กรุงเทพฯ--28 ก.ค.--MMM Digital
คำถาม: เมื่อคุณได้แสดงบทเป็นครั้งแรก มีการพูดกันว่าคุณฝืนใจมารับบท จนกระทั่งคุณมีการพูดคุยกับ เจ.เค.โรว์ลิ่ง และเธอพูดอะไรบางอย่างที่พลิกบทบาทนั้นสำหรับคุณ? คุณช่วยเล่าให้ฟังได้มั้ยว่ามันคืออะไร?
อลัน ริคแมน: ผมไม่รู้ว่าผมเคยฝืนใจด้วยหรอ เราแค่ต้องค่อยๆ ก้าวต่อไปหาสิ่งที่เราต้องมีส่วนร่วมกับมัน แน่นอนว่าผมพูดว่าผมอยากคุยกับเธอว่าผมต้องแสดงมันอย่างไรก่อนที่ผมจะมารับหน้าที่ เรามีการคุยกันทางโทรศัพท์ เธอไม่ได้บอกผมว่าตอนจบของเรื่องราวจะเป็นไปอย่างไร ผมเลยซื้อหนังสือมาพร้อมกับคนอื่นๆ เพื่อค้นหาว่า ‘แล้วตอนนี้จะเป็นอย่างไร?’ ไม่เลย เธอให้ข้อมูลผมมาเพียงน้อยนิด ซึ่งผมพูดเสมอว่าผมจะไม่ไปบอกใคร ไม่มีวัน และไม่มีทาง มันไม่ใช่ประเด็นหรือสาระสำคัญของโครงเรื่องในแบบที่แน่ชัดเลย แต่มันเป็นสาระสำคัญสำหรับผม เพราะมันเป็นข้อมูลที่ทำให้ผมอินลึกไปกับบทมากกว่าที่จะแสดงแบบนั้นแบบนี้
คำถาม: คุณคุยกับเธอถึงการเดินทางของสเนปมาตลอดช่วงหลายปีและตลอดช่วงเวลาที่ถ่ายทำภาพยนตร์หรือเปล่า?
อลัน ริคแมน: ไม่หรอก ไม่เชิงทั้งหมด ผมได้พบเธอในช่วงหลายปีจากในบางโอกาส บางอีเว้นท์ และเธอมีความ่าอัศจรรย์มาก จากมุมมองของเราในฐานะของนักแสดง วิธีการทำงานอย่างใกล้ชิด บางทีเธอก็มาเยี่ยมที่ฉากแต่ผมไม่เคยพบเธอที่นั่น ผมว่านั่นเป็นความอัจฉริยะของตัวเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอมีอำนาจบางอย่างในการควบคุมบทภาพยนตร์ หรือเธอมีการส่งร่างสุดท้ายมาให้พร้อมกับการแสดงความเห็นของเธอ แต่ผมไม่รู้สึกถึงท่าทางของการควบคุมอะไรเลย เธอปล่อยให้มันเป็นไป
คำถาม: เพราะหนังสือยังมีการตีพิมพ์ขณะที่คุณกำลังแสดงหนังอยู่ และคุณก็ได้รับข้อมูลใหม่ๆ ว่าสเนปจะเป็นอย่างไรต่อเมื่อหนังสือเล่มใหม่ตีพิมพ์ออกมา มีสิ่งไหนที่คุณเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตัวละครหรือรู้สึกเซอร์ไพรส์เมื่อคุณแสดงไปเรื่อยๆ มั้ย?
