บล.ไทยพาณิชย์ คาดการณ์ตลาดหุ้นไทยปรับฐานแต่ไม่เปลี่ยนแนวโน้ม ดัชนีผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3 ก่อนปรับตัวขึ้นในไตรมาส 4 ปีนี้

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday July 27, 2011 09:50 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 ก.ค.--บล.ไทยพาณิชย์ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3 ก่อนปรับตัวขึ้นไปที่ 1,200 จุด ในไตรมาส 4 ปี 2554 เนื่องจากตลาดยังคงเผชิญหน้ากับปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว การสิ้นสุดมาตรการ QE2 และวิกฤตหนี้ยุโรปที่ยืดเยื้อ แนะนักลงทุนทยอยซื้อสะสมหุ้นเมื่อดัชนีอ่อนตัวที่บริเวณ 1,030 จุด เลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าผลประกอบการของตลาดหลักทรัพย์โดยรวม และเหมาะสำหรับการเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีผลประกอบการ และจ่ายเงินปันผลในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซาได้ดีกว่าหลักทรัพย์อื่นโดยรวม (Defensive Stock) มากขึ้น เช่น กลุ่มสื่อสาร สินค้าอุปโภคบริโภค และสถาบันการเงิน คัดเลือกหุ้น 6 ตัวเป็น top picks ในไตรมาส 3 ปี 2554 ได้แก่ ADVANC BIGC KBANK STEC SCC และ PTTAR นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญหน้ากับปัจจัยลบหลายด้านด้วยกันในช่วงที่เข้าสู่ไตรมาส 3 ปี 2554 ทั้งภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว การสิ้นสุดมาตรการ QE2 และวิกฤตหนี้ยุโรปที่ยืดเยื้อ จึงเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะทำจุดต่ำสุดในไตรมาส 3 นี้ โดยตลาดเริ่มมีการปรับฐานมาตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย.ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอย่างน้อยตลาดก็รับรู้ความไม่แน่นอนและความเสี่ยงต่างๆ ไปบ้างแล้ว ตลอดจนแรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายลงในช่วงปลายไตรมาส 3 เนื่องจากโมเมตัมการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้า Commodity โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบชะลอตัวลง ใ นส่วนปัจจัยทางการเมืองนั้นคาดว่าจะกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้นจากการที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งและได้จำนวน ส.ส.มากกว่าครึ่งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ด้วยจำนวน ส.ส. ถึง 300 ที่นั่ง จาก ส.ส.ทั้งหมด 500 ที่นั่ง อย่างไรก็ดี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ถึง 1,200 จุด ในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นเป้าหมายเดิมที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นปี ทั้งนี้ ประเมินว่า เงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังจากมีความชัดเจนในเรื่องรัฐบาลและนโยบาย ส่วนในด้านพื้นฐานนั้นยังคงคาดการณ์ว่า GDP ของไทยในปี 2554 จะเติบโตได้ 4-5% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในกรอบ 3.5-4.0% ในขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนภายใต้การศึกษาของสายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ คาดว่าจะเติบโตได้ 33% จากปีก่อนหน้า ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ว่า แนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อสะสมหุ้นเมื่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์อ่อนตัว โดยประเมินว่าระดับดัชนีฯ ที่ปลอดภัย คือบริเวณ 1,030 จุด ซึ่งเป็นระดับของค่า PER ที่ประมาณ 11.7 เท่า โดยระดับค่า PER ดังกล่าวถือว่าเป็นระดับที่สามารถรองรับสถานการณ์ความเสี่ยงหลายครั้งที่เกิดขึ้นในช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2550 สำหรับกลยุทธ์ในการเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น เลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดฯ ในวัฏจักรของเศรษฐกิจปัจจุบันที่เริ่มเข้าสู่การขยายตัวในช่วงกลาง-ปลาย ทั้งนี้นทยอยซื้อสะสมหุ้นเมื่อดัชนีฯอ่อนตัว โดยประเมินว่าระดับที่ปลอดภัย คือบร ได้คัดเลือกหุ้น 6 ตัวเป็น top picks ในไตรมาส 3 ปี 2554 ได้แก่ ADVANC BIGC KBANK STEC SCC และ PTTAR โดยหุ้น top picks 3 ตัวแรก (ADVANC BIGC KBANK) อิงกับการคาดการณ์ว่าวัฏจักรธุรกิจกำลังจะเปลี่ยนจากช่วงของการขยายตัวในระยะแรกๆ เข้าสู่ช่วงของการขยายตัวในระยะท้ายๆ ซึ่งเหมาะสำหรับการเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่ม defensive มากขึ้น เช่น กลุ่มสื่อสาร สินค้าอุปโภคบริโภค และสถาบันการเงิน ส่วนหุ้น top picks 3 ตัวหลัง (STEC SCC PTTAR) อิงกับปัจจัยเฉพาะอุตสาหกรรมและบริษัท โดย STEC จะได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายลงทุนด้านโครงสร้างขั้นพื้นฐานหลังเลือกตั้ง ส่วน SCC ก็มีแนวโน้ม Upside จากการลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์และควบรวมกิจการ และ PTTAR น่าจะได้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการและแนวโน้มผลิตภัณฑ์พาราไซลีนที่สดใสขึ้นในงวดครึ่งหลังของปี 2554 จากการเริ่มเดินเครื่องโรงงาน PTA ในตลาดภูมิภาคตามกำหนด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