กรุงเทพฯ--31 ม.ค.--ก.พลังงาน
ก.พลังงาน เดินหน้าแผนพัฒนาพลังงานทดแทนเต็มสูบ วางเป้าหมาย ปี 50 ถึงปี 54 ไทยใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มเป็น 8.3% ของการใช้พลังงาน พร้อมเร่งส่งเสริมพลังงานชีวมวล น้ำ แสงอาทิตย์ ลม ก๊าซชีวภาพ เพื่อผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติม หวังสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชน ให้สนับสนุนนโยบายรัฐเต็มที่
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานจะส่งเสริม การศึกษา วิจัยพัฒนา และเร่งให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียน และพลังงานทดแทนอื่น ๆมาใช้มากขึ้น โดยคาดว่าในปี 2554 จะมีการใช้พลังงานทดแทน เพิ่มขึ้นเป็น 8.3 % ของความต้องการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย โดยกำหนดแนวทางการดำเนินการ ได้แก่
การพัฒนาพลังงานชีวมวล ส่งเสริมการตั้งโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยเพิ่มการผลิตไฟฟ้า 832 เมกะวัตต์ ในปี 2554 จากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น แกลบ ชานอ้อย กากทะลายปาล์ม และเศษไม้ ซึ่งเมื่อรวมกับกำลังผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลในปัจจุบัน จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าชีวมวลรวม 2,800 เมกะวัตต์ การกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า(adder) จากผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย และกำหนดค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมในการเชื่อมต่อสายส่ง ส่งเสริมการตั้งโรงไฟฟ้าชุมชน และส่งเสริมเศษไม้โตเร็วมาผลิตไฟฟ้า รวมทั้งการส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล เช่น การปรับปรุงหม้อไอน้ำ พัฒนาระบบก๊าซเชื้อเพลิงจากชีวมวล พัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากขยะ
การพัฒนาพลังงานน้ำ วางเป้าหมายให้มีการใช้ประโยชน์จากแรงน้ำ เพื่อผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 156 เมกะวัตต์ ในปี 2554 โดยดำเนินการ อาทิ พัฒนาไฟฟ้าพลังงานน้ำตามแผนลงทุนโดยรัฐรวม 77 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย การปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก 10 โครงการรวม 2 เมกะวัตต์ สร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก จำนวน 17 แห่ง รวม 74 เมกะวัตต์ และพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำระดับหมู่บ้านจำนวน20 แห่ง รวม 1 เมกะวัตต์ กำหนดให้โรงไฟฟ้าใหม่ที่ กฟผ.จะสร้างขึ้น เป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำประมาณ 78.7 เมกะวัตต์ โดยใช้ประโยชน์จากน้ำท้ายเขื่อนกรมชลประทาน 6 แห่ง อาทิ เขื่อนป่าสักสิทธิ์ เขื่อนท่าด่าน เขื่อนเจ้าพระยา เป็นต้น
การพัฒนาพลังงานลม ให้มีการนำพลังงานลมมาใช้ประโยชน์เพื่อสูบน้ำ สำหรับการเกษตรและการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยวางเป้าประมาณ 115 เมกะวัตต์ ในปี 2554 แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่การส่งเสริม และจูงใจให้มีการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้า โดยกำหนดราคาส่วนเพิ่มรับซื้อไฟฟ้าตามระเบียบ VSPP วางเป้าหมายไว้ประมาณ 100 เมกะวัตต์ ส่งเสริมการใช้แรงลมเพื่อการสูบน้ำ โดยให้ภาคเอกชน ทำการผลิตการใช้กังหันลมสูบน้ำในประเทศอย่างต่อเนื่อง
การพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ วางเป้าหมายให้ในปี 2554 มีการนำแสงอาทิตย์มาใช้ผลิตไฟฟ้า และทำน้ำร้อน ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงเชิงพาณิชย์มากขึ้น หรือเพิ่มเป็น 45 เมกะวัตต์ วางมาตรการสนับสนุนและจูงใจ โดยกำหนดส่งเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าตามระเบียบ VSPP (Adder) หรือสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ สนับสนุนให้มีการลดหย่อยภาษีได้ แก่ผู้ติดตั้งระบบ โดยเงินลงทุนนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ คาดว่าจะช่วยให้เกิดการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์หรือทำระบบความร้อนได้ประมาณ 8.9 เมกะวัตต์ รวมทั้งมาตรการให้ กฟผ. สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ที่ผลิตด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ประมาณ 1 เมกะวัตต์
การพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากขยะ ได้วางเป้าหมายในปี 2554 ให้มีการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนได้ 100 เมกะวัตต์ โดยส่งเสริมและจูงใจให้มีการผลิตไฟฟ้าจากขยะ โดยกำหนดส่งเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า และการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี เพื่อให้ภาคเอกชนลงทุนเอง หรือเอกชนร่วมลงทุนกับท้องถิ่น นอกจากนี้จะส่งเสริมให้มีการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพลังงานจากขยะในชุมชน เพื่อลดปริมาณขยะ เช่น โครงการถังหมักก๊าซชีวภาพจากขยะอินทรีย์ขนาดเล็กทั่วประเทศ และการวิจัยการผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived fuel) เป็นต้น
การพัฒนาพลังงานก๊าซชีวภาพ ให้เกิดการใช้ประโยชน์จากน้ำเสียโรงงานอุตสาหกรรม และของเสียจากฟาร์มปศุสัตว์ที่มีศักยภาพ นำมาผ่านกระบวนการบำบัดและผลิตเป็นก๊าซชีวภาพเพื่อผลิตไฟฟ้าให้ได้ 30 เมกะวัตต์ ในปี 2554 โดยดำเนินการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และจัดการของเสียจากฟาร์มสุกรประมาณ 3.5 ล้านตัว โดยผลิตไฟฟ้าได้ 10 เมกะวัตต์ รวมทั้งส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรมเกษตร ที่มีศักยภาพ เช่น โรงงานเอทานอล โรงงานผลิตอาหาร โรงงานยาง โรงงานกระดาษ โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ โดยให้ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพได้ 20 เมกะวัตต์