อลัน ริคแมน: ผมเดาว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก เพราะเราคอยคิดเสมอว่า ‘แล้วตอนนี้ล่ะ?’ กับ ‘เอาล่ะ ตอนนี้เขาต้องทำแบบนี้’ เขามีเส้นทางที่โดดเดี่ยวมาตั้งแต่แรกเริ่มจนท้ายที่สุด เรารู้แบบนั้นมาจนกระทั่งมันเกิดเรื่องดำเนินมาถึงบทสรุป เราวางใจไม่ได้เลยว่ามีการกำหนดเอาไว้อย่างไร มันมีคำถามสำคัญชัดเจนอยู่ในหัวผมตอนที่ผมกำลังอ่านบทและแสดง เช่นเดียวกับคนอื่นๆ จนกระทั่งมันมีการลงเอย เรารู้ดีว่าสิ่งเดิมพันของเขามีความสำคัญมากเสมอ ไม่ว่าผลลัพธ์จะปรากฏอย่างไรก็ตาม
คำถาม: การรับบทแสดงเป็นตัวละครที่มีอารมณ์ซับซ้อน มีความคลุมเครือมาตลอดหลายปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง? รู้สึกพอใจมั้ย? กลัวหรือเปล่า? หรือทั้งสองอย่าง?
อลัน ริคแมน: มันมีแต่ได้เสมอเมื่อรับบทแสดงเป็นคนที่ดูซับซ้อน เพราะมันเป็นการทดสอบระบบการแสดงของเรา และวางตำแหน่งเราให้อยู่ในการถ่ายทอดเรื่องราวที่ดีได้อย่างเหมาะสม เพราะการถ่ายทอดเรื่องราวที่ดีจำเป็นต้องมีตัวละครที่ดูคลุมเครือ มันต้องใช้ผู้คน เวลาที่ผู้ชมและผู้อ่านไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ฉะนั้นบางทีมันต้องมีลักษณะของ ‘ผู้กระทำ’ หรือ ‘ผู้สร้างเรื่องไม่คาดฝัน’ หรือ ‘ผู้ก่อเรื่องให้เขา’ มันช่วยให้เรารู้สึกเข้มข้นมากขึ้น ผมได้ตอบสนองต่อสิ่งที่อยู่บนหน้าหนังสือ และสิ่งที่ปรากฏอยู่ในบทเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับผมทุกครั้งที่ได้รับบทชุดใหม่มา
คำถาม: ในช่วงชีวิตอันแสนยืนยาวที่ต้องมีช่วงเวลา 7 อาทิตย์เป็นเวลา 8 ครั้งแล้วตอนนี้ การย้อนกลับไปแสดงบบาทของคุณในเรื่องราวเหล่านั้น มันเป็นเรื่องง่ายมั้ยที่จะกลับไปสวมบทแสดงเป็นเขาเมื่อคุณใส่เกียร์เดินหน้าแสดง? หรือในแต่ละครั้งคุณจะค้นพบสิ่งใหม่ๆ ตลอด?
อลัน ริคแมน: มันเหมือนเรื่องชั่วพริบตาอยู่เสอม โครงร่างของเขาเป็นคนที่เข้มแข็งทางด้านร่างกาย มีสีสันที่นอกจากดำกับโทนสีขาวเพียงไม่กี่สี และต้องใส่คอนแทคเลนส์มักรู้สึกแตกต่างกันไปในแง่กายภาพเสมอ ทุกๆ เช้าตาของเราต้องเปลี่ยนสีไป และถูกข่มบังคับเอาไว้ด้วยเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย จึงมีหลายจุดเลยที่เรารู้สึกได้ถึงความแตกต่างทันที และหากเรารู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง มันก็เป็นความรู้สึกทางด้านร่างกาย เราจะพูดว่า ‘อ๋อใช่ โอเคเลย จำเขาได้ละ’
คำถาม: แล้วในคราวนี้สเนปเป็นครูใหญ่อยู่ที่ฮอกวอตส์ได้อย่างไร?
อลัน ริคแมน: เขาเข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อนานมากแล้ว
คำถาม: การแสดงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกแห่งพ่อมดตอนนี้ คุณคิดว่าเขารู้สึกอย่างไรกับบทบาทของครูใหญ่? เขารู้สึกพอใจกับมันมั้ย?
