กรุงเทพฯ--22 ก.ค.--พร้อมมิตร โปรดักชั่น
“ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 4 — ศึกนันทบุเรง” ถ่ายทอดความแค้นเคืองขัดใจของต้น-จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ ผู้รับบท “นันทบุเรง” ด้วยภาพแห่งความอลังการย้อนอดีตในการจัดทัพหลวงและทัพกษัตริย์เมืองประเทศราชของหงสาวดี 24 ทัพ เมื่อปี พ.ศ. 2129 ไพร่พลพม่ารามัญที่ยกมารวมแล้วไม่ต่ำกว่า 240,000 เพื่อบุกตีให้อโยธยาให้กลับไปเป็นเมืองขึ้นอีกครั้งหลังการประกาศอิสรภาพของพระนเรศ เพราะนับแต่วันที่ก้าวขึ้นครองบัลลังก์แผ่นดินพุกาม ก็ทรงตั้งปณิธานว่าจะแผ่กฤษฎาภินิหารมิให้เป็นรองพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองพระราชบิดา เมื่ออยุธยาประเทศแยกตัวเป็นเอกราช พระองค์จึงจำต้องยาตราทัพไปกำหราบปราบลงมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง โดยศึกสำคัญครั้งนี้ทำอยุธยาต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์อันสุ่มเสี่ยงต่อการสิ้นสูญแผ่นดินเป็นอย่างยิ่ง
“พี่ต้น - จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ แสดงได้เก่งมากครับ ช่วยส่งให้เราเชื่ออย่างสนิทใจว่าพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงเป็นพ่อที่เก่ง มีความสามารถ ทำงานหนัก เสียสละ อดทน เชี่ยวชาญการรบ และฉลาดไม่แพ้ปู่คือพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง แต่ก็เป็นพ่อที่ห่างเหินกับเรา ไม่เคยพูดดีๆ ด้วย มีแต่ดูถูก บั่นทอนกำลังใจกันตลอดเวลา น่าน้อยใจที่สุด ซึ่งความสามารถทางการแสดงของพี่ต้นทำให้เรา ‘อิน’ จริงๆ เวลาเข้าฉากด้วยกันก็ช่วยเหลือกันอย่างมากเสมอ พอถ่ายเสร็จจะมองตากันทุกครั้ง ฉากไหนที่เราผ่านฉลุย พี่ต้นจะบอกว่า ‘พี่เชื่อเหลือเกินว่าฝั่งพม่าทำคะแนนได้ดีมากเลย’ เป็นความกุ๊กกิ๊กเล็กๆ ในมุมที่น่ารักของคนนิ่งๆ ขรึมๆ แต่มีมุขตลกร้ายลึกแบบเงียบๆ หรือบางทีก็ตลกเฮฮาไปเลย แล้วแต่อารมณ์ครับ พี่ต้นเป็นคนตรงไปตรงมา และมองโลกในแง่ดี มีโอกาสได้ร่วมงานกันจึงเป็นประสบการณ์ที่ดีมากครับ” ตั๊ก-นภัสกร มิตรเอม ผู้รับบท “พระมหาอุปราชา” กล่าว
“ส่วน มังจาปะโร หนึ่ง-ชลัฏ มีบทบาทสำคัญต่อพระมหาอุปราชาคือเป็นทั้งพี่เลี้ยงคอยดูแลกันตลอด ไปไหนไปด้วย เป็นเพื่อนใจเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวเพื่อนเล่นเพื่อนลุยทุกอย่าง ตัวตนของหนึ่งเป็นคนอารมณ์ดี ขี้แกล้ง ชอบแหย่ชอบเล่น เคยแกล้ง “นายสนม” ฝั่งพม่าจนถึงกับรำผิดไปเลย เวลาเข้าฉากที่เป็นฉากพักผ่อนในราชสำนัก หนึ่งจะถนัดยักคิ้วหลิ่วตาทำท่าแสนสำราญ เป็นช่วงเวลาแห่งความเพลิดเพลินในการทำงานร่วมกันของพวกเราครับ”
สำหรับตัวตั๊กเองได้เล่าถึงความท้าทายและความยากในการทำงานครั้งนี้อย่างน่าสนใจว่า “ต้องสร้างวิธีการคิดเพื่อการรับบท ‘พระมหาอุปราชา’ โดยเฉพาะ คือไม่มีใครคิดว่าตัวเองไม่ดี เรามีความมุ่งมั่นว่าจะต้องกำจัดพระนเรศ ต้องบุกตีอยุธยามาเป็นเมืองขึ้นให้ได้ ก็ต้องสร้างวิธีคิดโดยต้องเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ดีแล้วสำหรับเรา การแสดงออกและการถ่ายทอดทุกอย่างต้องหล่อหลอมจากความคิดนี้จริงๆ
และจุดนี้แหละที่ขัดกับความรู้สึกของตัวเราเองเป็นอย่างมาก ก่อนแสดงทุกครั้งต้องบวงสรวงขอพระราชทานอภัยโทษต่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต่อบูรพกษัตริย์ รวมถึงขอขมาบรรพชนไทยที่ต่อสู้เพื่อปกป้องรักษาแผ่นดินไทย ทุกครั้งที่แสดงหรือบทพูดที่มุ่งจะล้างบางอยุธยา ฆ่าคนไทย กำจัดตองเจหรือพระนเรศ เป็นการทิ่มแทงใจตัวเอง แต่เรามีหน้าที่ในการรับบทบาทนี้ ก็ต้องทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดและสมจริงที่สุด”
เตรียมพบกับภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ภาค 4 - ศึกนันทบุเรง 11 สิงหาคมนี้ พร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