเดิมอีกครั้งใน “Harry Potter and the Goblet of Fire,” “Harry Potter and the Order of the Phoenix” และสองภาคสุดท้าย “Harry Potter and the Deathly Hallows Part 1” (พฤศจิกายนปี 2010) และ “Part 2” (กรกฎาคม ปี 2011)
ผลงานล่าสุดของไอแซ็คส์คือทริลเลอร์โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง “Green Zone” ดรามาสงครามเรื่องนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นในและรอบๆ กรีนโซนของอิรัก ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการณ์ของกองกำลังอเมริกันในสงครามตะวันออกกลาง ไอแซ็คส์รับบทเจ้าหน้าที่ทหารชาวอเมริกัน บริคส์ ประกบแมทท์ เดมอนและเกร็ก คินเนียร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยพอล กรีนกราส ทำให้นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาและไอแซ็คส์ได้ร่วมงานกัน หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ในปี 1997 เรื่อง “The Fix” ทางบีบีซี
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ “End of the Affair,” ภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง “Armageddon,” “Dragonheart,” “Divorcing Jack” และมิวสิคัล “The Last Minute” นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมงานกับผู้กำกับพอล แอนเดอร์สัน เพื่อนของเขาหลายครั้ง ได้แก่ทริลเลอร์ไซไฟเรื่อง “Event Horizon,” “Soldier” และภาพยนตร์คัลท์สัญชาติอังกฤษเรื่อง “Shopping” คนที่สายตาดีหน่อยอาจเห็นเขารับบทคามีโอแบบไม่มีเครดิตในภาพยนตร์โดยแอนเดอร์สันเรื่อง “Resident Evil,” ภาพยนตร์โดยร็อบ โบว์แมนเรื่อง “Elektra” และภาพยนตร์ทดลองโดยไมค์ ฟิกกิสเรื่อง “Hotel”
ไอแซ็คส์เรียนการชกมวยสำหรับการแสดงประกบซิเกอร์นีย์ วีฟเวอร์และเทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ใน “Abduction” ทริลเลอร์ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มที่ออกเดินทางเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับชีวิตของเขาหลังจากที่พบภาพถ่ายวัยแบเบาะของเขาในเว็บไซต์บุคคลสูญหาย (กันยายน ปี 2011) นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมแสดงในดรามาบีบีซีเรื่อง “Case Histories” ที่เขารับบทพระเอกของเรื่องอีกด้วย (มิถุนายน ปี 2011) ไอแซ็คส์ได้รับบทนำในดรามาเอ็นบีซีเรื่อง “REM” (2011)
เจนนิเฟอร์ ลูอิส (พากย์เสียงโฟล) มีความสามารถในการดึงดูดผู้ชม ซึ่งเกิดจากน้ำเสียง อารมณ์ขันตลกโปกฮาและการแสดงอันทรงพลังของเธอ ที่ได้รับการขัดเกลาจากการแสดงบนละครบรอดเวย์ยอดนิยมเช่น “Eubie,” ”Comin’ Uptown,” “Dreamgirls,” “Rock and Roll, the First 5,000 Years” และละครโปรดักชันของนีล ไซมอนเรื่อง “Promises Promises” นอกจากนี้ ลูอิสยังได้แสดงประกบเมอริล สตรีพในละครโปรดักชันซัมเมอร์ของเชคสเปียร์ อิน เดอะ ปาร์คเรื่อง “Mother Courage and Her Children” อีกด้วย เธอได้หวนคืนสู่เวทีบรอดเวย์เพื่อรับบทมอเตอร์เมาธ์ เมย์เบลล์ในมิวสิคัลฮิตเรื่อง “Hairspray” และหลังจากนั้นเธอก็ได้นำแสดงในโปรดักชันที่ประสบความสำเร็จของละครเรื่อง “Hello Dolly!” ที่ฟิฟธ์ อะเวนิว เธียเตอร์
ระหว่างการร่วมแสดงกับเบ็ทท์ มิดเลอร์ในฐานะหนึ่งในนักร้องแบ็คอัพฮาร์เล็ตต์ของเธอนั่นเองที่ฮอลลีวูด “เคาะประตู” เข้ามา หลังจากได้เข้าสู่ฮอลลีวูดแล้ว ลูอิสก็ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากบทแม่ของทีนา เทิร์นเนอร์ใน “What’s Love Got to Do With It” และสำหรับภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีเรื่อง “The Preacher’s Wife” ที่เธอแสดงประกบเดนเซล วอชิงตัน ทั้งสองเรื่องทำให้เธอได้รับการขนานนามอย่างน่ารักว่า “แบล็คมาเธอร์แห่งฮอลลีวูด”
ลูอิสเลือกเวทีเป็นสถานที่ในการเปิดเผยอาการไบโพลาร์ของเธอด้วยการเขียนบทและนำแสดงในละครเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จเรื่อง “Bipolar Bath and Beyond” ก่อนจะออกรายการ “The Oprah Winfrey Show” เพื่อสนับสนุนให้มีการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี
ลูอิสรับอุปการะเด็กหญิงชาร์เมน ผ่านทางโครงการบิ๊ก บราเธอร์/บิ๊ก ซิสเตอร์ สาขาลอสแองเจลิส เธอเป็นผู้สนับสนุนและนักเคลื่อนไหวสำหรับการค้นหาวิธีการรักษาโรคมะเร็งเต้านมและเอชไอวี/เอดส์
ซิก ฮันเซน (พากย์เสียง แคร็บบี้) เกิดในเมืองซีแอตเติล, วอชิงตัน เขาเป็นคนแรกในครอบครัวที่เกิดในอเมริกา เขาเป็นชาวประมงรุ่นที่สี่และเป็นหนึ่งในกัปตันที่ได้ออกรายการ “Deadliest Catch” ทางช่องดิสคัฟเวอรี แชนแนล ฮันเซนเป็นลูกคนโตในจำนวนพี่น้องสามคน สเวอร์เร ฮันเซน พ่อของพวกเขา เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการจับปูอลาสก้าในอลาสก้าและเป็นผู้สร้างนอร์ธเวสเทิร์น ซึ่งเป็นเรือของครอบครัวขึ้นมา