อลัน ริคแมน: แน่นอนว่ามันเป็นการผสมผสานเข้ากับความซับซ้อนเล็กๆ น้อยๆ ของเรื่องราวตรงนั้นหลายอย่าง ผมเลยไม่อยากจะหลุดอะไรออกไป แค่บอกว่ามันเป็นบทที่มีความซับซ้อน ณ ช่วงเวลานั้นจะดีกว่า
คำถาม: คุณช่วยเล่าถึงความสัมพันธ์ของสเนปกับแฮร์รี่ให้ฟังได้มั้ย และเวลาผ่านไปหลายปีมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง สเนปคิดอะไรเวลาที่มองดูแฮร์รี่?
อลัน ริคแมน: ไม่สามารถพูดถึงเรื่องนั้นได้เลยจริงๆ เพราะถ้าพูดไปผู้ชมที่อ่านหนังสือเล่มที่สาม พวกเขาไม่อยากรู้สิ่งที่ผมรู้ตอนนี้หรอก เพราะผมแสดงทุกอย่างจบหมดแล้ว และผมก็ไม่อยากเป็นนักสปอยล์ เรารู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับแฮร์รี่มีความซับซ้อนเหมือนกับความสัมพันธ์พื้นฐานของเขา หรือละเอียดถึงเรื่องการติดกระดุมเสื้อผ้า มันมีความสำคัญต่อสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่นี้มาก
คำถาม: การทำงานร่วมกับนักแสดงรุ่นเยาว์ที่นำทีมโดย แดน รูเพิร์ท เอ็มม่าที่โตขึ้นมาในตัวละครของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง? คุณ คิดว่าคุณมีอิทธิพลต่อการโตมาเป็นนักแสดงของพวกเขาและพวกเขาหลงใหลในตัวคุณมั้ย?
อลัน ริคแมน: เราช่วยอะไรไม่ได้ แต่เราถูกโน้มน้าวด้วยการขยันทำงาน สัญชาตญาณที่ละเอียดอ่อนที่อยู่ในวัยหนุ่มทุกสิ่งที่ทั้งสามคนได้ขุดคุ้ยขึ้นมา ผมคิดว่าทุกอย่างตั้งแต่จุดเริ่มต้น มันดีมากสำหรับผมที่ได้พูดถึงช่วงเวลา 7 อาทิตย์ของหนังแต่ละเรื่อง พวกเขาทำงานร่วมกันทุกวันค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นเมื่อเราพูดถึงความรับผิดชอบตลอด 10 ปีของพวกเขาแล้ว มันเป็นช่วงเวลา 10 ปีจริงๆ จำนวนวันที่พวกเขาได้พักมีน้อยกว่าจำนวนวันที่พวกเขาต้องทำงาน พวกเขาได้เรียนรู้งานว่าการแสดงภาพยนตร์หมายถึงอะไร รู้ว่าการพูดกับผู้อื่นโดยใช้น้ำเสียงเหมือนเราตั้งใจสื่อ มีการรับฟัง และรู้ว่าการรับฟังมีความหมายเทียบเท่ากับการพูดคุยในหนัง ผมว่าองค์ประกอบโดยรวมโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับทั้งสามคนนี้ ได้เห็นพวกเขาโตขึ้นมาไม่ว่าจะมีใครทันสังเกตุหรือไม่ก็ตาม มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจเมื่อเรามองไปที่หนังภาคแรกและพบว่าพวกเขายังเด็กแค่ไหน
คำถาม: และความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาในโลกใบใหม่นี้ได้เปิดรับพวกเขาหรือเปล่า? พวกเขาเหมือนฟองน้ำที่เรียนรู้ซึมซับทุกเรื่องมั้ย?
