กรุงเทพฯ--13 ก.ค.--MMM Digital Asset
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว 4 คำนั้นมีความหมายถึงจุดเริ่มต้นของการเดินทางสุดยิ่งใหญ่แห่งภาพยนตร์เกี่ยวกับเด็กผู้ชายเจ้าของชื่อที่สื่อถึงเวทมนตร์อย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ 10 ปีถัดมา ภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่เป็นต้นกำเนิดชื่อของเขาได้พลิกประวัติศาสตร์แห่งภาพยนตร์ และยังเปลี่ยนชีวิตของเหล่านักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์หลายยุคหลายสมัยที่ยอมอุทิศตัวเอง เพื่อนำผลงานประพันธ์ชิ้นเอก 7 ชุดของเจ.เค.โรว์ลิ่งมาสู่จอภาพยนตร์
เริ่มต้นจากปี 2001 กับภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์” จนมาถึง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต” ตอนสุดท้ายที่มีการดัดแปลงให้เป็นภาพยนตร์ 2 ตอน ภาพยนตร์ได้กลายเป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่กวาดรายได้สูงสุดตลอดกาล ซึ่งถือเป็นการครองจินตนาการของผู้ชมจากทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหนังสือและภาพยนตร์ได้ถูกเรียงร้อยมาสู่วัฒนธรรมของเราด้วยการเพิ่มคำต่างๆ เช่น มักเกิ้ล ควิดดิช ฮอกวอตซ์ และแม้แต่ เอกซ์เปลลิอาร์มัส! มาอยู่ในพจนานุกรมโลกด้วย
เดวิด เฮย์แมน เป็นผู้พบหนังสือเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ยังไม่ถูกตีพิมพ์ในปี 1997 และทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ทุกตอนกล่าวว่า “ผมนึกภาพการตอบรับจากผู้ชมในช่วงเวลาหลายต่อหลายปีไม่ออกเลยตอนที่เราสร้างหนังเรื่องแรก มันอยู่เหนือความฝันอันยิ่งใหญ่ของผม ผมจึงมองย้อนกลับไปด้วยความภาคภูมิใจและความซาบซึ้งในเหล่าแฟนๆ ทั้งหลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โจ โรว์ลิ่ง”
โดยภาพรวมแล้วภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นภาระผูกพันที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับทุกคนที่มีส่วนร่วมมาก่อน ไม่มีภาพยนตร์ซีรี่ส์เรื่องใดที่ตามติดเนื้อเรื่องโดยตรง รายล้อมไปด้วยเหล่านักแสดงเดิมในตลอดความยาวของหนัง 8 ตอน
ผู้อำนวยการสร้าง เดวิด บาร์รอน กล่าวว่า “มันเป็นความพิเศษจริงๆ แต่ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับการมีแหล่งที่มีของเนื้อเรื่องที่เข้มข้นมากพอ ซึ่งแน่นอนว่านั่นเริ่มจากหนังสือต่างๆ”
ผู้ประพันธ์และผู้อำนวยการสร้างที่มีความสร้างสรรค์ เจ.เค. โรว์ลิ่ง กล่าวถึงแต่ละย่างก้าวของเรื่องราวมีการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันมาก “ฉันมีแผนความคิดที่ชัดเจนมากว่าแฮร์รี่ต้องไปตามทิศทางไหน นี่เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ฉันอยากถ่ายทอด สำหรับฉันหากหนังสือทั้งหลายถูกสร้างขึ้นเป็นภาพยนตร์ขึ้นมา นั่นคือสิ่งที่มีความสำคัญ มันต้องลงเอยแบบนั้น ตอนที่ฉันพบเดวิด เยทส์ เขาเข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้งเลย”
โรว์ลิ่งได้พบผู้ร่วมงานที่มีความสำคัญมากในด้านการเขียนบทภาพยนตร์อีกคนหนึ่งอย่างสตีฟ โคลฟส์ ซึ่งเป็นผู้ดัดแปลงหนังสือ 6 ใน 7 เล่ม “สตีฟเข้าถึงหนังสือได้จริงๆ” เธอกล่าวเสริมว่า “ฉันยอมรับความจริงตลอดว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในขั้นตอนที่เปลี่ยนจากหน้าหนังสือมาสู่จอภาพยนตร์ ถึงแม้ฉากต่างๆ จะมีความแตกต่างออกไป แต่ยังคงตรงต่ออารมณ์ของหนังสือเสมอ”
โคลฟส์กล่าวว่า “เรามีเรื่องราวที่ต่อเนื่องและมีความหนักแน่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเมื่อเราเริ่มลงมือสร้างอย่างแท้จริง ตั้งแต่หนังสือ 3 เล่มแรกถูกตีพิมพ์ แม้ว่าบางครั้งถูกสร้างขึ้นมาในสภาวะแวดล้อมที่ท้าทาย ความมุ่งมั่นของผมก็ยังคงอยู่เสมอ ซึ่งความมุ่งมั่นเหล่านั้นในยามที่ผมต้องการความช่วยเหลือ ผมก็มีผู้ร่วมงานคนหนึ่งที่คอยให้คำปรึกษาที่ผมรู้สึกฟังว่าแล้วสมเหตุสมผล นั่นคือ โจ” เขากล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่มีความรู้สึกว่า “ขณะที่เธอเองไม่เคยพูดจาขวานผ่าซากเลย เธอคอยให้ความช่วยเหลือและมีความถนัดเรื่องการกระตุ้นผมให้อยู่ในทิศทางที่ถูกต้องอย่างอ่อนโยนเสมอ ในท้ายที่สุดแล้วแนวทางปฏิบัติอย่างหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าน่าเชื่อถือได้มาก นั่นคือ การทำตามบทบาทของตัวละคร”
ผู้กำกับเดวิด เยทส์ กล่าวว่า “ในการทำตามบทบาทของตัวละคร มีความหมายหลายอย่างที่โจประกาศเอาไว้ในหนังสือที่มาอยู่ในส่วนนำของภาพยนตร์ นั่นคือ ควาหมมายของความจงรักภักดี ความรัก มิตรภาพ ความเข้าใจในการต่อสู้กับการไม่เป็นที่ยอมรับและความชั่วร้าย”
“พลังแห่งความรักเป็นประเด็นใหญ่ของหนังสือและภาพยนตร์ตั้งแต่ต้นจนจบ” โรว์ลิ่งกล่าวเสริมว่า “มีการแสดงออกถึงความรักในหลากหลายรูปแบบที่ต่างกันไปตลอดทั้งเรื่อง แต่มิตรภาพคือรูปแบบของความรักที่ชัดเจนที่สุดที่เราเห็นได้ในภาพยนตร์”
ความรักระหว่างเพื่อนถูกรวมไว้ในตัวละครส่วนใหญ่อย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์, รอน วีสลีย์ และ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ บทบาทเหล่านั้นถูกแสดงโดยนักแสดงวัยรุ่น 3 คนที่เติบโตขึ้นบนจอหนังจริงๆ ได้แก่ แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ต กรินท์ และ เอ็มม่า วัตสัน
แรดคลิฟฟ์กล่าวว่า “ผมไม่สามารถหาทางบรรยายได้เลยว่าบทบาทของแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีความหมายต่อผมแค่ไหน แต่ผมพูดได้ว่าผมไม่เคยฉวยโอกาสแสดงบทนั้นแบบไม่ใส่ใจเลย มันอาจเป็นตัวละครตัวเดิม แต่เหมือนเป็นคนละคนเลย แฮร์รี่เปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างในช่วงเวลาหลายปี ในฐานะนักแสดงคนหนึ่งผมมองว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องคือโอกาสในการแสดงความแปลกใหม่และพัฒนาความสามารถด้านอื่นทั้งหลาย”
“ฉันรู้สึกมีความพิเศษมากที่ได้แสดงเป็นเฮอร์ไมโอนี่” วัตสันกล่าว “ฉันว่าเธอเป็นคนที่พวกสาวๆ สามารถมองเป็นแบบอย่างได้ เพราะเธอเคารพตัวเองเสมอ เธอเป็นคนฉลาดและกล้าหาญอย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังเป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ที่สามารถใช้ความคิดท่ามกลางสถานการณ์คับขันด้วยความใจเย็นได้ มันเหมือนเรื่องมหัศจรรย์ที่สามารถนำรายละเอียดของบุคลิกเฉพาะในตัวเธอมาสู่ภาพยนตร์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ”
“ผมรู้ว่าต้องคิดถึงการแสดงเป็นรอน เพราะมันเป็นช่วงที่ผมได้เป็นเขามากกว่าที่ไม่ได้เป็นซะอีก” กรินท์หัวเราะ “และผมชอบพัฒนาบทบาทของเขามาก เขาเริ่มจากการเป็นเด็กที่หวาดกลัวได้ค่อนข้างง่าย และมันเป็นเรื่องดีที่ได้เห็นเขาโตขึ้นมาเป็นคนกล้าหาญและมีความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในหนังภาคสุดท้ายที่พวกเขาอยู่ในสถานที่ที่คาดการณ์ไม่ได้และมีแต่อันตราย”
เฮย์แมนกล่าวว่า “ตลอดช่วงเวลาของหนังทั้งหมด เราจะเห็นนักแสดงชาวอังกฤษอันทรงเกียรติอยู่รายล้อมบนเวทีของเรา ซึ่งวิเศษมาก แต่การดูเหล่านักแสดงรุ่นเยาว์ของเราเติบโตขึ้นเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพและเป็นคนดีคือความสุขอันยิ่งใหญ่ของการทำงานในภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ พวกเราภูมิใจในตัวพวกเขามาก”