ปัจจุบัน ฮันเซนเป็นกัปตันและเป็นเจ้าของเรือนอร์ธเวสเทิร์นร่วมกับน้องชายสองคน เอ็ดการ์ ฮันเซนรับหน้าที่ต้นหนและนอร์แมน ฮันเซนรับหน้าที่กะลาสี ฮันเซนใช้ชีวิตอยู่ในซีแอตเติลกับจูน ภรรยาของเขาและลูกๆ สองคน
วาเนสซา เร้ดเกรฟ (พากย์เสียงพระราชินีและมามา โทโปลิโน) และฟรังโก้ นีโร ผู้รับบทลุงโทโปลิโน ได้ร่วมแสดงด้วยกันครั้งล่าสุดในภาพยนตร์ซัมมิทเรื่อง “Letters to Juliet” (2010) ทั้งคู่ได้แสดงร่วมกันเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง “Camelot” ในปี 1967 ในบทกวิเนเวียร์และแลนสล็อต พวกเขาได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์อิตาลีหลายเรื่อง กับผู้กำกับหลายคนเช่นมิเกลันเจโล แอนโทนิโอนี, เอลิโอ เพทรีและทินโต แบรส ในภาพยนตร์เรื่อง “La Vacanza,” (1972) ที่กำกับโดยทินโต แบรส พวกเขาแสดงในภาษาอิตาเลียน สำเนียงเวเนเซีย
เร้ดเกรฟได้แสดงภาพยนตร์หลายเรื่องเป็นภาษาอิตาลี เธอรับบทโวลุมเนียประกบราล์ฟ ไฟนส์ ในผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา “Coriolanus” ตัวแทนของประเทศอังกฤษในการเข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2011
ชีค มาริน (พากย์เสียง ราโมน) ที่โด่งดังที่สุดในฐษนะหนึ่งในคู่หูตลกเสียดสี แบบไม่มียั้ง ชีคและชอง เป็นความขัดแย้งในโลกบันเทิง เขาเป็นทั้งนักแสดง ผู้กำกับ มือเขียนบท นักดนตรี นักสะสมศิลปะและผู้ใจบุญ มีพรสวรรค์ อารมณ์ขันและความเฉลียวฉลาดมากพอที่จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น จนถึงวันนี้ ภาพยนตร์ของชีคและชองก็ยังคงติดอันดับหนึ่งของวิดีโอเช่าและมารินก็ได้รับการยอมรับในฐานะไอคอนด้านวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง
มารินเกิดในวันที่ 13 กรกฎาคม ปี 1946 ในเซาธ์ เซ็นทรัล ลอสแองเจลิสและเติบโตมาในกรานาดา ฮิลส์ ชานเมืองในซานเฟอร์นันโด วัลลีย์ เขาชื่นชอบดนตรีมาโดยตลอด หลังจากเข้าศึกษาภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, นอร์ธริดจ์ เขาก็ออกมา “เพื่อแสวงหาประติมากรรมและหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร” ทั้งๆ ที่ขาดเพียงแปดหน่วยกิตก็จะสำเร็จการศึกษา อย่างไรก็ดี ในปี 2004 เขาก็ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นจากทางมหาวิทยาลัยด้วย
มารินเป็นคนเชื้อสายเม็กซิกัน/อเมริกันรุ่นที่สาม เขาได้รับการยกย่องจากคุณูปการที่เขาทำให้กับชาวลาตินโดยอิมาเจน ฟาวน์เดชัน ด้วยรางวัลความสำเร็จสร้างสรรค์ปี 2000 และโดยเนชันแนล เคาน์ซิล ออฟ ราซา แอนด์ คราฟท์ ฟู้ดส์ ด้วยรางวัลอัลมา คอมมิวนิตี้ เซอร์วิส อวอร์ดปี 1999 ในปี 2007 เขาได้รับปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์สาขาศิลปกรรมศาสตร์สำหรับคุณูปการที่เขามีต่อศิลปะสร้างสรรค์จากวิทยาลัยโอทิส คอลเลจ ออฟ อาร์ต แอนด์ ดีไซน์ และได้รับรางวัลเลกาซี อวอร์ด ฟอร์ อาร์ตส์ แอดโวเคซี จากสถาบันสมิธโซเนียน ลาติโน เซ็นเตอร์ ปัจจุบัน เขาดำรงตำแหน่งกรรมการบอร์ดบริหารสมิธโซเนียน ลาติโน เซ็นเตอร์และกองทุนฮิสปานิค สกอร์ลาชิพ ฟันด์
มารินเป็นนักกอล์ฟที่มีอันดับระดับประเทศ ที่แข่งขันในแวดวงกอล์ฟการกุศล ผลิตภัณฑ์ซอสกูร์เมต์ของเขาได้รับการจำหน่ายไปทั่วประเทศ มารินแต่งงานกับนาตาชา มาริน (อดีตนาตาชา รูบิน) นักเปียโนคลาสสิกชาวรัสเซีย พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในมาลิบู, แคลิฟอร์เนีย
เจฟฟ์ กอร์ดอน (พากย์เสียงเจฟฟ์ กอร์เว็ตต์) เป็นแชมเปี้ยนนาสการ์ คัพ ซีรีส์ สี่สมัย (1995, 1997, 1998, 2001) และเป็นผู้ชนะเลิศเดย์โทนา 500 สามสมัย (1997, 1999, 2005) เขาติดอันดับผู้ชนะตลอดกาลอันดับห้าด้วยสถิติชนะ 83 ครั้งและครองสถิติชนะบนท้องถนนเก้าครั้ง ไฮไลท์ในอาชีพนักแข่งรถของเขาได้แก่
- ชนะเลิศการแข่งขันอินเดียนาโพลิส มอเตอร์ สปีดเวย์ บริคยาร์ด 400 สี่ครั้ง (1994, 1998, 2001, 2004)
- ชนะเลิศการแข่งขันดาร์ลิงตัน เรซเวย์ เซาเธิร์น 500 ห้าครั้ง
- ชนะเลิศการแข่งขัน 1997 วินสตัน มิลเลียน
- ชนะเลิศการแข่งขันวินสตัน โน บุล ห้าล้านเหรียญ สี่ครั้ง
- ชนะเลิศการแข่งขันนาสกาณ์ สปรินท์ ออลสตาร์ เรซ สามครั้ง (1995, 1997, 2001)
- ครองสถิติสำหรับการแข่งขันที่มีการใส่แผ่นบังอากาศเข้าไป (12)
พอล ดูลีย์ (พากย์เสียงซาร์จ) ได้รับการค้นพบในปี 1977 หลังจากอยู่ในวงการมา 25 ปี และกลายเป็น “คนดังในชั่วข้ามคืน”
ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อ โรเบิร์ต อัลท์แมน ผู้กำกับคนดังเห็นเขาแสดงละครเวทีคอเมดีของจูลส์ ไฟเฟอร์เรื่อง “Hold Me” อัลท์แมน ผู้โด่งดังจาก “MASH” และ “Nashville” ได้เลือกดูลีย์ให้รับบทสามีของแครอล เบอร์เน็ตต์และพ่อของเจ้าสาวในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขา “A Wedding” ในทันที
หลังจากที่ได้แสดงนำในภาพยนตร์อีกเรื่องของอัลท์แมน “A Perfect Couple” ดูลีย์ก็ได้รับบทที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล การแสดงสุดฮาในบทคุณพ่อผู้ทุกข์ตรมในเรื่องราวการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แสนคลาสสิก “Breaking Away” ทำให้เขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลาม และส่งให้เขาได้แสดงละครเวทีคอเมดีของจอห์น ฮิวจ์เรื่อง “Sixteen Candles” การแสดงบทพ่อที่น่าเห็นใจของมอลลี ริงวัลด์ทำให้เขาได้เป็นที่ชื่นชมของผู้ชมทุกกลุ่ม
หลังจากนั้น ดูลีย์ก็กลายเป็นผู้ร่วมสร้างและหัวหน้าทีมเขียนบทของ “The Electric Company” รายการสำหรับเด็กที่ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดทางพีบีเอส ระหว่างนี้ ดูลีย์ก็ยังคงแสดงละครเวทีในนิวยอร์กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงบทที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงขของเขา เคซีย์ สเตนเกลในละครเดี่ยวเกี่ยวกับชีวิตของโค้ชเบสบอลที่พิลึกคน
ในช่วงหลายปีให้หลัง ดูลีย์ได้หันไปใช้พรสวรรค์ของเขากับงานเขียนบท ด้วยการร่วมมือกับ อดัม ลูกชายของเขาในเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของเขาในเวสต์ เวอร์จิเนีย ปัจจุบัน เขากำลังหาทุนเพื่อนำเรื่องราวส่วนตัวนี้ขึ้นสู่จอเงิน ขณะนี้เขากำลังอยู่ระหว่างการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องที่สอง ดูลีย์ใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับภรรยาของเขา วินนี โฮลซ์แมน ซึ่งเป็นนักเขียนด้วยเช่นเดียวกัน ดูลีย์มีลูกสี่คน คือโรบิน อดัม ปีเตอร์และซาวันนาห์ และเขาก็มีหลานสามคน
แคทเธอรีน เฮลมอนด์ (พากย์เสียงลิซซี) เกิดในวันที่ 5 กรกฎาคม ปี 1928 ในกัลเวสตัน, เท็กซัส เธอได้รับการเลี้ยงดูโดยเธลมา มาโลน แม่ของเธอและยายของเธอ ทั้งคู่เป็นไอริช คาธอลิค เฮลมอนด์เข้าศึกษาที่โรงเรียนคาธอลิคและได้แสดงละครเวทีและร่วมประกวดในการแข่งขันของโรงเรียนหลายครั้ง ระหว่างที่ยังเรียนไฮสคูลอยู่ เธอก็ได้รับงานที่โรงละครท้องถิ่น ในการช่วยซ่อมแซมฉาก ทำความสะอาดห้องน้ำและดึงผ้าม่าน
ด้านจอเงิน เธอได้นำแสดงใน “Brazil”ในบทแม่ของโจนาธาน ไพรซ์ ผู้เสพติดการศัลยกรรมความงามและเข้าไปยุ่งกับชีวิตที่ยุ่งเหยิงของลูฏชาย ในปี 1983 เธอได้ศึกษาเวิร์คช็อปการกำกับที่สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน และได้กำกับสี่เอพิโซดของซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง “Benson” และ “Who’s the Boss” นอกจากนี้ เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีจากบทนา โรบินสัน คุณยายหัวใหม่ใน “Who’s the Boss” และบทโลอิสใน “Everybody Loves Raymond” อีกด้วย
แม้ว่าเฮลมอนด์จะขึ้นชื่อว่าเป็นดาราจอแก้วตั้งแต่ “Soap” แต่เธอก็ยังคงมีผลงานละครเวทีอย่างต่อเนื่องในยุค 2000s และได้รับการยกย่องจากการแสดงของเธอใน “Vagina Monologues” เฮลมอนด์ใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส และมีบ้านอยู่ในนิวยอร์กด้วยเช่นกัน
ประวัติทีมผู้สร้าง
จอห์น ลาสเซ็ทเตอร์ (ผู้กำกับ เรื่องราวดั้งเดิมโดย) เป็นผู้กำกับที่เคยได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดมาแล้วสองครั้งและทำการดูแลภาพยนตร์ทุกเรื่องรวมถึงโปรเจ็กต์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ของพิกซาร์และดิสนีย์ ลาสเซ็ทเตอร์เปิดตัวผลงานการกำกับครั้งแรกในปี 1995 ด้วยเรื่อง “Toy Story” ภาพยนตร์คอมพิวเตอร์อนิเมชันขนาดยาวเรื่องแรก นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “A Bug’s Life,” “Toy Story 2” และ “Cars”
ผลงานการควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ของเขาได้แก่ “Monsters, Inc.,” “Finding Nemo,” “The Incredibles,” “Ratatouille,” “WALL?E,” “Bolt” และภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเมื่อปีที่แล้วเรื่อง “Up” ที่เป็นภาพยนตร์อนิเมชันเรื่องแรกที่ได้รับเกียรติให้เป็นภาพยนตร์เปิดงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และได้รับสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมและดนตรีประกอบยอดเยี่ยมอีกด้วย นอกจากนี้ ลาสเซ็ทเตอร์ยังทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์ดิสนีย์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เรื่อง “The Princess and the Frog” และ “Tangled” รวมไปถึงภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมและเพลงประกอบภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมเรื่องล่าสุดของดิสนีย์และพิกซาร์ “Toy Story 3” ซึ่งสร้างขึ้นจากเรื่องราวโดยลาสเซ็ทเตอร์, แอนดรูว์ สแตนตันและลี อังค์ริช