อลัน ริคแมน: ใช่ แต่หากเราพูดถึงแดน รูเพิร์ทและเอ็มม่าแล้ว พวกเขาไม่เคยเสียความเป็นตัวของตัวเองไปเลย พวกเขาแตกต่างกันมาก มันเป็นสิ่งที่ปรากฏชัดเจนและก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ ผมมั่นใจพวกเขาต้องพูดว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่แยกจากกัน แต่พวกเขามีความเข้าใจกันอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต้องอยู่ร่วมกันในจุดนั้น ในส่วนหนึ่งมันก็เหมือนความลับ พวกเขาอาจเป็นตัวของตัวเองไปตลอดก็ได้ มันเป็นเรื่องที่ผมให้ความเห็นไม่ได้ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวมาก
คำถาม: และมันเป็นเรื่องที่มีเพียงสามคนนั้นที่จะเข้าใจได้เท่านั้น?
อลัน ริคแมน: ใช่ เพราะพวกเขาต้องรู้ดี ในอีกแง่หนึ่งการมอบความรับผิดชอบของการทำงานหนักในระดับนั้น จากนั้นไม่นานหนังก็ฉาย แล้วเป็นแบบนั้น 8 ครั้งคิดว่าจะเป็นอย่างไร? การประชาสัมพันธ์อย่างไม่คาดฝัน และแสงแฟลชที่พวกเขาต้องรับมือและนึกภาพว่า สื่อนี้จะเกี่ยวข้องกับสื่อนั้นอย่างไร และถึงอย่างไรในเวลาเดียวกันก็โตขึ้นเป็นวัยรุ่นที่ดี เหมือนเป็นเรื่องมหัศจรรย์เลย
คำถาม: ในหนังภาคที่แล้วคุณมีฉากยอดเยี่ยมร่วมงานราล์ฟ ฟีนส์ คุณช่วยพูดถึงการทำงานร่วมกับราล์ฟให้ฟังได้มั้ย? ช่วงเวลาที่เข้มข้นของพวกคุณในบางช่วงที่อยู่ร่วมกัน
อลัน ริคแมน: ราล์ฟเป็นเพื่อนที่ดีมากของผมคนหนึ่ง และแน่นอนว่าเขาเป็นคนที่ผมให้ความเคารพอย่างสูงในฐานะของนักแสดง ไม่ใช่แค่ในหนังนะ แต่ในด้านที่เขายังหวนกลับไปสู่ละครเวทีและทดสอบตัวเองด้วยบทบาทที่ใหญ่และยาก เขาไม่เคยใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเลย มันเป็นเรื่องวิเศษที่ได้แสดงร่วมฉากกับคนที่มีความกล้าหาญและเคร่งครัดในผลงานของเขา และถึงแม้ผมจะรู้สึกเขาในฐานะของเพื่อนสนิท เราก็ต้องร่วมงานกับเขาเหมือนเพื่อนนักแสดงที่ไม่มีความปราณี มันออกมาจากมุมแดงและมุมน้ำเงินที่พร้อมจะวางมวยกัน แต่เป็นในทางที่ดีนะ
คำถาม: ซึ่งเป็นการจับคู่กันที่ดีใช่มั้ย?
อลัน ริคแมน: เราสนุกกับมันนะ
คำถาม: คุณช่วยพูดถึงประเด็นหลักของหนังและวิธีที่พวกเขาสะท้อนถึงหนังภาคที่แล้วให้ฟังได้มั้ย?
อลัน ริคแมน: หนังภาคที่แล้วเกี่ยวกับการแก้ปัญหาและจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ มันเป็นจุดเริ่มต้นอนาคตที่แท้จริงของเด็กทั้งสามคน และใช้ชีวิตแบบที่พวกเขาต้องพร้อมนำทางไป ฉะนั้นคำพูดเปรียบเสมือนการไถ่ถอนและความซื่อสัตย์และสิ่งที่เราศรัทธากับสิ่งที่เราให้ความสำคัญ พวกเขาเหมือนมีแสงไฟนีออนที่สว่างอยู่บนหัวเวลาที่พวกเขาส่งตัวเด็กๆ ไปที่ฮอกวอตส์
คำถาม: คุณช่วยพูดถึงการถ่ายทำที่ Leavesden Studios ให้ฟังได้มั้ย? คุณคิดว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มั้ยที่เราได้เห็นสิ่งต่างๆ ในหนังเหล่านี้ และ Leavesden Studios เองก็เป็นสถานที่ที่ใม่งดงามอย่างยิ่ง แต่มีเวทมนตร์และครอบครัวนี้อยู่ในสตูดิโอ ทำให้มีสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ เกิดขึ้น การทำงานที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?