และผู้ชมยังเฝ้าดูตัวละครรุ่นเยาว์ในเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เติบโตจากวัยเด็กมาสู่ผู้ใหญ่ จนเมื่อพวกเขาโตขึ้นก็มีเรื่องราวต่างๆ “มันเกี่ยวกับเสน่ห์แห่งจินตนาการ เพราะนั่นคือ ‘ความแกร่ง’ ที่ต้องมีการพัฒนาเมื่อเด็กๆ โตขึ้นมา” อลัน ริคแมน ผู้แสดงเป็นศาสตราจารย์เซเวอร์รัส สเนป ในภาพยนตร์ทุกตอนกล่าวว่า “เพื่อให้มันเป็นไปอย่างเหมาะสม จึงต้องมีใจความสำคัญใหญ่ๆ บางเรื่องให้นึกถึงว่าอะไรถูกและอะไรผิด เราควรไว้ใจใครและไม่ควรกับใคร ความกล้าหาญมีความหมายอย่างไร …และความซื่อสัตย์มีความหมายอย่างไร ทั้งหมดอยู่ในหนัง”
ด้วยความต่อเนื่องกันของหนังแต่ละภาค สิ่งเดิมพันและอันตรายต่างสูงขึ้นเมื่อลอร์ดโวลเดอมอร์หวนกลับมาและมีอำนาจครอบครองตอนนี้
ในภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต — ภาค 2” ตอนนี้เหล่าพ่อมดน้อยอยู่แถวหน้าของโลกแห่งสงคราม เฮย์แมนเปิดเผยว่า “นี่เป็นสมรภูมิรบขั้นสุดท้ายสำหรับฮอกวอตส์ เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของโลกแห่งเวทมนตร์ และสิ่งที่เราสร้างขึ้นในตลอดหนังชุดนี้คือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างแฮร์รี่และโวลเดอมอร์”
เยทส์กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องปิดภาพยนตร์ชุดด้วยตอนจบที่อลังการ เราเลยมีการสู้รบ เหล่ามังกร แมงมุมและยักษ์...แต่ประเด็นหลักแล้วนี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับเหล่าตัวละคร การแสดงเป็นสิ่งสำคัญแต่ความใส่ใจผู้คนที่อยู่ระหว่างเรื่องราวก็เป็นสิ่งที่ดึงผู้ชมมาอยู่ในการผจญภัยร่วมกับพวกเขาได้ด้วย”
“มีฉากแอ็คชั่นเพิ่มมากขึ้น แต่อารมณ์หลักของเนื้อเรื่องเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับหนังเสมอ และเราไม่อยากลดความสำคัญนั้นไป” บาร์รอนกล่าว
เฮย์แมนเห็นด้วยว่า “สงครามเต็มรูปแบบระหว่างความดีและความชั่วเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น แต่ในหนังยังคงมีสิ่งที่เกิดขึ้นจากความรู้สึก และเพราะเราสละเวลาให้ตัวละครเหล่านี้มาอย่างยาวนาน มันรู้สึกได้เลยว่ามีสิ่งเดิมพันที่สูงยิ่งขึ้น”
บทสรุปที่น่าตื่นเต้นที่สุดของเรื่องราวได้เปิดเผยมุมมองใหม่บางด้านที่น่าประหลาดใจ เกี่ยวกับเหล่าตัวละครอันเป็นที่รักทั้งหลาย เยทส์ยืนยันว่า “สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดเกี่ยวกับวิธีเปิดเผยเรื่องราว คือ แนวทางการแบ่งแยกพลังแห่งด้านมืดและด้านสว่างที่คลุมเครือ และเราจะได้เห็นว่าบางคนมีความซับซ้อนกว่าที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นในตอนแรก”
“ตัวละครทุกตัวรวมถึงแฮร์รี่ต่างมีข้อบกพร่อง” โรว์ลิ่งกล่าวเสริมว่า “เราไม่มีตัวละครไหนที่ดีหรือเลวล้วนๆ …เว้นแต่โวลเดอมอร์ เขามีแต่ความชั่วร้าย มันจึงไม่มีคุณสมบัติในการให้อภัยในตัวเขาเลย” เธอยิ้ม
ภาพยนตร์ตอนสุดท้ายนำเหล่าตัวละครกลับสู่สถานที่ที่คุ้นเคย รวมถึงสัญลักษณ์ของโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตรศาสตร์ฮอกวอตส์ที่ไม่ได้เห็นเลยใน “ภาค 1” จึงเป็นครั้งแรกของซีรี่ส์ ซึ่งถูกคิดโดยโรว์ลิ่งและสร้างให้เป็นจริงขึ้นมาโดยผู้ออกแบบฉากสจ๊วต เครก ว่าฮอกวอตส์เป็นบ้าน กองบัญชาการและสถานที่หลบภัยสำหรับเหล่านักเรียนและอาจารย์ที่นั่น
แต่มันกลับกลายเป็นสมรภูมิรบ
“หากที่เธอพูดเป็นเรื่องจริงว่าเขามีไม้เอลเดอร์
ฉันเกรงว่าเธอไม่มีโอกาส”
“แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต — ภาค 2” ได้เริ่มต้นเมื่อ “ภาค 1” จบลง ด้วยสิ่งที่ถูกขโมยจะสะท้อนกลับมาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด หินฝาโลงของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ ถูกทำลายและไม้กายสิทธิ์ที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ได้ถูกหยิบออกจากมือของอาจารย์ใหญ่ผู้ล่วงลับด้วยความมุ่งร้ายในชัยชนะ ลอร์ด โวลเดอมอร์ ผู้ขโมยไปจึงยกไม้เอลเดอร์ขึ้นสูงกลางอากาศ ปล่อยฟ้าแลบให้มาอยู่ในวงเมฆที่มืดมิด
ตามตำนานของเรื่องแล้ว ไม้เอลเดอร์คือหนึ่งในเครื่องรางยมทูตที่คู่กันกับหินชุบวิญญาณและผ้าคลุมล่องหน ซึ่งเมื่อมารวมกันแล้วทำให้มีอำนาจอยู่เหนือความตาย แต่ละสิ่งมีคุณสมบัติล้ำค่าอยู่ในตัว โดยกล่าวได้ว่าไม้เอลเดอร์เป็นไม้อันทรงพลังที่สุดที่ยังมีอยู่
ราล์ฟ ฟีนส์ ผู้ที่กลับมารับบทเจ้าแห่งศาสตร์มืดอีกครั้งกล่าวว่า “โวลเดอมอร์อยู่ใต้ความเชื่อที่ว่า ผู้ใดก็ตามที่ครอบครองไม้เอลเดอร์จะมีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด แต่ที่มันยิ่งยุ่งยากและพบอุปสรรคในตัวเขายิ่งกว่านั้น”
โวลเดอมอร์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับไม้เอลเดอร์จากคุณโอลลิแวนเดอร์ ที่เขาทรมานให้เปิดเผยสถานที่เก็บของมัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำไม้กายสิทธิ์เตือนแฮร์รี่ว่าหากโวลเดอมอร์ได้ครองไม้เอลเดอร์ แฮร์รี่จะไม่มีทางต้านทานเขาได้เลย แต่การคุกคามที่เพิ่มขึ้นไม่ได้หยุดยั้งแฮร์รี่ พอตเตอร์ จากภารกิจของเขาที่ต้องค้นหาและทำลายฮอร์ครักซ์ที่เหลือ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าแห่งศาสตร์มืดได้ฝังชิ้นส่วนวิญญาณเอาไว้เพื่อค้นหาความเป็นอมตะ วัตถุ 3 ชิ้นถูกทำลายไปแล้ว ยังเหลืออยู่ 4 ชิ้น แต่ยิ่งนานหากเหลือแม้แต่ชิ้นเดียวก็ไม่สามารถทำลายเจ้าแห่งศาสตร์มืดได้
เยทส์กล่าวว่า “ในจุดเริ่มต้นของ ‘ภาค 2’ แฮร์รี่ดูเป็นหนุ่มมากกว่าเป็นแค่เด็กผู้ชาย และมุ่งมั่นในภารกิจของเขาอย่างโหดเหี้ยม เขาต้องการสังหารโวลเดอมอร์ เขารู้ว่าเขาต้องเป็นเพียงผู้เดียวที่ยุติมันได้ และเขามุ่งมั่นที่จะเฝ้าดูมันผ่านพ้นไป”
“แม้แต่ในบรรดาก็อบบลิน เธอก็เป็นที่รู้จักดีแฮร์รี่ พอตเตอร์”
เบาะแสของที่ตั้งฮอร์ครักซ์ชิ้นอื่นๆ มาจากอีกแหล่งหนึ่งที่แฮร์รี่พบครั้งแรกที่ตรอกไดแอกอนเมื่อหลายปีที่แล้ว นั่นคือ ก็อบบลินที่มีนามว่ากริ๊บฮุกผู้ทำงานที่ธนาคารกริงกอตส์
วอร์วิค เดวิส ผู้ที่ให้เสียงพากย์ตัวจริงของกริ๊บฮุกใน “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์” กลับมารับบทบาทในภาพยนตร์ตอนจบ เดวิสยังเป็นที่รู้จักของผู้ชมในฐานะของศาสตราจารย์ฟิเลียส ฟลิตวิค แห่งฮอกวอตส์อีกด้วย เขากล่าวถึงการแสดงทั้งสองบทบาทนั้นว่า “ทำให้ผมได้ขยายศักยภาพแห่งการแสดงของผมได้มาก เพราะตัวละครทั้งสองต่างกันสุดขั้ว ฟลิตวิคเป็นพ่อมดและเป็นตัวละครที่ค่อนข้างอบอุ่น ขณะที่กริ๊บฮุกเป็นก็อบบลินที่คิดว่าเหล่าพ่อมดไม่น่าไว้วางใจ อีกอย่างหนึ่งกริ๊บฮุกเป็นผู้พยายามปรับเปลี่ยนสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง จงระวังไว้หากคุณต้องเผชิญหน้ากับก็อบบลิน “พวกมันเห็นแก่ตัวและจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่มันต้องการ”
กริ๊บฮุกบอกแฮร์รี่ว่า มีดาบที่เหมือนกับดาบของกริฟฟินดอร์อยู่ที่ตู้นิรภัยของเบลลาทริกซ์ เลสแตรงจ์ ที่ธนาคารกริงกอตส์ โดยที่เธอไม่รู้ว่ามันเป็นของปลอมและแฮร์รี่กำลังครองของจริงอยู่ ก็อบบลินเผยความลับว่ามีเพียงหนึ่งในหลายสิ่งอยู่ที่ตู้นิรภัยของมาดามเลสแตรงจ์ และแฮร์รี่คาดว่าตู้นิรภัยที่ไว้ใจของผู้เสพความตายน่าจะเป็นสถานที่เหมาะสมต่อการซ่อนฮอร์ครักซ์
“โดยทั่วไปแล้วพวกเขาต้องทำแผนการปล้นธนาคาร” เยทส์กล่าว “พวกเขาอยากฝ่าเข้าไปเพื่อดูว่ามีฮอร์ครักซ์อยู่ในตู้นิรภัยของเบลลาทริกซ์หรือไม่ หากพวกเขาพบและทำลายมันได้ พวกเขาก็ยิ่งเข้าใกล้การสังหารโวลเดอมอร์เข้าไปอีกก้าวหนึ่ง แต่การขโมยกริงกอตส์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อาจเป็นสิ่งเล็กน้อยที่มีอุปสรรคอีกหลากหลายบนเส้นทางของเขา”
กริ๊บฮุกยอมช่วยพวกพาพวกเขาเข้าไปที่กริงกอตส์เพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้น เช่น ดาบของกริฟฟินดอร์ การเข้าไปถึงตู้นิรภัยของเบลลาทริกซ์เป็นอีกหนึ่งปราการ ด้วยตัวช่วยอย่างน้ำยาสรรพรส พวกเขาจึงร่วมทางไปกับมาดามเลสแตรงจ์ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ในร่างของเบลลาทริกซ์
