กรุงเทพฯ--28 ก.ค.--MMM Digital
คำถาม: ตอนที่คุณสร้างหนังตอนสุดท้ายเสร็จแล้ว คุณรู้สึกสบายใจหรืออยากทำหนังต่ออีกสัก 4 เรื่อง?
เดวิด เยทส์: เมื่อมาถึงตอนจบของเครื่องรางยมทูต — ภาค 2 บอกตรงๆ ว่าผมรู้สึกดีใจมากที่เราถ่ายทำจบแล้ว การทำหนังเหล่านี้มันรู้สึกโหดมาก มันเป็นหนังที่มีความซับซ้อน เราถ่ายทำตอนเครื่องรางยมทูตตลอดช่วงฤดูหนาวและช่วงฤดูใบไม้ผลิมาถึงช่วงซัมเมอร์ มันจึงรู้สึกโล่งใจมากที่เสร็จซะที เหตุผลที่ผมคิดว่าผมยืนหยัดได้ยาวกว่าคนอื่น เพราะผมเพลิดเพลินไปกับโลกนี้มาก ทุกคนมอบพลังให้ผมอย่างเหลือล้นทั้งแดน [แรดคลิฟ], รูเพิร์ท [กรินท์], เอ็มม่า [วัตสัน] ทีมงาน ทีมผู้อำนวยการสร้าง กลุ่มคนที่ผมร่วมงานด้วย ผมไม่อยากเป็นผู้กำกับที่ทำสองภาคแบบครึ่งๆ กลางๆ มันมีบางอย่างในหนังที่ทำให้ผมรู้สึกหนักใจมาก และตอนเจ้าชายเลือดผสม, ภาคีนกฟีนิกซ์ และ เครื่องรางยมทูต — ภาค 1 จบลงแบบค้างๆ คาๆ ผมอยากได้หนังที่มีองค์ที่สามที่ใหญ่จริงๆ และสามารถสรุปทุกเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นคือสาเหตุที่ผมยังทำหน้าที่ต่อ
คำถาม: คุณช่วยพูดถึงการสร้างความเปลี่ยนแปลงของหนังเรื่องนี้เรื่องภาพ 3 มิติให้ฟังได้มั้ย?
เดวิด เยทส์: ผมเป็นกังวลมากในเรื่องนี้ แต่ผมขอยืนยันว่ามันมีทั้งความงดงามและสละสลวยในการสร้างรูปแบบ 3 มิติ ซึ่งมันจะช่วยเรื่องประสบการณ์ความเพลิดเพลินไปกับภาพยนตร์ และโดยทั่วไปแล้วเราอยากทำหนังให้ลงลึกยิ่งขึ้น มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ปรากฏออกมาจากจอภาพ จนผมพบทั้งความน่ารำคาญและสิ่งรบกวนความเพลิดเพลินของเรื่องราว
ผมใช้ 3 มิติเหมือนกับแนวดนตรี ในฉากที่ใกล้ชิดและเงียบสนิทก็มีความลุ่มลึกแต่ยิ่งใหญ่ ข้อสรุปของผมจากคนที่เราร่วมงานด้วยคือมันช่วยในส่วนเนื้อเรื่องเสมอ มันมีการถ่ายทอดเรื่องราว เราใช้เวลาไปกับเรื่องภาพ 3 มิติอยู่นาน ผมได้เห็นฉากต่างๆ ที่ต้องย้อนกลับไปแก้ไขตลอดเวลา ฉะนั้นแต่ละฉากในหนังจึงมีความใส่ใจและสนใจเพื่อทำให้แน่ใจว่าประสบการณ์แห่ง 3 มิตินั้นได้ยกระดับเนื้อเรื่อง และทำให้การชมภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีความสนุกสนานยิ่งขึ้นไม่น้อยไปกว่าเดิม
คำถาม: ตั้งแต่ที่หนังเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอนสุดท้าย คุณรู้สึกกดดันเป็นพิเศษมั้ยที่ต้องทำให้แน่ใจว่า มันจะเป็นหนังที่อยู่ในประวัติศาสตร์แห่งภาพยนตร์?