ลาสเซ็ทเตอร์ได้เขียนบท กำกับและสร้างอนิเมชันให้กับภาพยนตร์ขนาดสั้นช่วงเริ่มแรกหลายเรื่องให้กับพิกซาร์ ซึ่งรวมถึง “Luxo Jr.,” “Red’s Dream,” “Tin Toy” และ “Knickknack” “Luxo Jr.” เป็นภาพยนตร์คอมพิวเตอร์อนิเมชันสามมิติเรื่องแรกที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเมื่อมันได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นยอดเยี่ยมในปี 1986 ส่วน “Tin Toy” เป็นภาพยนตร์คอมพิวเตอร์ อนิเมชันสามมิติเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเมื่อมันคว้ารางวัลในสาขาภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นยอดเยี่ยมในปี 1988 มาครองได้สำเร็จ นอกจากนี้ เขายังได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นทุกเรื่องของสตูดิโอนับตั้งแต่นั้นมา เช่น “Boundin’,” “One Man Band,” “Lifted,” “Presto,” “Partly Cloudy,” “Day & Night” และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Geri’s Game” (1997) และ “For the Birds” (2000)
ภายใต้การดูแลของเขา ภาพยนตร์อนิเมชันและภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นของพิกซาร์ได้รับรางวัลเกียรติยศจากนักวิจารณ์และจากวงการภาพยนตร์มากมาย เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขาความสำเร็จพิเศษในปี 1995 จากความเป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน “Toy Story” นอกจากนี้ เขาและทีมงานเขียนบทของ “Toy Story” ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ภาพยนตร์แอนิเมชั่นได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในสาขานี้อีกด้วย
ในปี 2009 ลาสเซ็ทเตอร์ได้รับรางวัลเกียรติคุณแห่งชีวิตสิงโตทองคำจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 66 ในปีถัดมา เขากลายเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อนิเมชันคนแรกที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณเดวิด โอ. เซลส์นิคสาขาภาพยนตร์ จากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา รางวัลอื่นๆ ที่ลาสเซ็ทเตอร์ได้รับได้แก่รางวัลคุณูปการต่อภาพของภาพยนตร์จากสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์ในปี 2004, ปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์จากสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน และรางวัล 2008 วินเซอร์ แม็คเคย์ อวอร์ดจากเอเอสไอเอฟเอ-ฮอลลีวูด สำหรับความสำเร็จและคุณูปการที่เขามีต่ออนิเมชัน
ก่อนหน้าการก่อตั้งพิกซาร์ขึ้นในปี 1986 ลาสเซ็ทเตอร์เป็นสมาชิกแผนกคอมพิวเตอร์ในลูคัสฟิล์ม ลิมิเต็ด ที่ซึ่งเขาได้ออกแบบและสร้างอนิเมชันภาพยนตร์เรื่อง “The Adventures of Andre and Wally B” ซึ่งเป็นภาพยนตร์คอมพิวเตอร์อนิเมชันสามมิติจากตัวละครเรื่องแรกและสร้างอนิเมชันของตัวละครอัศวินกระจกแก้วในภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยสตีเวน สปีลเบิร์กในปี 1985 เรื่อง “Young Sherlock Holmes”
ลาสเซ็ทเตอร์ได้เข้าศึกษาหลักสูตรอนิเมชันตัวละครที่แคลอาร์ต และได้รับปริญญาตรีสาขาภาพยนตร์จากที่นั่นในปี 1979 ระหว่างที่เขาศึกษาที่แคลอาร์ต ลาสเซ็ทเตอร์ได้รับสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ดนักศึกษาสาขาอนิเมชันจากผลงานนักศึกษาเรื่อง “Lady and the Lamp” (1979) และ “Nitemare” (1980) ลาสเซ็ทเตอร์ได้รับรางวัลเป็นครั้งแรกเมื่ออายุห้าขวบ เมื่อเขาได้รับเงินรางวัล 15 เหรียญจากโมเดล โกรเซอรี มาร์เก็ตในวิทเทียร์, แคลิฟอร์เนีย จากภาพวาดระบายสีคนขี่ม้าไร้หัว
แบรด ลูอิส (ผู้กำกับร่วม เรื่องราวดั้งเดิมโดย) เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2001 ด้วยประสบการณ์ 20 ปีในจอเงิน ละครเวที จอแก้วและโฆษณา ลูอิสเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Ratatouille” ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลผู้อำนวยการสร้างแห่งปีสำหรับภาพยนตร์อนิเมชันจากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา
ก่อนหน้าพิกซาร์ ลูอิสได้ทำงาน 13 ปีในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้าง ผู้ควบคุมงานสร้างและรองประธานบริหารฝ่ายงานสร้างที่แปซิฟิค ดาต้า อิเมจิส ซึ่งเป็นบริษัทลูกของดรีมเวิร์คส์ อนิเมชัน เอสเคจี เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง “ANTZ” และผลงานภาพยนตร์ส่วนหนึ่งของเขาได้แก่ “Forces of Nature,” “The Peacemaker” และ “Broken Arrow”
ลูอิสได้อำนวยการสร้างรายการพิเศษทางโทรทัศน์หลายเรื่องเช่น “The Last Halloween” โดยฮันนา-บาร์เบรา ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมีและเอพิโซด 3D แรกของ “The Simpsons” เขาได้รับรางวัลเอ็มมีครั้งที่สองจากงานออกแบบกราฟฟิคที่ใช้ในรายการ “Monday Night Football” ทางเอบีซี ผลงานการสร้างโฆษณาที่โดดเด่นของลูอิสทำให้เขาได้รับรางวัลคลิโอสองครั้ง
ลูอิสได้เข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรกจากการเป็นผู้ช่วยส่วนตัวใน “The Merv Griffin Show” และเขาก็ได้ขึ้นเวทีแสดงบทสัตว์ประหลาดเต้นระบำในละครเรื่อง “Sesame Street Live!” อีกด้วย
ลูอิสสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาการละครจากมหาวิทยาลัยเฟรสโน และใช้ชีวิตอยู่ในซานคาร์ลอส, แคลิฟอร์เนีย กับภรรยา ลูกชายและลูกสาว เขาได้ทำหน้าที่นายกเทศมนตรีของเมืองในปี 2008
เดนิส รีม (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนตุลาคม ปี 2006 ในตำแหน่งผู้ช่วยอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Up” ในฐานะผู้ช่วยอำนวยการสร้าง เธอได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้อำนวยการสร้างของเรื่อง เพื่อจัดการตารางทำงาน งบประมาณ และทีมงาน ปัจจุบัน รีมกำลังทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ดิสนีย์/พิกซาร์เรื่อง “Cars 2” ที่มีกำหนดจะเข้าฉายในวันที่ 24 มิถุนายน ปี 2011
รีมได้รับแรงบันดาลใจที่จะทำงานในสายงานสร้างจากภาพยนตร์เรื่อง “Apocalypse Now,” “Lawrence of Arabia,” “Gone With the Wind” และ “The Wizard of Oz” ด้วยแรงกระตุ้นจากความสนใจในการสร้างและควบคุมฝ่ายโลจิสติกของงานสร้างภาพยนตร์อีพิคแบบนั้น รีมจึงเริ่มต้นการทำงานในลอสแองเจลิส ในตำแหน่งผู้ช่วยงานสร้างในภาพยนตร์ทุนต่ำ โฆษณา มิวสิค วิดีโอและภาพยนตร์ทุนหนา
เธอเข้าสู่แวดวงงานสร้างภาพยนตร์ด้วยการทำงานในบอส ฟิล์ม สตูดิโอส์ บริษัทวิชวล เอฟเฟ็กต์ที่สร้างขึ้นตามแบบอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ที่เชี่ยวชาญด้านเอฟเฟ็กต์ 65 ม.ม. เป็นพิเศษ รีมเริ่มต้นทำงานที่บอสเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อก่อนที่จะไปลงเอยที่งานผู้อำนวยการสร้างโฆษณา ระหว่างที่เธอทำงานที่บอสนั้นเองที่เธอได้ตกหลุมรักงานอนิเมชันและเอฟเฟ็กต์
หลังจากทำงานที่บอสห้าปี รีมก็ได้ทำงานที่อินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ที่ซึ่งเธอทำงานฝ่ายงานสร้างนาน 13 ปี เธอเริ่มต้นทำงานเป็นผู้อำนวยการสร้างในแผนกโฆษณาก่อนจะขยับไปจับงานภาพยนตร์อย่างรวดเร็ว ระหว่างที่เธอทำงานที่นั่น เธอได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์และอนิเมชันในภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Daylight,” “Eraser,” “Deep Impact,” “Amistad,” “The Adventures of Rocky and Bullwinkle,” “Harry Potter and the Sorcerer’s Stone,” “Timeline” และ “Tears of the Sun” นอกจากนี้ เธอยังรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์และอนิเมชันใน “Star Wars: Episode III—Revenge of the Sith” และใช้เวลาในปีสุดท้ายที่ไอแอลเอ็มไปกับการทำหน้าที่ผู้บริหารที่ดูแลงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Mission Impossible 3,” “Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest,” “Lady in the Water” และ “Transformers”
รีมเกิดและเติบโตในลอสแองเจลิส, แคลิฟอร์เนีย เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวรรณคดีอังกฤษจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, เบิร์คลีย์ ปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่ในมิลล์ วัลลีย์, แคลิฟอร์เนีย
เบน ควีน (บทภาพยนตร์โดย) เริ่มเขียนบทให้กับภาพยนตร์ช่วงซัมเมอร์ของดิสนีย์และพิกซาร์เรื่อง “Cars 2” ในปี 2008 “Cars 2” ที่สร้างขึ้นจากเรื่องราวโดยจอห์น ลาสเซ็ทเตอร์, แบรด ลูอิสและแดน โฟเกลแมน เป็นโปรเจ็กต์แรกที่ควีนได้ร่วมงานกับพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์
ควีนเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “The Art of Cars 2” กับคาเรน เพ็ค โดยมีคำนิยมเขียนโดยจอห์น ลาสเซ็ทเตอร์ ผู้กำกับของเรื่อง