ตั้งแต่การแนะนำเธอใน “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์” หนึ่งในความโดดเด่นของเบลลาทริกซ์ เลสแตรงจ์ คือความเพี้ยนของเธอขั้นขีดสุดแบบที่เป็นมา ซึ่งเฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ สนุกไปกับนิสัยตัวละครของเธออย่างไม่มีขีดจำกัด ถึงอย่างไรการแสดงเป็นเฮอร์ไมโอนี่ที่ปลอมตัวเป็นเบลลาทริกซ์ก็ต้องใช้ความแตกต่างที่เด่นเจนบางอย่าง บอนแฮม คาร์เตอร์ ยืนยันว่า “มันไม่ใช่เบลลาทริกซ์ตัวจริง มันคือเบลลาทริกซ์ในรูปแบบของเฮอร์ไมโอนี่ พวกเขาต่างกันโดยสิ้นเชิง มันจึงเป็นเรื่องสนุกมากเพราะมันทำให้ฉันมีรายละเอียดในการแสดงอีกแบบ”
การถ่ายทอดความเห็นที่ต่างกัน รวมถึงการร่วมงานกับบอนแฮม คาร์เตอร์ เยทส์ และผู้ที่รู้จักเฮอร์ไมโอนี่ดีกว่าทุกคน นั่นคือ เอ็มม่า วัตสัน
เยทส์ จำได้ว่า “เรามีช่วงฝึกซ้อมครั้งใหญ่ที่ตามปกติแล้วเอ็มม่าต้องแสดงฉาก สาธิตว่าเธอเดินและพูดบทของเธออย่างไร แล้วเราก็บันทึกวีดีโอเอาไว้ เพื่อให้เฮเลน่าสามารถรวบมันเข้ากับการแสดงของเธอได้”
บอนแฮม คาร์เตอร์ กล่าวเสริมว่า “เอ็มม่ากับฉันคุยกันถึงช่วงเวลาของฉาก และเธอมอบจุดเน้นย้ำเอาไว้ให้หลายอย่าง จนกลายเป็นหนังสือคู่มือเกี่ยวกับเฮอร์ไมโอนี่ของฉันไปแล้ว”
“สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากให้เฮเลน่าผ่านไปได้ คือ ความรู้สึกงุ่มง่ามทั้งหมดของเฮอร์ไมโอนี่” วัตสันกล่าวว่า “เธอดูอึดอัดมากเพราะสิ่งหนึ่ง นั่นคือ เฮอร์ไมโอนี่ค่อนข้างเจ้าระเบียบ ส่วนเบลลาทริกซ์ดูกระตือรือร้นและไปไหนมาไหนด้วยชุดหนัง เบลลาทริกซ์เป็นตัวร้ายและมีความหยิ่ง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เป็นคนดี เพราะฉะนั้นการทำตัวโหดร้ายและชอบเรียกร้องทุกคนจึงไม่เป็นการแสดงออกที่ดูเป็นธรรมชาติสำหรับเธอ”
ส่วนรอนปลอมตัวเป็นผู้เสพความตาย แฮร์รี่กับกริ๊บฮุกซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าคลุมล่องหน แล้วรวมกลุ่มกันหาทางเข้าสู่กริงกอตส์ ซึ่งเราจะเห็นเจ้าหน้าที่ธนาคารก็อบบลินนั่งเรียงรายอยู่ โดยไม่ละสายตาไปจากสมุดบัญชีของพวกเขาเลย
สำหรับฉากของกริงกอตส์ เดวิสต้องรับหน้าที่ควบ 2 อย่าง ไม่ใช่แค่แสดงหนังเท่านั้นแต่ต้องคัดเลือกนักแสดงด้วย เขาอธิบายว่า “ผมทำหน้าที่แทนคนสูงไม่ถึง 5 ฟีต ผู้สร้างภาพยนตร์มาหาผมและขอให้ผมช่วยหาคนกว่า 60 เพื่อแสดงเป็นก็อบบลินและสามารถรับมือกับการแต่งหน้าเทียมขนาดใหญ่ได้ เราได้ตัวนักแสดงที่ล้วนมาจากยุโรป มันเลยเป็นก็อบบลินสัญชาตอังกฤษ”
การแปลงโฉมเหล่านักแสดงทั้งหลายให้เป็นก็อบบลิน ต้องใช้ความพยายามหลายด้านของผู้ออกแบบการแต่งหน้าสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์อย่างนิค ดัดแมนและทีมงานของเขา พวกเขาเริ่มจากการแกะสลักใบหน้าของก็อบบลิน โดยให้คำเตือนว่าจะมีหน้าตาเหมือนกันไม่ได้ ดัดแมนยืนยันว่า “เราเฝ้ามองการออกแบบอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้พวกเขาดูเหมือนกัน เพราะเราอยากทำให้แต่คนละมีเอกลักษณ์ เราจึงสร้างชิ้นส่วนเทียมขึ้นมาหลายชิ้น ทุกชิ้นต้องทาสีด้วยมือ ส่วนคิ้วก็ต้องติดด้วยซิลิโคนทีละชิ้น มันเป็นงานที่ต้องใช้เวลาและความพยายามมากอย่างไม่น่าเชื่อเลย”
การรวมตัวกันของเหล่าศิลปินช่างแต่งหน้ากว่า 170 คนเป็นการรวมตัวกันเพื่อการแต่งหน้าของก็อบบลิน ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานถึง 4 ชั่วโมงต่อก็อบบลินหนึ่งตัว เพื่อให้แน่ใจว่าแต่ละตัวสำเร็จเป็นไปตามรายละเอียดของดัดแมน เขาจัดเวิร์คช็อปเป็นเวลา 3 วัน เพื่อฝึกฝนทีมงานหลากสัญชาติในการแต่งหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าจนเขารู้สึกว่าแม่นยำแล้ว แต่ถึงอย่างไรดัดแมนเน้นย้ำว่า “ไม่มีใครออกไปจากห้องนั้นได้โดยไม่มีการตรวจสอบผลงานจากผม”
ตั้งแต่ที่ก็อบบลินเป็นนายธนาคาร เจนี่ เทมิเม ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายและแผนกเครื่องแต่งกายของเธอได้ตกแต่งให้เป็นชุดสูทมีรอยจุด 3 ส่วนที่ดูเป็นเชิงอนุรักษ์
ฉากกริงกอตส์ใน “ศิลาอาถรรพ์” จริงๆ แล้วถ่ายทำในโรงถ่าย โดยมีสถานฑูตออสเตรเลียเป็นที่จำลองของธนาคารพ่อมด แต่สถานที่นั้นไม่ใช่ตัวเลือกของ “เครื่องรางยมทูต — ภาค 2” ที่ฉากแอ็คชั่นต้องออกมามีการทำลายล้างหลายฉาก ฉากธนาคารกริงกอตส์ถูกสร้างแทนขึ้นในบริเวณใจกลางโรงถ่ายที่ Leavesden Studios
สจ๊วต เครก ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ออกแบบฉากของภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ มองว่ามันเป็นโอกาสในการพัฒนาการสร้างการออกแบบธนาคาร ทำให้มันดูเด่นชัดขึ้นขณะที่ยังคงอารมณ์ความรู้สึกของต้นฉบับเอาไว้ “นี่เป็นธนาคารที่น่าอัศจรรย์ เราจึงอยากให้มันดูเก่าแก่มากๆ แต่มีความอลังการ ที่นั่นมีหินอ่อนที่เงางามกว่าที่เราจินตนาการเอาไว้ มีพื้นหินอ่อน กำแพงหินอ่อน เสาหินอ่อน เคาน์เตอร์หินอ่อน ทุกอย่างเป็นของปลอมแต่มันดูอลังการ และเราสนุกกับพฤติกรรมของก็อบบลินที่นั่งหยิ่งอยู่บนท่าสูงบนม้านั่งตัวสูงของโต๊ะขนาดสูงเพื่อเฝ้ามองลูกค้าของพวกเขา แถมเรายังสร้างโคมไฟระย้าขนาดมหึมาขึ้น เพราะมันไม่มีทางที่จะหาโคมไฟที่ใหญ่พออย่างที่เราต้องการได้เลย”
ด้วยวิธีการรวมอุบายและเวทมนตร์ แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่และรอนใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อมุ่งหน้าสู่เบื้องล่างของห้องนิรภัยกริงกอตส ซึ่งตั้งอยู่ในถ้ำขนาดยักษ์ด้านล่างตึก สามารถเข้าไปได้โดยผ่านรถลากที่เคลื่อนที่ตามรางที่เป็นขดที่เหมือนกับโรลเลอร์โคสเตอร์ …ด้วยความเร็วที่คล้ายกัน โดยไม่มีการควบคุมเรื่องความปลอดภัย จอห์น ริชาร์ดสัน ผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์เล่าว่า “เราสร้างรถลากจากพื้นฐานการออกแบบของสจ๊วต เครก ซึ่งต่างจากพาหนะส่วนใหญ่ที่เรามีหลากหลายรูปแบบ มันมีรถลากเพียงอย่างเดียว มันจึงต้องเชื่อมกับสายลวดที่ต่างกันซึ่งตั้งอยู่ที่ราง เพื่อให้มันสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงและเอียงจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งได้”
ในถ้ำที่มีระดับความลึกมาก แฮร์รี่ รอน เฮอร์ไมโอนี่ต้องเผชิญหน้ากับระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นลมหายใจมังกรขนาดยักษ์ที่เป็นเหมือนผู้คุมขังให้เป็นยาม มังกรบินได้ที่น่ากลัวเป็นสิ่งมีชีวิตตัวล่าสุดที่ถูกเร็นเดอร์ผ่านเทคนิค CGI โดยทีมงานวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ นำทีมโดย ทิม เบิร์ค
เมื่อกริ๊บฮุกได้เผยความอ่อนแอของมังกร ทั้งสามหาทางเลี่ยงมันและเข้าไปที่ตู้นิรภัยของเบลลาทริกซ์ประตูเปิดออกมาทำให้เห็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าทั้งที่เป็นเหรียญทองและวัตถุตางๆ แต่เบลลาทริกซ์สร้างระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสุดท้ายขึ้นมา นั่นคือ คำสาปเจมิโน ที่ทำให้ทุกสิ่งที่พวกเขาสัมผัสแตกหน่อเป็นตัวมันเองอย่างไม่มีสิ้นสุด มีความรู้สึกได้ถึงฮอร์ครักซ์ชิ้นหนึ่งที่มีอยู่ นั่นคือ ถ้วยของเฮลก้า ฮัฟเฟิลพัฟ แฮร์รี่มีเวลาไม่กี่วินาทีเพื่อคว้ามันมาและออกไปก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะถูกบดอยู่ภายใต้ขุมทรัพย์ล้ำค่าที่พอกพูนขึ้น