อลัน ริคแมน: มันขึ้นอยู่กับว่าสภาพอากาศเป็นอย่างไร มันไม่มีระบบทำความอุ่นที่ดีที่สุดในโลก แต่ผมโชคดีกว่าคนอื่นด้วยเสื้อผ้าของผมที่ค่อนข้างอุ่นอยู่เสอม ฉะนั้นในระดับการแสดงแล้วก็อย่างที่เราพูดว่ามันมีข้อผิดพลาดในตัวมัน แต่ที่แน่ๆ มันคือบ้านของเรา ผมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงกว่า 10 ปี เราเฝ้าดูเทคโนโลยีที่มีการยกระดับขึ้นและหนีจากมันฉะนั้นในช่วงเริ่มต้นบางทีเราจึงต้องอยู่ที่ Leavesden หรือบางทีก็อยู่ในฉากที่มีรายละเอียดที่น่าเหลือเชื่อในโรงถ่ายด้านหลัง หรือไม่ก็อยู่ในสถานที่บางแห่ง เมื่อเวลาผ่านไปเทคนิค CGI มีพัฒนาการขึ้น เรามีการใช้สถานที่น้อยลงจนกระทั่งท้ายที่สุดก็ไม่ต้องใช้เลย เพราะมันสร้างขึ้นได้ด้วยเวทมนตร์ที่เหมาะสมเพียงพอ มีคนร่ายไม้กายสิทธิ์สร้างโรงเรียนฮอกวอตส์และโลกของมันที่อยู่รอบตัวเราขึ้นมาจากคอมพิวเตอร์
คำถาม: คุณคิดอย่างไรกับตำนานของหนังทั้ง 8 ตอนหรือสถานที่ที่ภาพยนตร์ชุดนี้จะลงเอยในประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์? มันส่งผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่ในโรงหนังที่อังกฤษ การสร้างภาพยนตร์ที่อังกฤษ แต่โดยทั่วไปแล้วคุณคิดว่ามรดกสืบทอดชิ้นนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?
อลัน ริคแมน: ผมหวังว่าในท้ายที่สุดแล้วมรดกของเรื่องจะทำให้ผู้คนยึดมั่นในการเล่าเรื่องราว และไม่เอามาเล่าขานกันโดยคนกลุ่มนึง มันคือความเป็นไปได้ที่จะเชื่อมั่นในจินตนาการของการเล่าเรื่องราวจริง จากนั้นก็ทำให้มันเป็นเรื่องที่ควรให้การยกย่องเท่าที่ทำได้ เราอาจจะลงเอยด้วยสิ่งที่สร้างความบันเทิงได้ในอีกด้านหนึ่ง สร้างเงินได้เป็นกองจากผู้อื่น และให้ความสุขที่ไม่ต้องบรรยายแก่เด็กๆ และผู้ใหญ่ มันเป็นการให้เหตุผลต่อสิ่งที่เราต้องการ มนุษย์คือคนที่อยากฟังเรื่องราวต่างๆ ผมคิดว่ามันไม่อาจกระทำได้โดยคนกลุ่มนึง ผมคิดว่ามันต้องเป็นจินตนาการของคนๆ หนึ่ง ซึ่งจุดนี้คือ โจ โรว์ลิ่งและทุกคนที่อาจต้องตามเธอ