ควีนเป็นผู้สร้างและผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ทางฟ็อกซ์เรื่อง “Drive” และเขาก็ได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างที่คอยให้คำปรึกษาซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “Century City” เขาได้พัฒนาตอนไพล็อตร่วมกับเอ็นบีซี, เอบีซีและฟ็อกซ์และได้เขียนบทภาพยนตร์ให้กับสตูดิโอหลายแห่ง รวมถึงวอร์เนอร์ บรอส., นิวไลน์, ดรีมเวิร์คส์และยูนิเวอร์แซล
ควีนสำเร็จการศึกษาจากยูเอสซี สคูล ออฟ ซีเนมา-เทเลวิชันและปัจจุบัน ใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับครอบครัว
ไมเคิล จิอัคคิโน (คอมโพสเซอร์) เริ่มต้นอาชีพในแวดวงภาพยนตร์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบในสวนหลังบ้านของเขา และท้ายที่สุด เขาก็ได้ไปเรียนการสร้างภาพยนตร์ที่สคูล ออฟ วิชวล อาร์ตส์ในนิวยอร์ก ซิตี้ หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาก็ได้ทำงานการตลาดที่ดิสนีย์และเริ่มศึกษาด้านการประพันธ์ดนตรีที่จูเลียร์ด ก่อนจะไปศึกษาต่อที่ยูซีแอลเอ จากการตลาด เขาก็ได้กลายเป็นผู้อำนวยการสร้างในแผนกดิสนีย์ อินเตอร์แอ็คทีฟ ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ ที่ซึ่งเขาสามารถจ้างตัวเองให้แต่งดนตรีสำหรับวิดีโอเกมของพวกเขาได้ ผลงานของเขาได้รับความสนใจจากสตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้บอกว่า “ผมทำในสิ่งที่คนสติดีทุกคนจะทำ นั่นคือผมเลือกเขาให้มาแต่งดนตรีประกอบ ‘Medal of Honor’ และประวัติที่เหลือของจิอัคคิโน ก็เกิดขึ้นจากตัวเขาเอง”
ผลงานของไมเคิลในการแต่งดนตรีประกอบวิดีโอเกมเป็นที่สนใจของเจเจ อับรามส์ ผู้ติดต่อเขาผ่านทางอีเมล์เพื่อคุยถึงความเป็นไปได้ในการแต่งดนตรีประกอบซีรีส์ “Alias” พวกเขาได้พบกัน เขาได้งานนี้ และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็เกิดขึ้น และนำไปสู่ผลงานของเขาในซีรีส์น่าทึ่งเรื่อง “Lost” ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมี
เขาได้เปิดตัวในโลกการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เป็นครั้งแรกจาก “The Incredibles” หลังจากนั้น เขาก็ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศหลายเรื่องเช่น “Sky High,” “The Family Stone,” “Mission: Impossible III,” “Ratatouille” และ “Star Trek” เมื่อปีที่แล้ว ดนตรีประกอบที่เขาแต่งให้กับภาพยนตร์ฮิตของดิสนีย์/พิกซาร์เรื่อง “Up” ทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ หลังจากที่เขากวาดรางวัลจากเรื่องนี้มาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลบาฟตา รางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดและสองรางวัลแกรมมี อวอร์ด
จิอัคคิโนเพิ่งเสร็จสิ้นจากการทำงานใน “Super 8” โดยเจเจ อับรามส์ และผลงานต่อจากนี้ของเขาได้แก่ “Mission Impossible: Ghost Protocol” ที่กำกับโดยแบรด เบิร์ด และ “John Carter” ที่กำกับโดยแอนดรูว์ สแตนตัน
เขาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการเอ็ดดูเคชัน ธรู มิวสิค ลอสแองเจลิส
นาธาน สแตนตัน (ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเรื่องราว) เริ่มต้นทำงานที่พิกซาณ์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนมิถุนายน ปี 1998 ในตำแหน่งนักวาดภาพเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องที่สองของพิกซาร์ “A Bug’s Life” และได้ทำงานกับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จของสตูดิโอหลายเรื่องนับแต่นั้น สแตนตันได้มีส่วนร่วมในการเขียนสตอรีบอร์ดในภาพยนตร์เรื่อง “Toy Story 2,” “Monsters, Inc.,” และบรรดาภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดทั้งหลายได้แก่ “Finding Nemo,” “Ratatouille” และ “WALL?E”
ก่อนหน้าการทำงานใน “Cars 2” สแตนตันเป็นส่วนหนึ่งของทีมเรื่องราวสำหรับภาพยนตร์พิกซาร์ที่จะเข้าฉายในช่วงซัมเมอร์ปี 2012 เรื่อง “Brave” ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการทำงานในโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ขนาดสั้น