การทำงานภายใต้พื้นที่ที่มีจำกัด ทีมงานของริชาร์ดสันประดิษฐ์ลิฟต์ทรงกรรไกร ขึ้นมาหลายชุดที่ทำให้ภาพของขุมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น แผนกฉากที่ควบคุมโดยหัวหน้าฝ่ายฉาก แบร์รี่ วิลกินสัน และ ผู้ควบคุมหุ่นจำลอง ปิแอร์ โบฮานน่า หล่อเหรียญทองขึ้นมากว่า 200,000 เหรียญและวัตถุอื่นอีกนับพันเพื่อใส่เข้าไปในห้องนิรภัย จากนั้นใช้วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์คัดลอกวัตถุแต่ละชิ้นขึ้นมาได้อย่างถูกต้องและเพิ่มจำนวนให้เยอะขึ้น
เมื่อแฮร์รี่ รอน เฮอร์ไมโอนี่ ได้ฮอร์ครํกซ์มาอยู่ในมือแล้ว ต้องมีการรวบรวมความคิดและความเห็นใจเพื่อหลบหนีออกจากกริงกอตส์ แต่อันตรายที่ยิ่งใหญ่กว่ากำลังรอทั้งสามที่พบว่าตัวเองต้องอยู่อย่างลำพังอีกครั้งโดยที่ไม่มีทางถอยหลัง
“สุดท้าย” แรดคลิฟฟ์กล่าว “พวกเขาเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมมาอยู่ในการผจญภัยนี้ และมันสำคัญกว่าคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสามคน หรือแม้แต่เพื่อนๆ และครอบครัวของพวกเขา ช่วงเวลา 17 ปีนี้ที่มีการเติบโตและยอมรับอย่างกล้าหาญว่า การเดิมพันที่สำคัญยิ่งไปกว่าชีวิตของแต่ละคนคือสิ่งที่น่าประทับใจอย่างแท้จริง และผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เรื่องราวน่าตื่นเต้นมาก”
“เด็กชายเปิดเผยความลับของเราแล้วนากินี”
ความสัมพันธ์ส่วนตัวของแฮร์รี่ พอตเตอร์กับลอร์ดโวลเดอมอร์ทำให้พ่อมดน้อยเกิดความกลัวและความเจ็บปวด แต่มันก็ทำให้เขาเข้าใจจิตใจของเจ้าแห่งศาสตร์มืดเป็นพิเศษ ตอนนี้เป็นการแสดงให้เขาเห็นว่าโวลเดอมอร์รู้ ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ และที่แย่ไปกว่านั้นแทนที่จะทำให้เขาอ่อนแอลง การทำลายฮอร์ครักซ์แต่ละชิ้นทำให้เขาเหมือนสัตว์ที่ได้รับความบาดเจ็บ …รุนแรงและอันตรายยิ่งกว่า
เยทส์กล่าวว่า “เมื่อโวลเดอมอร์รู้ว่าแฮร์รี่ตามล่าฮอร์ครักซ์ เขารู้ตั้งแต่แรกเลยว่าเขาอาจถูกโจมตี และเราจะได้เห็นเขาเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งทางกายไม่มากเท่าทางใจ”
“องค์ประกอบที่สำคัญบางอย่างเชือดเฉือนโวลเดอมอร์ทุกครั้งที่ฮอร์ครักซ์ถูกทำลาย และเดวิดกระตุ้นให้ผมแสดงฉากพวกนั้นเหมือนเขากำลังจะระเบิด” ฟีนส์คิดหวนกลับไปว่า “เดวิดเป็นคนที่น่าอัศจรรย์ ไม่ได้มีเพียงฉากเดียว ถึงแม้ภาพนั้นจะเป็นแค่ 1 วินาทีที่เขาไม่พยายามระเบิดทุกแง่มุมของสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวโวลเดอมอร์ ผมนับถือเรื่องนั้นจริงๆ”
ผู้กำกับกล่าวว่า “ราล์ฟกับผมต่างอยากขุดคุ้ยความกลัว คามโกรธของโวลเดอมอร์ รวมถึงทุกอย่างที่ทำให้เขาเป็นคนโหดร้ายอย่างที่เป็น”
เมื่อพูดจากมุมมองความตั้งใจแล้ว ทิม เบิร์ค กล่าวว่าพวกเขาอยากให้การทำลายฮอร์ครักซ์แต่ละชิ้นเป็นรูปร่างอย่างเห็นได้ชัด “เราอยากแสดงให้เห็นความชั่วร้ายของโวลเดอมอร์ด้วยภาพที่ชั่วร้ายและดูวุ่นวายที่เข้าถึงความกลัวในจิตใต้สำนึกของคนได้”
จากช่วงเวลาที่โวลเดอมอร์ฟื้นคืนชีพบนจอในเรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี” มีการใช้วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์เพื่อทำให้ใบหน้าของเขาดูคล้ายงู เบิร์คเล่ารายละเอียดว่า “เราใช้กระบวนการที่เรียกว่าการแต่งหน้าเทียมแบบดิจิตอล โดยเรานำหน้าตาบางส่วนของราล์ฟออกไปและใส่ลักษณะที่ดูเหมือนงู เช่น จมูกที่เป็นรอยกรีดยาวของเขาลงไป การแสดงออกทางสีหน้าที่ต่างกันเล็กๆ น้อยๆ ต้องถูกสังเกตในทุกๆ เฟรมที่โวลเดอมอร์ปรากฏตัวขึ้น และนั่นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย”
ในการเพิ่มอารมณ์ให้มากขึ้น ทีมงานวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ยังทำให้นากินีซึ่งเป็นงูจริงที่ไม่เคยอยู่ห่างจากข้างกายโวลเดอมอร์ให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา ฟีนส์กล่าวว่า “เขารักเธอมาก มันน่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุดเท่าที่เขาเคยมี เหมือนกับดวงวิญญาณที่คู่กายเขา”
“คุณคืออาเบอร์ฟอร์ธ น้องชายของดัมเบิลดอร์”
ในสายตาของโวลเดอมอร์ แฮร์รี่ยังรวบรวมฮอร์ครักซ์ชิ้นอื่นที่อยู่ภายในโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตรศาสตร์ฮอกวอตส์ โรว์ลิ่งกล่าวว่า “มันสร้างความรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าโวลเดอมอร์ซ่อนฮอร์ครักซ์ไว้ที่ฮอกวอตส์ ตั้งแต่ที่เขาซ่อนพวกมันในสถานที่ที่มีความหมายต่อเขาเป็นส่วนใหญ่ และครั้งหนึ่งฮอกวอตส์ก็เป็นเหมือนบ้านของเขา นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่ทั้งเขาและแฮร์รี่ต่างรู้กันดีว่าฮอกวอตส์เป็นสถานที่สำหรับหลบภัย”
แต่ถึงอย่างไรแล้ว สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักปลอดภัยของแฮร์รี่ ตอนนี้คืออาณาเขตของศัตรูไปแล้ว โดยมีผู้เสพความตายควบคุมโรงเรียนและผู้คุมวิญญาณทำหน้าที่ตรวจตราบริเวณรอบนอก การหวนกลับสู่ฮอกวอตส์จะทำให้เขาและทุกคนที่อยู่ที่นั่นตกอยู่ในอันตรายอันยิ่งใหญ่ แต่นั่นคืออันตรายที่เขาต้องแบกรับเอาไว้
แฮร์รี่ รอน เฮอร์ไมโอนี่ต้องหลบเข้าไปในช่องทางลับที่ฮอกส์มีด แต่ทันทีที่พวกเขาเคลื่อนกายให้เห็นอย่างน่าอัศจรรย์ สัญญาณเตือนก็เริ่มดังขึ้น ทั้งสามถูกต้อนจนมุมเมื่อประตูเปิดออกและบุคคลที่คุ้นหน้าคุ้นตาได้นำทางพวกเขาไปด้านใน ทันใดนั้นพวกเขาเกือบเชื่อว่านั่นคือศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ แต่ในไม่ช้าผู้ช่วยของพวกเขาก็เปิดเผยให้เห็นว่าเป็นก็เป็น อาเบอร์ฟอร์ธ พี่น้องที่มีความบาดหมางกันมา
ในการร่วมงานกับเหล่านักแสดงทั้งหมดของเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ซิอาแรน ไฮด์ส ถูกคัดเลือกตัวนักแสดงให้รับบทเป็น อาเบอร์ฟอร์ธ ดัมเบิลดอร์ ผู้ยังคงความแค้นใจในสายเลือดแห่งความเป็นพี่น้อง เมื่อย้อนไปยังเหตุการณ์ในวัยเด็กของพวกเขา ไฮด์สเล่าอย่างละเอียดว่า “มีความไม่ลงรอยกันระหว่างพวกเขาเพราะเรื่องทางเลือกที่อัลบัสสร้างขึ้นทำให้ แอรีอานนา น้องสาวของพวกเขาต้องบาดเจ็บ และดูจากสิ่งที่อาเบอร์ฟอร์ธพูดถึงเขาแล้ว เขาไม่ได้พัฒนาเรื่องนั้นต่อจากนั้นอีกเลย”
ถึงอย่างไรผู้สร้างภาพยนตร์ก็ไม่อยากให้ตัวละครอาเบอร์ฟอร์ธของไฮด์สดูเหมือนกับตัวละครอัลบัสของไมเคิล แกมบอน และผู้ออกแบบการแต่งหน้า อแมนด้า ไนท์ ร่วมมือทำให้พี่น้องมีความคล้ายคลึงกันอย่างรุนแรง
แต่ถึงอย่างไรเจนี่ เทมิเม กล่าวว่า “เขาแต่งตัวต่างจากอัลบัสอย่างสิ้นเชิง เพราะอาเบอร์ฟอร์ธเป็นเจ้าของร้านเหล้า ส่วนอัลบัสเป็นศาสตราจารย์ พี่น้องดัมเบิลดอร์เป็นชาวสก็อต ฉะนั้นกระโปรงจีบแบบสก็อตจึงเป็นสิ่งสำคัญ”
ถึงอย่างไรแฮร์รี่ก็ได้รับความช่วยเหลือ ความเคียดแค้นของอัลเบอร์ฟอร์ธเดือดพล่านยิ่งขึ้นเมื่อเขาพยายามขวางอันตรายในชีวิตของเขา เพื่อทำภารกิจที่รับมาจากอัลบัสให้สำเร็จ แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดเกี่ยวกับศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ที่ถูกเปิดโปงขึ้นมาอย่างไม่แยแส แฮร์รี่ต้องตัดสินใจเลือก “หนึ่งในประเด็นที่สำคัญของภาพยนตร์ตอนสุดท้ายคือความศรัทธา” แรดคลิฟฟ์ยืนยัน “แฮร์รี่จะคงศรัทธาในตัวผู้ชายคนนี้ที่มีท่าทางน่าสงสัยมากยิ่งขึ้นได้อีกนานแค่ไหน?”
บาร์รอนตอบว่า “แฮร์รี่เลือกไว้ใจดัมเบิลดอร์ที่เขารู้จัก ซึ่งเป็นผู้ชายที่เขาไว้ใจและไม่เคยปล่อยให้เขาลำบาก ดัมเบิลดอร์มอบภารกิจสำคัญที่ต้องทำให้สำเร็จแก่เขา ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม และตอนนี้เขาอยากเดินหน้าไปกับมันแล้ว”
“สเนปรู้ เขารู้พบตัวแฮร์รี่แล้ว…”
