กรุงเทพฯ--22 ก.ค.--กรมสรรพสามิต
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนามาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ที่โรงแรมดุสิตธานี พัทยา โดยมีผู้บริหาร และผู้แทน จากกรมสรรพสามิต กรมสรรพากร กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน กรมประมง กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี และศูนย์ประสานการปฎิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล(ศรชล) กองทัพเรือ เข้าร่วมสัมมนา โดยระบุว่า ภาษีสรรพสามิตเป็นรายได้หลักที่สำคัญของประเทศ ในปี งบประมาณ 2553 กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีได้ประมาณ 4 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21 ของรายได้รวมรัฐบาล โดยมีรายได้จากภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38 ของรายได้ภาษีสรรพสามิต ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จึงเป็นเครื่องมือสำคัญของกรมสรรพสามิตทั้งในด้านรายได้ และในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นปัญหาที่โลกกำลังให้ความสนใจ
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการจัดเก็บภาษีให้ได้ถูกต้องครบถ้วนและใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการรักษาสิ่งแวดล้อม กรมสรรพสามิตจึงจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกัน และปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ณ กรมสรรพสามิต รวมถึงได้จัดเจ้าหน้าที่ไปประจำที่โรงกลั่น พร้อมทั้งมีระบบการควบคุมน้ำมันฯ ทั้งที่ต้นทาง ระหว่างทาง และปลายทาง เช่น การควบคุมด้วยระบบมิเตอร์การเติมสารมาร์กเกอร์ ในน้ำมันส่งออก การเติมสารสีเขียวและมาร์กเกอร์สำหรับน้ำมันที่นำไปจำหน่ายในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร การกำหนดให้เรือ Tanker ต้องติดตั้งระบบการควบคุมและติดตามการขนส่ง (Global Positioning System: GPS) และกำหนดให้สารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอนต้องมีใบขนกำกับติดไปกับรถขนด้วย เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำมันที่ส่งออกจากโรงกลั่นจะเสียภาษีอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ประชาชนได้ใช้น้ำมันที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกัน น้ำมันที่ได้รับการยกเว้นภาษีหรือคืนภาษี เป็นน้ำมันที่นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์นั้นจริง