ในแผนกเรื่องราว สแตนตันและทีมงานของเขาร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับผู้กำกับและมือเขียนบทของเรื่อง (ซึ่งบ่อยครั้งเป็นคนๆ เดียวกัน) เพื่อสร้างตัวเรื่องราวขึ้นมา ทีมงานได้วาดภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาทีละฉากๆ ผ่านทางสตอรีบอร์ดและได้จัดการเรื่องของการแสดง การจัดฉาก การคอมโพส และการลำดับภาพเพื่อสร้างตัวภาพยนตร์ขึ้นมาก่อนที่มันจะเคลื่อนไหวได้ ฟิล์มภาพเรื่องราวที่ถูกสร้างนั้นก็จะถูกฉายให้ทีมอื่นๆ ที่พิกซาร์ได้ดู ก่อนจะมีการปรับปรุง แก้ไขเพื่อทำให้เรื่องราวแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สแตนตันก็เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่เติบโตขึ้นมากับการดูการ์ตูน ภาพยนตร์ ภาพยนตร์อนิเมชันและอ่านหนังสือการ์ตูน เขาเริ่มต้นวาดภาพตั้งแต่ยังเด็กและเมื่อเขาโตขึ้น เขาก็เริ่มรู้ตัวว่าเขาอยากจะทำงานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ สแตนตันก็เหมือนกับเพื่อนๆ พิกซาร์หลายคน ที่ยินดีกับการค้นพบเส้นทางในการทำให้ความฝันในการได้วาดภาพของตัวเองเป็นจริงที่สถาบันแคลอาร์ตส์
สแตนตันย้ายไปซานฟรานซิสโกในปี 1992 และไม่นานเขาก็ได้รับตำแหน่งอนิเมเตอร์ผู้ช่วย 2D ใน The Nightmare Before Christmas” ที่สแคลลิงตัน โปรดักชันส์ หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำงานในโคลอสซัล พิคเจอร์ส ในโปรเจ็กต์อนิเมชัน 2D หลายเรื่อง หลังจากนั้น สแตนตันก็ได้กลับไปทำงานที่สแคลลิงตัน โปรดักชันส์อีกครั้งใน “James and the Giant Peach” หลังจากที่ได้ทำงานระยะสั้นที่ไวลด์ เบรน สตูดิโอส์ สแตนตันก็ได้ทำงานที่พิกซาร์
สแตนตันเกิดและเติบโตในร็อคพอร์ต, แมสซาซูเซทส์ เขาสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีสาขาศิลปกรรม อนิเมชันตัวละครจากแคลอาร์ตส์ในปี 1992 ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในโอ๊คแลนด์, แคลิฟอร์เนีย กับภรรยาและลูกๆ สองคนของเขา
ฮาร์ลีย์ เจสซัพ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนพฤษภาคม ปี 1996 ในตำแหน่งผู้ออกแบบงานสร้างภาพยนตร์ปี 2001 เรื่อง “Monster’s Inc” เจสซัพยังคงทำหน้าที่นี้ในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Ratatouille” ในฐานะผู้ออกแบบงานสร้าง เจสซัพได้ควบคุมทีมนักวาดภาพ ผู้สร้างและออกแบบฉากและตัวละครสำหรับภาพยนตร์แต่ละเรื่อง
เจสซัพเริ่มต้นการทำงานในแวดวงอนิเมชันด้วยการออกแบบ “The Adventures of Thelma Thumb” ให้กับ “Sesame Street” ซึ่งเป็นเหมือนแพลทฟอร์มการฝึกฝนผลงานของเขาในฐานะผู้ออกแบบงานสร้างใน “Twice Upon a Time” ภาพยนตร์อนิเมชันที่สร้างจากกระดาษ หลังจากนั้น เขาก็ไปทำงานที่ลูคัสฟิล์มในตำแหน่งผู้กำกับศิลป์ในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันหลายเรื่องก่อนที่จะเข้าทำงานในอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค (ไอแอลเอ็ม) ในปี 1986 ระหว่างทำหน้าที่ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ที่ไอแอลเอ็ม เขาก็ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากผลงานของเขาใน “Innerspace” และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจาก “Hook” หลังจากทำหน้าที่ผู้กำกับฝ่ายครีเอทีฟในแผนกศิลปะที่ไอแอลเอ็มแล้ว เจสซัพก็ได้ทำหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างให้กับภาพยนตร์อนิเมชันของดิสนีย์เรื่อง “James and the Giant Peach” ก่อนที่เขาจะเข้าทำงานที่พิกซาร์
ก่อนหน้าการออกแบบภาพยนตร์ เจสซัพเคยเขียนบทและวาดภาพประกอบหนังสือสำหรับเด็กสามเรื่องคือ “What’s Alice Up To?” (1997) และ “Grandma Summer” (2000) ที่ตีพิมพ์โดยไวกิ้ง ชิลเดรนส์ บุ๊คส์และ “Welcome to Monstropolis” (2001) ที่มีเค้าโครงจากภาพยนตร์พิกซาร์เรื่อง “Monsters, Inc.”
เจสซัพเกิดในโอเรกอน เขาเติบโตขึ้นมาในย่านซาน วาควิน วัลลีย์และเบย์ แอเรียในแคลิฟอร์เนีย เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาศิลปกรรม ออกแบบกราฟฟิคจากมหาวิทยาลัยโอเรกอนในปี 1976 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการออกแบบจากสแตนฟอร์ดในปี 1978 ปัจจุบัน เจสซัพใช้ชีวิตอยู่ในมาริน เคาน์ตี้, แคลิฟอร์เนีย กับภรรยาและลูกๆ
ชารอน คาลาฮัน (ผู้กำกับภาพ ฝ่ายแสง) เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในปี 1994 ในตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแสงในภาพยนตร์อนิเมชันเรื่องแรกของสตูดิโอ “Toy Story” หลังจากนั้น เธอก็ได้ทำงานเป็นผู้กำกับภาพใน “A Bug's Life,” “Toy Story 2” และ “Finding Nemo” นอกจากนั้น เธอยังได้รับหน้าที่ผู้กำกับภาพในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Ratatouille” อีกด้วย
คาลาฮันรู้ตั้งแต่เธออายุสามขวบแล้วว่าเธออยากเป็นนักวาดภาพให้กับดิสนีย์ เธอได้ศึกษาด้านการออกแบบกราฟฟิค การวาดภาพประกอบและการถ่ายภาพ หลังจากสำเร็จการศึกษา เธอก็ทำงานเป็นผู้กำกับศิลป์ให้กับสถานีโทรทัศน์และงานผลิตวิดีโอ ก่อนหน้าทำงานที่พิกซาร์ เธอทำงานเป็นผู้กำกับฝ่ายแสงที่แปซิฟิค ดาตา อิเมจิส โดยเธอได้ทำงานโฆษณา ซีรีส์โทรทัศน์เรื่องยาวและบรรจุภัณฑ์ที่มีลวดลายกราฟฟิค