ความมุ่งมั่นของแฮร์รี่พิสูจน์ให้เห็นว่ายิ่งใหญ่กว่าความเคียดแค้นของอัลเบอร์ฟอร์ธ เขายอมอ่อนข้อและให้ความช่วยเหลือที่มาในรูปแบบของเพื่อนเก่าอย่างเนวิลล์ ลองบัตทอม ที่รับบทแสดงอีกครั้งโดยแมทธิว เลวิส แม้ว่าพวกเขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้กลับมารวมตัวกันของเพื่อนร่วมบ้านกริฟฟินดอร์ แฮร์รี่ รอน เฮอร์ไมโอนี่ รู้สึกช็อคกับการทารุณอย่างชัดเจนที่เนวิลล์ถูกควบคุม นั่นเป็นสัญญาณแรกว่าทุกอย่างที่โรงเรียนเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน โดยมีเซเวอร์รัส สเนป เป็นอาจารย์ใหญ่คนใหม่
“ ฮอกวอตส์เป็นเงาอดีตของตัวเอง” เฮย์แมนกล่าว “ผู้เสพความตายถูกจับกุมและพบการละเมิดกฏระเบียบของพวกเขาต่างๆ พร้อมความโหดเหี้ยมมากมาย”
“มันกลายเป็นสถานที่อันน่าสะพรึงกลัว เหมือนที่คุมขังมากกว่าเป็นโรงเรียนเวทมนตร์” เยทส์กล่าว เขากล่าวเสริมว่าเขาและเอดอร์โด เซอร์ร่า ตากล้องประยุกต์สไตล์การถ่ายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนเพื่อสร้างโทนเรื่อง “เรารวมเฉดสีขึ้นมาเป็นพิเศษ เช่น สีฟ้าและสีโทนเย็นกว่าดูที่สงบ สีพวกนี้พัฒนาไปสู่ความอบอุ่นและดูเหมาะสมในรูปแบบของสีโทนเหลืองและแดง ซึ่งเป็นสีแห่งเพลิงไฟและสีแห่งเลือด… มีหลายส่วนในภาค 2 ที่เราอยากทำให้รู้สึกเหมือนหนังสงครามฟอร์มยักษ์”
เนวิลล์นำทางไปโดยผ่านทางอุโมงค์ลับ แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่ รอนเดินทางมาถึงฮอกวอตส์ ที่พวกเขาเคยพบกับความสนุกสนานอันมากล้นและความสบายใจกับเพื่อนเก่าทั้งหลายของพวกเขา ซึ่งรวมถึง ลูน่า เลิฟกู๊ด (อีแวนน่า ลินช์), โช แชง (เคที่ เหลียง), เชมัส ฟินนิกัน (เดวอน เมอร์เรย์) และ ดีน โทมัส (อัลฟี่ อีนอช) ที่นั่นยังมีอารมณ์แห่งความหวังถึงสัญญาณแห่งการกลับบ้านของแฮร์รี่ จุดเริ่มต้นการก่อกบฏครั้งใหม่ของเหล่าดัมเบิลดอร์ “การวางตัวของเขากระตุ้นพวกเขาได้มาก” บาร์รอนกล่าว “มันทำให้พวกเขามั่นใจว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง”
สำหรับขณะนี้ แฮร์รี่ต้องการความช่วยเหลือของพวกเขาเพื่อรวบรวมเบาะแสที่ตั้งของฮอร์ครักซ์เข้าด้วยกัน ซึ่งเขารู้ว่ามีบางอย่างที่ต้องจัดการกับโรวีน่า เรเวนคลอ โดยลูน่า โช และสองพี่น้องเรเวนคลอสันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นรัดเกล้าที่สาบสูญของโรเวนนา ซึ่งพวกเขาให้คำจำกัดความว่าเป็นรัดเกล้า…และไม่มีผู้ใดที่ยังมีชีวิตอยู่เคยเห็นมาก่อน ก่อนที่แฮร์รี่จะมีปฏิกิริยากับข้อมูล จินนี่ วีสลีย์ รีบเข้ามาแสดงความยินดีเมื่อได้พบแฮร์รี่ และบอกพวกเขาว่าแฮร์รี่ถูกพบตัวแล้ว…และสเนปก็รู้ดี
บอนนี่ ไรท์กลับมารับบทของ จินนี่ ผู้มีความสัมพันธ์กับแฮร์รี่ พอตเตอร์ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กนักเรียนจนโตขึ้นมาและมีความรักที่ผลิบาน “ทันทีที่พวกเขามาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ไม่มีเวลาให้พวกเขาพูดคุยกัน เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก” เธอกล่าวว่า “และจินนี่เข้าใจว่าเขามีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ซึ่งเป็นที่น่าหลงใหลในตัวแฮร์รี่สำหรับเธอ เธอไม่มองว่าเขาเป็น ‘ผู้ถูกเลือก’ เธอมองว่าเขาคือแฮร์รี่ ฉันรักการแสดงเป็นจินนี่จากสาวน้อยขี้อายจนเป็นหญิงสาวที่มีความมั่นใจแบบนี้”
สเนปเรียกทุกคนประชุมที่ห้องโถงใหญ่ ที่ตอนนี้ดูเยือกเย็นและหมองหม่นซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเมื่อหลายปีที่แล้ว สิ่งที่หายไปคือโต๊ะตัวยาวที่อุดมไปด้วยผลไม้จำนวนมากและแสงไฟที่สว่างไสวจากเชิงเทียนที่แขวนอยู่ แทนที่จะเป็นเสียงเอะอะอึกทึกของเพื่อนร่วมชั้น เหล่านักเรียนเดินขบวนเป็นแถวที่เคร่งครัดอย่างเงียบๆ เกาะกลุ่มกันไปสู่บ้านของพวกเขา ถึงอย่างไรสำหรับกรณีนี้ที่มีการรวมพลกันอย่างใกล้ชิด สามารถสร้าง การอำพรางที่ดีที่สุดสำหรับหนุ่มน้อยผู้สวมแว่นตาและมีแผลเป็นที่เป็นตำนานในการกล่าวขานถึง
สำหรับบทศาสตราจารย์สเนปผู้ลึกลับ อลัน ริคแมน ที่มีการถ่ายทอดความสุขุมรอบคอบที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ในเตือนเหล่านักเรียนว่าหากพบผู้ใดให้การช่วยเหลือแฮร์รี่ พอตเตอร์ จะต้องต่อกร…อย่างรุนแรง เยทส์แสดงความเห็นว่า “ไม่ใช่แค่ลักษณะการใช้คำพูดของอลันเท่านั้น แต่ช่องว่างระหว่างคำช่างมีรสชาติที่สุด ผมไม่เคยร่วมงานกับนักแสดงคนไหนที่ถ่ายทอดบทได้อย่างช้าๆ เหมือนอลันเลย” ผู้กำกับกล่าวว่า “แต่เขาทำให้เราจับทุกคำพูด ทุกการหยุด ทุกลมหายใจ เพราะเราอดใจรอฟังสิ่งที่จะพูดต่อไม่ไหว”
“บางสิ่งเป็นการสร้างความกลมกลืนให้เราเข้าถึงเนื้อเรื่องได้” ริดแมนกล่าว “โจสร้างแผนแนวทางที่แน่นอนขึ้นมา เราได้เห็นทรงผมของสเนปและเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขามีเสื้อผ้าเพียงแค่ชุดเดียว” เขาหัวเราะ “เรารู้ว่าเขาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง เราทราบมาว่าเขาไม่เคยพูดเสียงดังเลย มันเป็นพลังที่ระเบิดออกมาได้…แต่มีการจำกัด”
ถ้อยคำของสเนปหลุดออกมาจากปากเขาเพียงเล็กน้อย เมื่อแฮร์รี่ก้าวออกมาเผชิญหน้ากับผู้ชายที่เขาเห็นว่าเป็นคนฆ่าศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ จากนั้นมาครองตำแหน่งของเขาอย่างไร้มารยาท แฮร์รี่ระดมกำลังอย่างกล้าหาญจากเพื่อนๆ และเหล่าอาจารย์ ซึ่งรวมถึงศาสตราจารย์มักกอนนากัลและฟลิตวิค และรีมัส ลูปิน (เดวิด ธิวลิส) และ คิงสลีย์ แชคเกิลโบล์ต (จอร์จ แฮร์ริส) รวมถึงสมาชิกในครอบครัววีสลีย์ ได้แก่ พ่อแม่ของมอลลี่ (จูลี่ วัลเตอร์ส) และ อาเธอร์ (มาร์ค วิลเลียมส์) ฝาแฝดเฟรดและจอร์จ (เจมส์และโอลิเวอร์ เฟลป์ส) รวมถึงบิลและเฟลอร์ที่เพิ่งแต่งงานกัน (ดอมนอล กลีสัน และ เคลเมนซ์ โพซี่) ในระยะอันใกล้แห่งการกลับมาของผู้ถูกเลือก สมาชิกผู้รอดชีวิตมาจากภาคีนกฟีนิกซ์ได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่อสร้างจุดยืนในการต่อต้านกับพลังของเจ้าแห่งศาสตร์มืด
แม็กกี้ สมิธ กลับมารับบทบาทของมิเนอร์ว่า มักกอนนากัล ผู้ที่อยู่ระหว่างสเนปกับแฮร์รี่และต่อสู้ในการดวลไม้กายสิทธิ์อันดุเดือดกับเพื่อนของเธอในสมัยก่อน “แม็กกี้เป็นนักแสดงระดับโลกที่เต็มที่กับทุกบทและทุกฉากที่เธอร่วมแสดง ผมชอบที่ได้ร่วมงานกับเธออีกครั้ง” เยทส์กล่าว
สเนปได้ล่าถอยในรูปแบบที่ดุเดือด แต่ความยินดีช่างสั้นนัก เมื่อลอร์ดโวลเดอมอร์ได้แสดงตัวตนขนาดใหญ่ให้เป็นที่ประจักษ์ เมื่อกลิ่นไอแห่งสงครามได้แพร่กระจายเต็มอาณาบริเวณ มักกอนนากัลใช้คาถาที่เรียกพลังทั้งหมดของฮอกวอตส์เพื่อปกป้องปราสาท ซึ่งได้ชุบชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์ กองทัพหินที่ยืนเฝ้ายามอยู่เรียงรายเป็นเวลาหลายปี กองทหารที่ครั้งหนึ่งไม่เคยเคลื่อนไหวถูกสร้างและแกะสลักขึ้นมาโดยแผนกศิลป์ของสจ๊วต เครก จากนั้นทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นด้วยฝ่ายวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์
ทีมงานด้านวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ของทิม เบิร์ค มีหน้าที่สร้างสนามพลังที่สร้างขึ้นจากไม้กายสิทธิ์ ซึ่งเขาเล่าว่าได้แรงบันดาลใจมาจากแมงกะพรุน “แมงกะพรุนมีโครงสร้างที่น่าอัศจรรย์ ดูเหมือนกับโปร่งแสงและปล่อยแสงแวววาวออกมาบ่อยๆ เราใช้แรงบันดาลใจนี้กับเอ็ฟเฟ็กต์ของไม้กายสิทธิ์ของเรา ซึ่งช่วยทำให้มันรู้สึกมีชีวิตชีวา”
เหล่าพ่อมดรู้ว่าสนามพลังนี้จะไม่รวมตัวเพื่อโจมตีผู้เสพความตายได้นานนัก แต่มันจะซื้อเวลาให้เนวิลล์ เชมัส และจินนี่แขวนไม้ที่เอาไว้ต้อนรอบผู้บุกรุกได้ และมันจะให้เวลาแฮร์รี่ทำภารกิจของเขาได้ต่อไป “เพราะ” เฮย์แมนกล่าวว่า “หากเขาไม่พบฮอร์ครักซ์ชิ้นที่เหลือ ก็ไม่มีความหวังแห่งชัยชนะอีกแล้ว”
“ถ้าเราตายเพราะพวกมัน ฉันจะฆ่านายแฮร์รี่!”
