กรุงเทพฯ--12 พ.ย.--ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
ทียูเอฟ ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2550 ยอดขายในรูปของเงินดอลลาร์อยู่ที่ 403.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 4% แม้ต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ในช่วงเวลานั้น แต่ยังสามารถควบคุมโครงสร้างต้นทุนการผลิต ควบคู่กับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและดีเยี่ยม พร้อมเชื่อมั่นไตรมาส 4 ยังรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือทียูเอฟ ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งและบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทย รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2550 สามารถทำรายได้จากการขายในรูปของเงินดอลลาร์ 403.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2549 ที่เท่ากับ 389.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายได้จากการขายในรูปของเงินบาทนั้นอยู่ที่ 13,723.6 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2549 ที่มีรายได้เท่ากับ 14,635.9 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 13,794 ล้านบาท โดยลดลง 6% จาก 14,750.5 ล้านบาทในปี 2549 สำหรับกำไรสุทธินั้น บริษัทสามารถทำกำไรในไตรมาสนี้เท่ากับ 422.4 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.48 บาท ลดลงจากไตรมาส 3 ของปีที่แล้วซึ่งเท่ากับ 635.4 ล้านบาท หรือลดลง 34%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร ทียูเอฟ กล่าวถึง “ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของปีนี้ว่า ยอดขายในรูปของดอลลาร์โตไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว เนื่องจากผลการดำเนินงานของปีที่แล้ว เป็นช่วงที่เราทำไว้ดีมาก ยอดขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นทุกตัว และค่าเงินบาทก็ไม่ผันผวนเหมือนกับปีนี้ ทำให้มีมาร์จิ้นสูงมาก แต่สำหรับไตรมาส 3 ปีนี้บริษัทต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นถึง 9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบปลาทูน่า อีกทั้งราคาปลาที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 1,600 เหรียญสหรัฐต่อตันในช่วงเวลานั้น แต่อย่างไรก็ดีสำหรับในไตรมาส 3/2550 นี้ บริษัทยังมีความสามารถในการรักษา Operating Margins ได้เท่ากับในไตรมาส 2/2550 แม้ว่าสถานการณ์ในไตรมาส 3 จะผันผวนมากกว่า นั่นแสดงให้เห็นว่าบริษัทยังสามารถควบคุมโครงสร้างต้นทุนการผลิตได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกลยุทธ์การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งถ้ามองภาพรวมของบริษัทแล้วจะเห็นว่า ในช่วง 9 เดือนแรกนั้น บริษัทมียอดขายรูปของเงินดอลลาร์ 1,161.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2549 ที่
เท่ากับ 1,086.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก”
สำหรับยอดขายผลิตภัณฑ์ในไตรมาส 3 นี้ ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ายังคงเป็นตัวหลักสำหรับการส่งออกคือ มีสัดส่วน 47% รองลงมาคือ กุ้งแช่แข็ง 22% ตามด้วยอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง อาหารแมวบรรจุกระป๋อง อาหารกุ้ง ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ และปลาหมึกแช่แข็ง ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออก 9% 8% 6% 5% และ 3% ตามลำดับ โดยตลาดส่งออกที่สำคัญคือ อเมริกา ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป โอเชียเนีย เอเชีย อัฟริกา ตะวันออกกลาง แคนาดา และอเมริกาใต้
“ในไตรมาส 3 นั้น การส่งออกยังคงดีอยู่ เพราะโดยปกติแล้วช่วงไตรมาส 3 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของเรา แต่เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบปลาทูน่า ทำให้ไม่สามารถส่งมอบสินค้าในช่วงไตรมาส 3 ได้ ต้องเลื่อนการส่งมอบไปในไตรมาส 4 ซึ่งส่งผลให้การรับรู้รายได้ต้องเลื่อนไปในไตรมาสที่ 4 เช่นกัน อย่างไรก็ดี คาดว่าในไตรมาส 4 ปัญหาต่างๆ จะคลี่คลายลง เนื่องจากขณะนี้การจับปลาเริ่มดีขึ้น และกองเรือของเราก็เริ่มส่งมอบปลาล็อตแรกเข้ามาแล้วเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนโดยมีปริมาณกว่า 1,800 ตัน ถือว่าเป็นผลการดำเนินงานที่ดีตามคาดในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน นอกจากนี้ราคาปลาก็เริ่มลดลง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน การส่งมอบของน่าจะดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ 3 สำหรับปัจจัยเรื่องค่าเงินบาทนั้น ยังไม่มีอะไรผันผวนมากนัก เพราะที่ผ่านมาเราสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ นอกจากนี้ข้อตกลงทางการค้าระหว่างไทย — ญี่ปุ่น หรือ JTEPA ก็เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ก็น่าจะส่งผลดีกับบริษัทสำหรับสินค้ากุ้ง ที่อัตราภาษีจาก 5% จะลดลงเหลือ 0% ทันที ส่วนสินค้าปลาทูน่านั้น จะลดลงเหลือ 0% ภายในระยะเวลา 5 ปี ทั้งนี้เราเชื่อมั่นว่า ในไตรมาส 4 ทุกอย่างจะมีแนวโน้มดีขึ้น” นายธีรพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย
ล่าสุด บริษัท ทริสเรทติ้ง ได้ประกาศให้บริษัทยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทที่ระดับเอบวก และมีแนวโน้มคงที่ เช่นเดิม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทยังมีศักยภาพที่แข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ และมีสถานภาพทางการเงินที่มั่นคง
แผนกสื่อสารองค์กร บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
โทรศัพท์ 02-2980024 ต่อ 675-678 อีเมล์ tufinbox@thaiunion.co.th