เดวิด เยทส์: ว้าว เป็นคำถามที่ดีนะ ผมรู้สึกกดดันมากและกดดันทุกครั้งที่เราต้องสร้างหนัง โดยเฉพาะหนังเรื่องนี้เพราะผมเดาว่ามันเป็นเหมือนตำนานแห่งการสร้างภาพยนตร์เลยนะ แต่รู้มั้ยว่าเราต้องทำอะไร? เราทำได้แค่ออกไปทำงาน และพยายามถ่ายทอดเรื่องราวในทุกวันให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ช่วงเวลาที่เราเริ่มคิดถึงมัน มันก็อาจทำลายเราแล้ว ผมเลยตั้งใจออกไปทำงาน อยากทำหนังให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยไม่คิดถึงเรื่องประวัติศาสตร์ของหนัง หรือคิดถึงเรื่องผู้ชมจะยอมรับหรือตอบรับหนังอย่างไร ผมแค่อยากถ่ายทอดเรื่องราวให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ผมเดาว่านั่นคือวิธีจัดการกับความกดดันของผมนะ
คำถาม: ฉากที่ท้าทายความสามารถของคุณที่สุดเป็นฉากไหน และฉากไหนที่คุณภูมิใจมากที่สุด?
เดวิด เยทส์: ผมชอบหลายฉากในหนัง แต่ฉากที่ผมสนุกมากๆ และภาคภูมิใจมาก ผมคิดว่าเป็นฉากสุดท้ายที่ King’s Cross สำหรับผมมันเป็นฉากที่เร้าอารมณ์มาก ไม่มีเวทมนตร์อะไรมากในฉากนั้น แต่มันรู้สึกมีมนตร์สะกดมาก ส่วนฉากที่ท้าทายความสามารถที่สุดเป็นฉากตู้นิรภัยที่ธนาคารกริงกอตส์ น่าแปลกที่มันดูไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก แต่พอนักแสดงทั้งสามเข้ามาในห้องขนาดเล็กและทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเริ่มพอกพูนขึ้นมา เราต้องออกแบบพื้นไฮทรอลิคที่ต้องยกพวกสมบัตินั้นขึ้นมา เราต้องนึกภาพวิธีที่จะยกกล้องขึ้นตรงนั้น และมันเป็นฉากที่ปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา ต้องใช้เวลาวางแผนอยู่เดือนแล้วเดือนเล่าทั้งๆ ที่มีความยาวแค่ 2 นาทีครึ่ง เป็นฉากที่ยากเหมือนกัน
คำถาม: คุณตัดสินใจเรื่องความยาวของหนังภาคนี้อย่างไร และจะมีฉากพิเศษสำหรับ DVD มั้ย?
เดวิด เยทส์: ครับ เรามีฉากพิเศษสำหรับ DVD หลายฉากที่ผมตัดออกจากหนัง เราไม่เคยพูดว่า ‘มันต้องมีความยาว 3 หรือ 2 ชั่วโมงครึ่ง หรือ 90 นาที’ เวลาที่เราดูหนังแล้วเรารู้สึกว่ามันกำลังพอเหมาะพอดี นั่นแหละคือความยาวของหนัง จนท้ายที่สุดนั่นคือสิ่งที่เป็นตัวกำหนดความยาวของภาพยนตร์ และหนังภาคนี้รู้สึกได้ถึงน้ำหนัก รูปร่างและจังหวะที่เหมาะสมในช่วง 2 ชั่วโมง แต่เรายังคงเก็บส่วนเล็กๆ ที่เราตัดออกเอาไว้ และจะใส่เข้าไปในม้วน DVD พิเศษของเรา
คำถาม: คุณช่วยพูดถึงการตัดสินใจในการหยิบยกการเผชิญหน้าระหว่างแฮร์รี่และโวลเดอมอร์ให้ฟังได้มั้ย?