เมื่อการต่อสู้ดุเดือดขึ้น แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่และรอนแยกตัวกัน โดยแฮร์รี่ค้นหาฮอร์ครักซ์ เฮอร์ไมโอนี่และรอนค้นหาวิธีทำลายมัน ดาบของกริฟฟินดอร์ที่พวกเขาใช้ทำลายล็อกเกตของซัลลาซาร์ สลิธีรินใน “ภาค 1” หายไปที่กริงกอตส์ แต่รอนพบอะไรบางอย่าง รูเพิร์ท กรินท์ อธิบายอย่างชัดเจนว่า “เขามีความาคิดที่จะใช้เขี้ยวบาซิลิสก์ทำลายฮอร์ครักซ์ วิธีของพวกเขาคือสิ่งที่แฮร์รี่จัดการกับสมุดบันทึกของทอม ริดเดิ้ล ในห้องแห่งความลับ”
บาซิลิสก์ถูกฆ่าไปแล้ว แต่กระดูกและเขี้ยวของมันยังอยู่ครบถ้วน รอนและเฮอร์ไมโอนี่หาวิธีลงไปที่ห้อง การออกแบบไม่เปลี่ยนไปจากภาพยนตร์ภาคที่ 2 ของซีรี่ส์ แต่มีอย่างหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาคือโครงกระดูกของบาซิลิสก์ที่ตายมานานแล้ว ซึ่งถูกแกะสลักเป็นพิเศษโดยแผนกของนิค ดัดแมน
ในการดึงเขี้ยวหนึ่งออกมา รอนไว้วางใจเฮอร์ไมโอนี่ที่สนับสนุนว่าให้ปักมันลงไปที่แก้ว ซึ่งทำให้เกิดคลื่นยักษ์แห่งความโกรธและความหวาดกลัวออกมาจากแก้วใบนั้น ทำให้เขาเปียกโชกและแทบหยุดหายใจ พวกเขาตกอยู่ในอ้อมแขนเพื่อจูบกันอย่างที่แฟนๆ เฝ้ารอ
มันเป็นช่วงเวลาที่กรินท์และวัตสันเองก็เฝ้ารอ ถึงแม้จะมีเหตุผลที่แตกต่างออกไป “เพราะผมรู้จักเอ็มม่าตั้งแต่พวกเราเป็นเด็กเล็กๆ ผมคิดว่ามันคงรู้สึกแปลกๆ” กรินท์ยอมรับว่า “ไม่ใช่ว่าไม่ให้เกียรติเอ็มม่านะ เธอเป็นคนน่ารักอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ผมแค่นึกภาพนั้นไม่ออก ผมรู้สึกค่อนข้างกังวลเรื่องนั้นยิ่งขึ้นเมื่อผมจินตนาการมันขึ้นในหัว”
ในทางกลับกันวัตสันก็ร่วมแบ่งความกังวลของเขา “ความจริงที่รูเพิร์ทกับฉันมีมิตรภาพที่แน่นแฟ้น อันที่จริงนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราค่อนข้างอึดอัด” เธอเผยความลับว่า “หากเราโตขึ้นมาพร้อมใครสักคนที่เหมือนพี่น้องของเรา จากนั้นเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องจูบกับเขาด้วยอารมณ์แห่งความรัก มันรู้สึกลำบากใจจริงๆ”
ด้วยความเข้าใจถึงความกังวลของพวกเขา เดวิด เยทส์ จึงไม่บอกพวกเขาตอนที่พวกเขาต้องถ่ายฉากจูบกัน จนกระทั่งก่อนช่วงเย็น และมอบคำแนะนำจากผู้กำกับให้แต่ละคนเล็กน้อย “ผมบอกพวกเขาให้ลืมรูเพิร์ทกับเอ็มม่าไปซะ แล้วปล่อยให้รอนกับเฮอร์ไมโอนี่มารับหน้าที่ไป พวกเขาได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ และมันก็ดูมีเสน่ห์…โดนใจอย่างแท้จริง”
ในขณะที่แฮร์รี่เร่งรีบไปห้องนั่งเล่นของบ้านเรเวนคลอ ตอนที่เขาถูกสกัดการติดตามจากลูน่า เลิฟกู๊ด ผู้ที่แสดงพลังแห่งความเด็ดเดี่ยวที่พบได้ไม่บ่อยในบุคลิกของเธอ อีแวนน่า ลินช์ กล่าวว่า “แฮร์รี่คิดว่าเขาไม่มีเวลาสำหรับหลักการไร้สาระของลูน่า แต่เธอมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องบอกเขา เวลาที่เขาไม่ฟัง เธอจะรู้สึกผิดหวังและตะคอกใส่เขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะพบจากลูน่าเลย”
เมื่อเขาเห็นรัดเกล้าของโรวีน่า เรเวนคลอ มันเป็นการย้ำเตือนเขาว่าไม่มีใครรอดชีวิต ลูน่าพาแฮร์รี่ไปพบคนๆ หนึ่ง หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือวิญญาณที่อาจช่วยเขาได้ เคลลี่ แม็คโดนัลด์ ปรากฏตัวในบทบาทสุภาพสตรีสีเทา ผีประจำปราสาทของเรเวนคลอ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นวิญญาณของ เฮเลน่า ลูกสาวของโรวีน่า เธอไม่เต็มใจบอกแฮร์รี่ตรงๆ ว่ารัดเกล้าอยู่ที่ไหน เธอแสดงปริศนาให้เขา ซึ่งคำตอบคือสิ่งที่พาเขาไปยังห้องต้องประสงค์ ซึ่งมีฮอร์ครักซ์ซ่อนอยู่ในบรรดาสิ่งที่ดูล้ำค่าเป็นเวลาหลายทศวรรษ เช่น เฟอร์นิเจอร์ที่ถูกทิ้งเอาไว้ หนังสือ และสิ่งประดิษฐ์ พร้อมทั้งวัตถุโบราณอื่นๆ อีกจำนวนมาก
เครกบรรยายว่า “ห้องต้องประสงค์ต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ของเราประมาณ 200 ฟีตจาก 300 ฟีต จากพื้นจนถึงเพดานเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของที่มีทุกแบบทุกขนาด สเตฟานี่ แม็คมิลลาน ผู้ตกแต่งฉากและทีมงานของเธอซื้อเฟอร์นิเจอร์ใช้แล้วเป็นเวลาหลายต่อหลายเดือนก่อนการถ่ายทำ มีแต่ของที่ดูดีทั้งนั้นเลย”
กรีนสกรีนเป็นขอบเขตของฉากที่ทำให้ทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ได้ขยายโอกาสและเพิ่มบริเวณสิ่งต่างๆ ให้เต็มที่โดยรักษาคำสั่งของเดวิด เยทส์ ที่ต้องทำให้ห้องมีอารมณ์ความรู้สึก “เหมือนภูเขาสิ่งของ” ผู้กำกับยืนยันว่า “มันต้องรู้สึกเหมือนว่ามันแผ่ขยายไปอย่างไม่มีสิ้นสุดจนเกินขอบเขต”
ในบรรดากองสิ่งของที่ผสมปนเปกันอยู่ มีสิ่งที่แฟนๆ ผู้มีสายตาเฉียบแหลมของภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ อาจจำได้เป็นพิเศษ แม็คมิลลานกล่าวว่า “เรานำหลายฉากจากภาพยนตร์กลับมาใช้ เช่น โต๊ะทำงานเก่าๆ โต๊ะทุกตัวและม้านั่งจากห้องโถงใหญ่ ไม้กวาด ม้านั่งของศาสตราจารย์ ที่ตกแต่งฉากจากงานปาร์ตี้ของศาสตราจารย์ซลักฮอร์น…”
“ที่นั่นมีส่วนประกอบต่างๆ จากหนังทุกตอน…ที่มีความเป็นมาหลากหลาย” เฮย์แมนกล่าวว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้มันเป็นหนึ่งในฉากโปรดของผม”
เฟอร์นิเจอร์กองหนึ่งถูกแขวนไว้เพื่อให้เหล่านักแสดงปีนมันได้อย่างปลอดภัย ครั้งแรกคือตอนที่แฮร์รี่ตามหาฮอร์ครักซ์ และจากนั้นคือตอนที่เดรโก มัลฟอยตามหาแฮร์รี่ เดรโกสะกดรอยตามแฮร์รี่เพื่อทวงไม้กายสิทธิ์คืน ซึ่งแฮร์รี่ยึดของเขาไปที่คฤหาสน์มัลฟอยใน “ภาค 1” โดยที่นั่นเดรโกได้ช่วยชีวิตแฮร์รี่ได้อย่างน่าประหลาด โดยการไม่เปิดเผยตัวแฮร์รี่ให้แก่ป้าเบลลาทริกซ์
การหวนสู่บทบาทของเดรโก ทอม เฟลตัน กล่าวว่า “มันอธิบายไม่ได้จริงๆ ว่าทำไมเดรโกถึงตัดสินใจทำแบบนั้น มันเป็นเรื่องดีที่โจปล่อยมันไว้ให้เราตีความ สำหรับผมแล้วผมเชื่อว่าเขามาถึงจุดที่เขาอยากเป็นคนดี แต่ความชั่วร้ายอยู่ในดีเอ็นเอของเขา มันเป็นความต่อสู้อย่างยากลำบากสำหรับเดรโก แต่สำหรับผมแล้วสนุกมากที่ได้แสดงมัน”
“เดรโกค่อยๆ พัฒนาจากเด็กเกเรสองบุคลิกสู่ตัวละครที่มีความซับซ้อนมาก” โรว์ลิ่งยืนยันว่า “ทอมทำให้พวกเราโล่งใจด้วยสิ่งที่เขาแสดงกับบทบาท เมื่อเดรโกเริ่มอ่อนข้อและแสดงหลากหลายอารมณ์ที่เราไม่เคยคาดมาก่อนจากภาพยนตร์ตอนแรกๆ”
ประกอบด้วยเบลสและกอยล์ 2 ผู้ติดตามของสลิธีริน เดรโกคุมตัวแฮร์รี่อยู่ในห้องต้องประสงค์ แต่การเผชิญหน้ากลับเลวร้ายเมื่อไม้กายสิทธิ์ของกอยล์ทำให้เกิดไฟลุกปกคลุมทั่วทั้งห้องจนเป็นเพลิงปีศาจ ถึงแม้ฉากส่วนใหญ่จะเพิ่มเข้าไปตอนโพสต์-โพรดักชั่นได้ แต่ทีมงานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ของริชาร์ดสันได้จัดวางยุทธศาสตร์คบเพลิงเอาไว้รอบห้อง “เรารู้สึกได้ถึงความร้อนจริงๆ” เฟลตันกล่าวว่า “มันจึงเป็นการผสมผสานของการจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่นั่น และการเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา”
ด้วยเปลวไฟที่ตัดช่องทางการหลบหนีทุกด้าน แฮร์รี่พร้อมด้วยเฮอร์ไมโอนี่และรอนต้องกลับมาคว้าไม้กวาดและเหาะไปให้ทัน ตอนนี้พวกเขาต้องเลือกระหว่างการทิ้งเดรโกไว้ข้างหลัง หรือเสี่ยงชีวิตของพวกเขาเพื่อช่วยเหลือคู่อริเก่าแก่ของพวกเขา รอนตัดสินใจอย่างชัดเจนเองว่าจะช่วยเหลือ แต่สำหรับแฮร์รี่แล้วมันไม่มีทางเลือกเลย กรินท์เปิดเผยว่า “นั่นเป็นฉากที่เท่ห์มาก มันวิเศามากที่ได้หวนไปหาไม้กวาด โดยเฉพาะตั้งแต่ที่เรารู้ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว”
ตลอดช่วงเวลาของภาพยนตร์ทั้งหมด การจัดเตรียมไม้กวาดค่อยๆ พัฒนาขึ้นตลอดเวลา ทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์สามารถเข้าถึงฉากการเหาะที่มีความซับซ้อนได้มากขึ้น และมีการปรับตัวเหล่านักแสดงรุ่นเยาว์เมื่อพวกเขาโตขึ้น ริชาร์ดสันกล่าวว่า “เราลงเอยด้วยไม้กวาดที่ตั้งยึดติดกับวงแหวนพร้อมด้วยที่นั่งที่หล่อขึ้นมาสำหรับผู้ขี่ ซึ่งมีสายรัดอย่างปลอดภัย ฉะนั้นแม้ว่าไม้กวาดจะมีการเคลื่อนที่ขึ้นลง พวกเขาก็ยังนั่งอยู่ได้ จากนั้นวงแหวนตั้งบนฐานเคลื่อนที่บนแกน 6 ส่วน ระหว่างทั้งคู่ เราสามารถเคลื่อนไหวการเหาะได้อย่างไหลลื่น ซึ่งมันอาจไม่มีทิศทางหรือเหาะไปตามที่เราต้องการ”