คาลาฮันได้นำเสนอพรีเซนเทชันและสอนคลาสต่างๆ ในเรื่องการให้แสงตัวละคร การให้แสงช็อต การให้แสงโดยรวมและการวาดภาพด้วยแสงและคอมโพซิชันโดยรวม ทั้งที่พิกซาร์และสถาบันอื่นๆ
เจเรมี ลาสกี้ (ผู้กำกับภาพ ฝ่ายกล้อง) เริ่มต้นทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนสิงหาคม ปี 1997 ในฐานะนักวาดภาพเลย์เอาท์ใน “A Bug’s Life” หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำงานในแผนกเลย์เอาท์ใน “Toy Story 2” และ “Monsters, Inc.” ลาสกี้ได้ทำหน้าที่ผู้กำกับภาพในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเรื่อง “Cars” และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Finding Nemo,” “WALL?E” และ “Toy Story 3”
ลาสกี้เติบโตขึ้นในเซนต์หลุยส์, มิสซูรี เขาพบแรงบันดาลใจงานสร้างสรรค์ช่วงแรกๆ จากภาพยนตร์และรายการไซไฟเช่น “Battlestar Galactica” และ “Star Wars” เขาได้ค้นพบความรักในการสร้างภาพยนตร์และความสนใจในศาสตร์การถ่ายทำระหว่างที่ศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
ลาสกี้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาศิลปกรรมศาสตร์จากโร้ด ไอส์แลนด์ สคูล ออฟ ดีไซน์และตอนนี้ที่เขารับหน้าที่ผู้กำกับภาพฝ่ายกล้อง เขาทำหน้าที่สร้างช็อตและซีเควนซ์ที่บอกเล่าเรื่องราว พร้อมๆ กับสนับสนุนด้านภาพและขับเน้นธีมในเรื่อง ลาสกี้และครอบครัวใช้ชีวิตอยู่ในเบย์ แอเรีย
เจย์ ชูสเตอร์ (ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายตัวละคร) เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนกันยายน ปี 2002 ในตำแหน่งนักออกแบบคอนเซ็ปต์ในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเรื่อง “Cars” ซึ่งเขาได้แปลงไอเดียของผู้กำกับจอห์น ลาสเซ็ทเตอร์ให้กลายเป็นตัวละครและสิ่งแวดล้อมสำหรับภาพยนตร์เรื่องนั้น หลังจากนั้น ชูสเตอร์ก็ได้ทำงานเป็นนักออกแบบตัวละครให้กับภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “WALL?E”
ชูสเตอร์เป็นลูกชายของนักออกแบบรถ ห้องนอนสมัยเด็กๆ ของชูสเตอร์ก็เลยเต็มไปด้วยแบบพิมพ์เขียว ภาพวาด โปสเตอร์ เครื่องยนต์และแบบโมเดลของทุกสิ่งที่เกี่ยวกับยานพาหนะเครื่องจักรกลแทบทุกแบบ อย่างไรก็ดี เขาได้มาคิดเชื่อมโยงระหว่างความชื่นชอบของเขาและอนาคตที่เป็นไปได้ในแวดวงภาพยนตร์ก็เมื่อเขาได้ดู “Star Wars” ภาคแรกนั้นเอง
ก่อนหน้าที่จะทำงานในพิกซาร์ ชูสเตอร์เริ่มทำงานที่ลูคัสฟิล์ม ที่ซึ่งเขาทำงานเป็นนักวาดภาพคอนเซ็ปต์ ในตำแหน่งนี้ เขาได้ออกแบบยานพาหนะและสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายให้กับ “Star Wars: Episode I — The Phantom Menace” และ “Star Wars: Episode II — Attack of the Clones”
ชูสเตอร์เกิดและเติบโตในเบอร์มิงแฮม, มิชิแกน เขาสำเร็จการศึกษาในปี 1993 จากหลักสูตรออกแบบอุตสาหกรรมที่คอลเลจ ฟอร์ ครีเอทีฟ สตัดดีส์ในดีทรอยท์ ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในเอล เซอร์ริโต, แคลิฟอร์เนีย ที่อยู่ตรงข้ามกับอ่าวจากซานฟรานซิสโก
เจย์ วอร์ด (ผู้ดูแลแฟรนไชส์ “Cars”) เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนธันวาคม ปี 1998 ในตำแหน่งผู้ช่วยงานสร้างในแผนกศิลป์ในภาพยนตร์ปี 2001 เรื่อง “Monsters, Inc.” ไม่นานหลังจากนัน เขาก็ได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นผู้ประสานงาน และในปี 2001 เขาก็เริ่มต้นงานพัฒนาช่วงเริ่มแรกของภาพยนตร์ปี 2006 เรื่อง “Cars” ระหว่างการถ่ายทำ “Cars” ความรู้เรื่องรถยนต์ของเขาทำให้เขามีบทบาทอื่นๆ ในเรื่องด้วย ซึ่งรวมถึงผู้จัดการฝ่ายตัวละครและที่ปรึกษาของผู้กำกับและผู้กำกับร่วมของเรื่อง จอห์น ลาสเซ็ทเตอร์และโจ แรนท์ วอร์ดยังคงใช้ความกระตือรือร้นในเรื่องรถและความรักในงานศิลป์ไปกับการสร้างทุกสิ่งทุกอย่างภายในขอบเขตแฟรนไชส์ของ “Cars”
ก่อนหน้าพิกซาร์ วอร์ดประจำการอยู่ในกองกำลังสำรองของนาวีสหรัฐ และเข้าศึกษาที่แคลอาร์ตส์ ก่อนจะสำเร็จการศึกษาสาขาศิลปกรรม วาดภาพประกอบในปี 1993 แบ็คกราวน์ด้านอาชีพที่หลากหลายของเขาได้แก่เด็กเสิร์ฟสมัยไฮสคูล คนส่งสัญญาในนาวีสหรัฐฯ ผู้เติมน้ำมันเครื่องบิน ผู้จัดการแผนกอะไหล่ฮาร์ลีย์ เดวิดสัน และนักวาดภาพประกอบฟรีแลนซ์ ประสบการณ์ที่หลากหลายเหล่านี้ทำให้เขามีโอกาได้ใช้ประโยชน์จากทักษะด้านการรู้จักผู้คน การร่วมมือและความสร้างสรรค์ในการทำงานอย่างประสบความสำเร็จที่พิกซาร์
ปัจจุบัน วอร์ดใช้ชีวิตอยู่ในโอ๊คแลนด์, แคลิฟอร์เนีย กับภรรยาและลูกสองคน