เดวิด เยทส์: ในหนังสือพวกเขาจะรายล้อมซึ่งกันและกันในห้องโถงใหญ่ต่อหน้านักเรียนหมู่มาก และผมอยากแผ่ขยายมันออกไปข้ามโรงเรียน ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสในแง่ของภาพอันดีที่ได้เห็นตัวละครทั้งสองต่อสู้กันท่ามกลางซากที่หักพังในส่วนต่างๆ ของโรงเรียน
ผมนั่งอยู่ที่สวนของผมในวอร์วิคเชอร์ พยายามคิดถึงวิธีใส่ความพิเศษเข้าไปนิดหน่อย ผมไม่รู้ถึงจุดประสงค์เพราะทั้ง / คนต่อสู้กันตลอดจนอ่อนกำลังไปพักหนึ่ง และผมเกิดความเข้าใจในความคิดของแฮร์รี่ที่มองโวลเดอมอร์ ตอนที่พวกเขาอยู่ที่หน้าผาและดึงเขาลงมา นั่นคือช่วงเวลาที่ผม ‘เก็ท’ ในสวนวันอาทิตย์ตอนที่กำลังดื่มชา ผมคิดว่ามันน่าจะงดงามมากที่ตัวละครทั้งสอง แสดงกายกรรมในหุบเหวลึกนี้ จากนั้นมีการเชื่อมต่อกันในพิธีการที่ประหลาด ซึ่งน่าจะอยู่ในความทรงจำและถ่ายทอดความรู้สึกได้มาก
คำถาม: หลังจากเสร็จสิ้นแล้วคุณได้ใช้เวลาช่วงวันหยุดบ้างมั้ย?
เดวิด เยทส์: ผมไม่มีช่วงวันหยุด โชคร้ายจัง แต่ผมจะใช้วันหยุดแล้วตอนนี้ ผมกำลังจะเริ่มพักในช่วง 2-3 อาทิตย์นี้สัก 2-3 เดือนเพื่อพักผ่อน ชาร์ทร่างกาย และเคลียร์สมองจากทุกสิ่งทุกอย่าง
คำถาม: คุณจะทำอะไรต่อหลังจากหนังเรื่องนี้?
เดวิด เยทส์: จะทำสิ่งที่เล็กลง ได้เรียนรู้เยอะขึ้นและมีความหมายมากขึ้น มันคงจะเป็นเรื่องบ้าๆ หากผมคิดจะกำกับหนังยักษ์อีกสักเรื่องหนึ่ง ผมเลยอยากทำหนังที่ไม่ใช่หนังฟอร์มเล็กนะแต่เป็นหนังที่มีขนาดเล็กลง ผมได้บทเจ๋งๆ มาบ้างแล้วล่ะ
ความวิเศษเกี่ยวกับการกำกับภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ คือแฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นนิยาย มันมีความระทึกขวัญ ความตลก เป็นหนังสยองขวัญ เป็นหนังแอ็คชั่น
ฉะนั้นในฐานะผู้กำกับ สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมกำลังจะถ่ายทอดความตลก ภาพการต่อสู้ ความระทึกขวัญและทุกอย่างที่คุณจะจินตนาการได้ นั่นคือสิ่งที่ผมเลือกในวินาทีนี้
คำถาม: คุณอยากให้เราหยิบอะไรออกไปจากหนังภาค 2?
เดวิด เยทส์: แค่อารมณ์และความรู้สึกว่าวัฏจักรนั้นได้สมบูรณ์แล้วในการเดินทางตลอด 10 ปีนี้มาถึงจุดที่พอใจแล้วแต่เป็นการเคลื่อนสู่บทสรุป ซึ่งนั่นคือจุดจบของหนังเรื่องนี้
เราเดินทางไปที่ชิคาโก้เพื่อทดสอบภาพ และเราได้ข้อความที่ทุกคนเขียนมา เด็กสาวคนนี้ก็มีข้อความหนึ่งต่อหนังเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ เธอไม่ได้แสดงความเห็นอะไร เธอแค่บอกว่า ‘ลาก่อนนะเด็กน้อย’ นั่นจึงเหมือนเป็นการสรุปเรื่องราวของหนังสำหรับผม