แต่ถึงอย่างไรภาพยนตร์ตอนสุดท้ายก็ต้องมีการยกระดับด้านอื่นอีก เช่น ฉากการช่วยเหลือที่รวมการเหาะของจักรยานสองที่นั่งเข้าไป “สำหรับสิ่งนั้น” ริชาร์ดสันกล่าวเสริมว่า “เราต้องสร้างด้ามไม้กวาดที่แตกต่างออกไป ซึ่งถูกจัดวางบนราง เราจึงบินด้วยความเร็วสูงผ่านโต๊ะบนรอกไฮโดรลิคที่จะถูกยกขึ้นและจับหงายลงในช่วงเวลาที่ถูกต้องแม่นยำ การลอยของไม้กวาดต้องสัมพันธ์กับแขน พร้อมกับคนที่อยู่บนโต๊ะและเหวี่ยงเขากลับขึ้นไปบนไม้กวาดด้วยรูปแบบที่เหมือนคาวบอย มันเป็นการแสดงที่ยากแต่ผมว่ามันออกมาเยี่ยมเลย”
ปฏิบัติการช่วยชีวิตที่ท้าทายความสามารถเป็นการพยายามของกลุ่ม โดยเหล่านักแสดงและรวมถึงทีมงานสตั๊นท์ นำโดยผู้ควบคุมสตั๊นท์ เกร็ก โพเวล ซึ่งโพเวลยังร่วมงานกับริชาร์ดสันและผู้กำกับกอง 2 สตีเฟ่น วูลเฟ็นเด็น อย่างใกล้ชิดในการระเบิดสะพานลอย ซึ่งเป็นหนึ่งในปราการด่านสุดท้ายของฮอกวอตส์
ฉากของวูลเฟ็นเด็นถ่ายทอดจินตนาการของสะพานที่สูงกว่า Fort William ในสก็อตแลนด์ “มองลงมาจะเห็นทะเลสาบแสนสวยและฉากหลังมีความงดงามมาก” เขากล่าว
การทำลายที่แท้จริงสำเร็จได้โดยการใช้สะพานไฮโดรลิคซึ่งตั้งอยู่ที่ Pinewood Studios โพเวลกล่าวว่า “ทั้งหมดเกี่ยวกับหลักไฮโดรลิค แต่เมื่อมันเคลื่อนตัว มันก็จะเคลื่อนตัวลงอย่างไม่มีการควบคุมเลยทิ้งให้สตั๊นท์แมนอยู่กลางอากาศช่วงหนึ่ง ซึ่งดูดีมากๆ”
ที่สะพาน เนวิลล์ได้ประจัญหน้ากับกองกำลังของผู้เสพความตาย ซึ่งปรากฏให้เห็นตามที่แมทธิว เลวิสกล่าวว่า “มีหลายอย่างสำหรับเนวิลล์มากกว่าที่เห็นด้วยตา” การรับบทแสดงในหนังแฟรนไชส์ตลอดทั้งเรื่อง นักแสดงมีความสุขที่ได้เห็นตัวละครของเขาเข้าใจศักยภาพแห่งความกล้าหาญที่เขารู้ว่ามีอยู่ตรงนั้นเสมอ “เนวิลล์ไม่เคยเป็นคนกล้าหาญ ไม่ใช่คนที่คู่ควรต่อความภาคภูมิใจในบ้านของกริฟฟินดอร์ แต่แฮร์รี่เชื่อมั่นในตัวเขาเสมอ และนั่นทำให้เนวิลล์เริ่มเชื่อมั่นตัวเอง พลังและความกล้าทั้งหมดผุดขึ้นมาจากเบื้องล่าง ท้ายที่สุดก็ได้ปรากฏออกมา ตอนนี้เขากลายเป็นนักสู้ที่มีอิสรภาพแห่งความกล้าหาญ ซึ่งเป็นสิ่งวิเศษและตอบแทนได้มาก”
เยทส์กล่าวว่า “บทสรุปแห่งการต่อสู้ เนวิลล์เป็นคนโหดเหี้ยมและกระหายเลือด แต่เขาปฏิเสธต่อการแพ้พ่ายในการต่อสู้ ซึ่งเป็นการเดินเรื่องที่น่าประหลาดใจ”
“แฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กชายผู้รอดชีวิต ตายซะเถอะ”
การต่อสู้ที่ฮอกวอตส์มีความรุนแรงอยู่รอบตัวพวกเขา แต่แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่และรอนยังคงก่อสงครามอีกด้านหนึ่ง…เพื่อโลกของพ่อมดทั้งปวง เส้นทางต่อไปที่น่าจะเสี่ยงภัยที่สุด ฮอร์ครักซ์ได้นำพวกเขามาสู่ที่เก็บเรือของโรงเรียนที่ทั้งสามเป็นพยานรู้เห็นการเผชิญหน้ากันครั้งสำคัญระหว่างสเนปและโวลเดอมอร์โดยบังเอิญ
เฮย์แมนกล่าวว่า “สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับหนังสือของโจ คือการที่เหล่าตัวละครอาศัยอยู่ในพื้นที่สีเทาระหว่างด้านสว่างและด้านมืด ความดีและความชั่ว ซึ่งคล้ายคลึงกับเราทุกคน เรื่องราวความเป็นมาของสเนปมีความซับซ้อนกว่าที่เราคิดเอาไว้ และผมว่าผู้ชมจะสนุกที่ได้เห็นเรื่องราวทั้งหมดของเขาถูกเปิดโปง”
“เรารู้อยู่เสมอวย่าเขามีเหตุผล” ริคแมนกล่าว “มันเป็ฯข้อสงสัยว่าเหตุผลนั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร… อันตรายทั้งหลายเกิดขึ้นเมื่อเขาก้าวไปสู่บรรยากาศที่ขุ่นมัวมากขึ้น จนในที่สุดมันกลายเป็นการรักษาสัญญา ความซื่อสัตย์ และในกรณีของสเนปแล้ว เพื่อไม่เป็นการหลุดอะไรออกไป มันคือเรื่องของการพิสูจน์ความผิดอย่างกล้าหาญ”
ในหนังสือ ข้อแลกเปลี่ยนสำคัญระหว่างเจ้าแห่งศาสตร์มืดและเซเวอร์รัส สเนป เกิดขึ้นที่ Shrieking Shack แต่เดวิด เยทส์ ได้รับการอนุญาตจากตัวโรว์ลิ่งเองว่าให้เปลี่ยนฉากเพื่อ “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต — ภาค 2” ขึ้นมาใหม่
การสร้างสนามฝึกบินที่ Leavesden ที่เก็บเรือตั้งอยู่ริมน้ำภายใต้ปราสาทฮอกวอตส์ เครกออกแบบตึกด้วยผนังกระจกสไตล์ Tudor เขากล่าวว่า “เราจะนึกถึงการต่อสู้เบื้องหลังเสมอ เพราะเปลวไฟถูกสะท้อนที่กระจกและบนน้ำ”
สายน้ำยังสะท้อนถึงความทรงจำต่างๆ ที่เพนซิฟในห้องทำงานของดัมเบิลดอร์ที่แฮร์รี่เข้าใจดีว่าเขาต้องทำอะไร แดเนียล แรดคลิฟฟ์ เล่าว่า “ในตอน ‘ภาคีนกฟีนิกซ์’ แฮร์รี่เรียนรู้คำพยากรณ์ที่กล่าวว่า ‘จะมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่รอดชีวิต’ ตั้งแต่บัดนั้นมา ทุกย่างก้าวแห่งการเดินทางของเขา เขารู้ว่ามันต้องไปถึงประเด็นสำคัญสักอย่าง และเขารู้ชัดว่านั่นคือสิ่งนี้”
“แฮร์รี่รู้ดีว่าชะตากรรมของเขาและโวลเดอมอร์ถูกประสานร่วมกัน” เฮย์แมนกล่าว “การพบทางเลือกว่าจะออกไปเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งศาสตร์มืดหรือปล่อยให้ทุกคนตาย แฮร์รี่ถูกเตรียมความพร้อมให้พบกับโชคชะตาของเขา และแดนก็เป็นคนน่าทึ่ง เขาถ่ายทอดความฉลาดและความเป็นผู้ใหญ่ลงไปในฉากเหล่านั้น ซึ่งเกินกว่าอายุของเขา เขาพิจารณาถึงเรื่องอารมณ์และเหตุผลทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของแฮร์รี่แต่ละอย่าง และนำความสมจริงมาใส่ในการแสดงของเขา”
เยทส์กล่าวเสริมว่า “หนึ่งในฉากโปรดของผมคือตอนที่แฮร์รี่เดินทางอย่างลำพัง เพื่อช่วยชีวิตทุกคนเอาไว้ ในการตัดสินใจของเขาสิ่งที่งดงามและคงอยู่ไว้ในความทรงจำ”
“เอาล่ะทอม มายุติในจุดที่เราเริ่มต้น… ร่วมกันเถอะ”
การประจันหน้าที่เฝ้ารอมาอย่างยาวนานระหว่างแฮร์รี่และโวลเดอมอร์ที่ “พาพวกเขาหวนคืนสู่จุดที่พวกเขาเริ่มเรื่องขึ้น” โรว์ลิ่งกล่าว “มันต้องยุติลงที่ฮอกวอตส์”
การต่อสู้ของพวกเขาเกิดขึ้นท่ามกลางสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องโถงศักดิ์สิทธิ์ เยทส์จัดฉากแสดง ฉะนั้นมันจึงไม่ใช่แค่พ่อมด 2 คนมาต่อสู้กันด้วยไม้กายสิทธิ์ แต่อริคู่อาฆาตทั้งสองอยู่ในการต่อสู้ที่ถึงแก่ชีวิต ซึ่งจะสิ้นสุดลงได้ต่อเมื่อคนใดคนหนึ่ง…หรือทั้งสองฝ่าย…ตาย
ผู้กำกับเล่ารายละเอียดว่า “เราให้พวกเขาเผชิญหน้ากันที่ห้องโถงและสาดคาถาใส่กัน แต่มันก็ใช้การแสดงทางร่างกายเยอะด้วย มีจุดหนึ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากันอย่างใกล้ชิดแล้วตกลงมาจากบันได พวกเขาหมุนกลิ้งตัวไป จนกระทั่งเราไม่แน่ใจว่าคนหนึ่งจะเป็นอย่างไร และอีกคนหนึ่งจะเริ่มเป็นอย่างไร ผมกระตือรือร้นในการสำรวจเรื่องนั้นมาก เพราะโดยส่วนสำคัญแล้วจุดเชื่อมโยงนั้นคือสิ่งที่เราพัฒนาในหนังทุกตอน”
เครกและทีมงานของเขาประดิษฐ์ฉากเพื่อเตรียมไว้สำหรับสถานการณ์หลายระดับ ผู้ออกแบบฉากกล่าวว่า “จุดมุ่งหมายหลักของเราคือการเพิ่มองค์ประกอบอื่นมาใส่ในสมรภูมิรบที่จะทำให้มีอุปสรรคที่สนุกสนานมากขึ้น เดวิด (เยทส์) จึงมีส่วนร่วมในการออกแบบโครงเรื่องตั้งแต่ตอนเริ่ม เราสร้างขั้นบันไดขึ้นมาหลายชุดเพื่อที่แฮร์รี่หรือไม่ก็โวลเดอมอร์จะอยู่ด้านบนและอีกคนก็อยู่ด้านล่างได้ ซึ่งมันสลับกันได้ง่ายมาก”
“ผมต้องปีนบันไดหลายขั้นในฉากนั้น เยอะกว่าทั้งชีวิตของผมซะอีก” แรดคลิฟฟ์หัวเราะ “แต่มันก็ไม่น่าเชื่อเลย”
การผสมผสานระหว่างการออกแบบที่สมจริง และการออกแบบที่แท้จริงต่างเป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการสร้างโลกของหนังเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่การผสมผสานนั้นมีความสำคัญเป็นพิเศษในฉากการต่อสู้ที่ฮอกวอตส์ในเรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต — ภาค 2” สำหรับครั้งแรก การถ่ายทำด้านนอกของปราสาทฮอกวอตส์ที่มีขนาดกว้างขวางไม่ได้ถูกจับภาพไว้ด้วยแบบจำลองที่ใช้งานได้จริง แต่แทนที่ด้วยการเร็นเดอร์ผ่านเทคนิค CGI
เยทส์กล่าวว่า “เราสร้างองค์ประกอบที่ดีของเรื่องเหมือนอย่างเคย แต่ก็สร้างฮอกวอตส์ในแบบดิจิตอลขึ้นมาด้วย ซึ่งทำให้เรามีอิสระในการใส่ฉากแอ็คชั่นเข้าไปภายในและรอบๆ โรงเรียน ทุกหนทุกแห่งที่เราต้องการได้”
ไม่ใช่แค่แฮร์รี่และโวลเดอมอร์ไม่ได้ต่อสู้กันจนตัวตายเท่านั้น พลังแห่งความดีและความชั่วร้ายแห่งโลกเวทมนตร์ที่อยู่รอบตัวพวกเขา รวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งมีขนาดใหญ่และเล็กต่างกำลังสู้รบกันในสงครามเต็มรูปแบบอันเข้มข้นที่นำพาใบหน้าที่คุ้นตากลับมาให้เห็นทั้งสองฝ่าย
เดวิด บาร์รอน กล่าวว่า “เราโชคดีอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะจริงๆ แล้วเหล่านักแสดงทั้งหมดอยากมีส่วนร่วมในตอนจบ บางคนปรากฏตัวในเวลาเพียงสั้นๆ การที่พวกเขาได้อยู่ที่นั่นเป็นเรื่องสำคัญต่อพวกเขาและพวกเรา และยังมีตัวละครบางตัวที่มาสู่จุดสิ้นสุดในเวลาอันควรในภาพยนตร์ตอนก่อนๆ ที่แสดงได้อย่างน่าประหลาดใจ เช่น แกรี่ โอล์ดแมน ที่รับบทเป็นซีเรียส แบล็ก และ ไมเคิล แกมบอน ที่รับบทเป็น ดัมเบิลดอร์”
เหล่านักแสดงที่หวนกลับมายังรวมถึง ร็อบบี้ โคลเทรน ผู้รับบทเป็น รูเบอัส แฮกริด, เอ็มม่า ทอมป์สัน ผู้รับบทเป็น ศาสตราจารย์ ซีบิลล์ ทรีลอว์นีย์, จิม บรอดเบนต์ ผู้รับบทเป็น ศาสตราจารย์ ฮอเรซ ซลักฮอร์น, มิเรียม มาร์กอยล์ส ผู้รับบทเป็น ศาสตราจารย์ โพโมนา สเปราต์, เก็มม่า โจนส์ ผู้รับบทเป็น มาดามพอมฟรีย์, เดวิด แบรดลีย์ ผู้รับบทเป็น อาร์กัส ฟิลช์, เจสัน ไอแซคส์ และ เฮเล็น แม็คครอรี่ ผู้รับบทเป็น ลูเซียสและนาร์ซิสซา มัลฟอย, นาตาเลีย ทีน่า ผู้รับบทเป็น นิมฟาดอร่า ท็องส์ และ เดฟ ลีเจโน่ ผู้รับบทเป็น เฟนเรีย เกรย์แบ็ก
สงครามที่ต้องปะทะกับผู้เสพความตายได้นำผลลัพธ์อันเลวร้ายมาให้ตัวละครโปรดทั้งหลาย เหล่าพ่อมดผู้เป็นที่รักได้ล้มตาย และเบลลาทริกซ์ เลสแตรงจ์ มีความตั้งใจสังหารอีกคนหนึ่ง นั่นคือ จินนี่ วีสลีย์ ตอนที่มอลลี่ วีสลีย์ เมื่อก้าวเข้าสู่การต่อสู้
การรับบทแสดงเป็นหัวหน้าครอบครัววีสลีย์ จูลี่ วัลเตอร์ส กล่าวว่า “แน่นอนว่าเบลลาทริกซ์คิดว่า ‘มาเลยยัยแก่’ แต่เธอไม่รู้ว่าเธอกำลังเผชิญหน้ากับอะไร เมื่อเธอสวมบทโหด ซึ่งเป็นการปกป้องด้วยความรักของผู้เป็นแม่”
พลังแห่งความรักของผู้เป็นแม่คือสิ่งสำคัญที่มีอยู่ในเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ โดยธรรมชาติอยู่แล้ว เริ่มตั้งแต่ ลิลลี่ พอตเตอร์ ที่สละความรักอันยิ่งใหญ่ให้แก่ลูกชายของเธอ เพื่อให้เขาเป็น “เด็กชายผู้รอดชีวิต” โรว์ลิ่งกล่าวว่า “ฉันสูญเสียแม่ไป 6 เดือน ตอนที่กำลังเขียนเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ จากนั้นไม่นานฉันก็ได้กลายเป็นแม่ ในทุกด้านของความเป็นแม่มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตส่วนตัวของฉันอย่างที่ฉันเขียนลงไป ในเรื่องราว มันถ่ายทอดสู่เรื่องราวโดยธรรมชาติอย่างตรงประเด็น”
การเผชิญหน้ากับทางเลือกที่อาจนำมาซึ่งความเป็นหรือความตายของแฮร์รี่ นาร์ซิสซา มัลฟอย พิสูจน์ว่าพลังแห่งความรักของแม่ไม่ได้ถูกจำกัดไว้แต่เพียงด้านเดียว “นาร์ซิสซาอาจเป็นสายเลือดเลสแตรงจ์โดยกำเนิด แต่เป็นคนตระกูลมัลฟอยเมื่อเธอสมรส แต่มันเป็นความจงรักภักดีอย่างลึกซึ้งต่อลูกชายของเธอที่ได้แสดงออกถึงตัวเธอสิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการเสี่ยงชีวิตของเธอเพื่อปกป้องเดรโก นั่นคือการที่เธอเป็นแม่”
ในอีกด้านหนึ่ง “โวลเดอมอร์มองไม่เห็นความสำคัญของความรัก มิตรภาพ หรือความเห็นใจ” แรดคลิฟฟ์ กล่าวว่า “เขาคิดว่าสำหรับพวกเขาแล้วมันเป็นสิ่งที่น่าชิงชัง เป็นความอ่อนแอ แต่นั่นแหละคือความอ่อนแอของตัวเขาเอง”
ผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากสงคราม ได้มีผลลัพธ์ที่กว้างกว่าบุคคลในโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตรศาสตร์ฮอกวอตส์อันสูงส่ง ซึ่งให้เราเห็นในรูปแบบของสิ่งที่ถูกทำลายอย่างย่อยยับ แม้ว่าผลที่ได้รับจากการทำลายจะดูไร้ทิศทาง เครกกล่าวโต้วว่าทั้งหมดล้วนเป็นการออกแบบขึ้นมาแล้ว “มันไม่ใช่แค่คำถามของการทำลายบางกำแพงลงไป เค้าโครงร่างมีความสำคัญเหมือนเป็นชิ้นส่วนประติมากรรม ตัวอย่างเช่น ห้องโถงใหญ่เป็นส่วนหลักของฮอกวอตส์ ฉะนั้นในการทำลายล้างมัน เรารู้ว่ามันต้องเป็นภาพที่ทิ้งความประทับใจเอาไว้ตลอดกาล”
“ในหนังมีความรู้สึกว่าสงครามนั้นจะก่อให้เกิดผลอย่างไร มันเป็นการทำลายสถานที่แห่งความมั่นคงและปลอดภัยของเรา” โรว์ลิ่งกล่าว “.ใช่ มันอาจเป็นแค่วัตถุสถานที่ แต่เมื่อมันเป็นบ้านแล้ว มันคือทุกสิ่งทุกอย่าง”
ห้องโถงใหญ่เป็นฉากช่วงแรกสุดและยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่สร้างขึ้น และมันเป็นสิ่งที่อยู่มาอย่างต่อเนื่องที่Leavesden ตลอดทั้งซีรี่ส์ ภาพของฉากที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างยาวนานได้ถูกย่อส่วนลงเป็นเศษเล็กเศษน้อย่ส่งผลประทบต่อผู้สร้างภาพยนตร์ เหล่านักแสดงและทีมงานอย่างยิ่งใหญ่
แรดคลิฟฟ์จำได้ว่า “มันทำใจได้ยากที่จะเฝ้ามองสิ่งที่มีความยิ่งใหญ่และคงอยู่มาอย่างต่อเนื่องต้องทลายลงอย่างรวดเร็ว”
“มันค่อนข้างน่าช็อค” กรินท์เห็นด้วย “เราโตขึ้นมากับฉากเหล่านั้น สำหรับพวกเรามันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเฝ้าดูมัน”
“ความคิดการทำลายทุกอย่างที่ตั้งอยู่มาอย่างยาวนานค่อนข้างน่าสลด” วัตสันกล่าว “ฉันคิดว่าฉันจะนึกภาพว่ามันยังอยู่ที่นั่นได้นะ” เธอยิ้ม
เฮย์แมน ผู้เฝ้าดูฉากฮอกวอตส์ถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้วกล่าวว่า “การเห็นความยิ่งใหญ่ของฮอกวอตส์ถูกทำลายเป็นเรื่องสะเทือนใจมาก สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ มันทำให้เราเห็นความจริงที่เรากำลังเข้าสู่จุดจบแห่งการเดินทางอย่างรวดเร็ว”
ความรู้สึกต่างๆ ค่อนข้างหวั่นไหวมากต่อทุกคนที่มีส่วนร่วมในการถ่ายทำ โดยที่แต่ละวันคือสัญลักษณ์แห่ง“ช่วงเวลาสุดท้าย” สำหรับการถ่ายทำในบางมุมจนกระทั่งมันถูกปิดกล้อง
จุดจบของการผจญภัยที่ยาวนานนับทศวรรษของพวกเขา เหล่านักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์ร่วมแบ่งปันความซาบซึ้งและความภาคภูมิใจที่พวกเขานำภาพยนตร์ซีรี่ส์แห่งประวัติศาสตร์มาสู่จุดจบ
เดวิด บาร์รอน จำได้ว่า “ผมนึกว่าผมเตรียมใจมาแล้ว เพราะเรารู้มานานแล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง แต่มันเดินหน้าไปอย่างน่าประหลาดสำหรับพวกเรา ทุกคนทุ่มเทตัวเองลงไปในหนังเรื่องนี้มาก และสำหรับตอนนี้เราได้ร่วมแบ่งจุดมุ่งหมายเพิ่มเติมของการสร้างให้มันเป็นตอนจบของซีรี่ส์ที่มีความเหมาะสม”
“ส่วนหนึ่งของงานเป็นการกล่าวคำอำลา” อลัน ริคแมน กล่าวว่า “มันเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาที่จะปล่อยมันไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่เช่นนั้นเราจะเดินต่อไปไม่ได้ และสิ่งวิเศษที่สุดอย่างหนึ่งที่พูดได้คือ ทุกอย่างลงเอยในรูปแบบที่เหมาะสม”
รูเพิร์ท กรินท์ กล่าวว่า “ประสบการณ์แห่งหนังเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นช่วงเวลาที่วิเศษสุดในชีวิตของผม และเป็นสิ่งที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย ผมภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน”
“จะบรรยายเป็นคำพูดอย่างไรดีว่าหนังเรื่องนี้มีความหมายสำหรับฉันมากแค่ไหน?” เอ็มม่า วัตสัน คิดทบทวน “ฉันไม่คิดว่ามันสิ้นสุดลงแล้ว เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉันตลอดไป และฉันมีความสุขมากที่ได้มีส่วนร่วมในหนัง”
แดเนียล แรดคลิฟฟ์ กล่าวสะท้อนกลับว่า “ผมรู้ว่าผมจะไม่ได้เห็นฉากของหนังเรื่องนี้ ซึ่งผมปฏิเสธไม่ได้ว่ามันอยู่ในความทรงจำที่เกี่ยวกับสถานที่ เวลาหรือบุคคล แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังบรรยายได้ไม่เต็มที่ว่ามันสำคัญต่อผมมากแค่ไหน แต่ผมพูดได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด และเป็นสิ่งที่ผมไม่มีวันสร้างขึ้นมาได้อีกเลย”
เดวิด เยทส์เห็นด้วยว่า “มันยากที่จะบรรยายจริงๆ นอกจากจะพูดว่ามันสนุกมาก มีความเข้มข้น และเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายความสามารถมาก ไม่เคยขาดความสนุกเลย ผมเองจะไม่พลาดโอกาสของโลก เพราะผมภูมิใจและมีความสุขที่ได้เห็นมันตลอดรอดฝั่งจนถึงตอนจบ”
“นี่เป็นการร่วมงานกันที่วิเศษมาก” เจ.เค.โรว์ลิ่ง ร่วมกล่าวว่า “ฉันภูมิใจที่ได้ร่วมงานและสร้างมิตรภาพที่ยืนยาวกับผู้ที่มากความสามารถทั้งหลาย สำหรับฉันแล้วประสบการณ์ทั้งหมดของหนังเป็นสิ่งที่มีความวิเศษจริงๆ”
“ฉันมั่นใจมากว่าโชคดีที่ได้มีส่วนร่วมในหนังเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่พวกเราคงไม่มีโอกาสนี้ได้หากไม่มีโจ โรว์ลิ่ง กับโลกที่เธอสร้างขึ้นมาอย่างงดงาม” เดวิด เฮย์แมน กล่าวสรุปว่า “สิ่งหนึ่งที่ผมรักเกี่ยวกับหนังสือคือเรื่องราวที่เป็นอมตะ …และหวังว่าเราได้บรรลุความสำเร็จกับหนังทุกตอนแล้ว”