กรุงเทพฯ--28 ก.ค.--MMM Digital Asset
คำถามและคำตอบกับรูเพิร์ท กรินท์ (รอน วีสลีย์)
คำถาม: มีหลายฉากในภาค 2 ที่มีอารมณ์ดุเดือดมาก คุณมีการเตรียมตัวเป็นพิเศษสำหรับฉากเหล่านี้มั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: ก็ไม่มีอะไรมาก ฉากหนึ่งที่น่าประหลาดและหดหู่ที่สุดเท่าที่ผมเคยแสดงมา คือฉากการเสียชีวิตของเฟรดนะผมคิดว่า ฉากในห้องโถงใหญ่กลายเป็นฉากโรงพยาบาลช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กระจัดกระจายไปด้วยคนตายและผู้บาดเจ็บ ที่นั่นเต็มไปด้วยพี่น้องวีสลีย์นอนอยู่ข้างศพ และเป็นฉากค่อนข้างเงียบสงบ มีแต่ความเงียบงัน ผมมีพี่น้องผมเลยสามารถเข้าถึงความรู้สึกนั้นได้บ้าง และมันเป็นเรื่องเศร้าที่ต้องทำแบบนั้น แต่ผมไม่ต้องมีการเตรียมตัวอะไรเลย ผมว่าเราจับความรู้สึกได้เวลาอยู่ในฉากและได้ยินเสียงแม็กกี้ สมิธ สะอึกสะอื้น มันทำให้อารมณ์หดหู่ลงจริงๆ
คำถาม: คุณแปลสิ่งที่รอนพูดในภาษางูได้มั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: เป็นคำถามที่ดีมาก ผมไม่รู้อะไรเลย พวกเขาให้ซีดีผมมาแผ่นหนึ่ง เหมือนมีคนกำลังเต้นอะไรสักอย่าง ผมจำไม่ได้เลยว่าผมเรียนรู้อะไรมา ผมก็แค่แสดงมันออกไป
คำถาม: เจ.เค.โรว์ลิ่งหรือผู้กำกับคนไหนเคยแบ่งปันเรื่องราวความเป็นมาของตัวละครคุณที่ไม่เคยเปิดเผยในหนังสือหรือหนังบ้างมั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: บอกตามตรงว่าเวลาที่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง มาอยู่ในฉาก เวลาที่เราพูดคุยกันเราไม่ค่อยคุยเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง หนังสือหรืออะไรก็แล้วแต่ เราแค่คุยกันเรื่องทั่วไป แต่ผมจำได้ว่าเธอจะให้ข้อมูลเราในส่วนของบทส่งท้ายงานวรรณกรรมว่าตัวละครจะไปที่ไหนและพวกเขาจะทำอะไร ผมคิดว่าจริงๆ แล้วเธอเขียนเรื่องราวชีวิตของพวกเขาส่วนที่เหลือนะ และนั่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจเมื่อได้ยินว่าในที่สุดพวกเราจะลงเอยเช่นไร ผมคิดว่าผมทำงานบางอย่างในกระทรวง ผมลืมไปแล้วว่าเอ็มม่าทำอะไร แต่มันก็ดีนะ
คำถาม: แฟนๆ บางคนเฝ้ารอที่จะได้เห็นรอนจูบกับเฮอร์ไมโอนี่มาอย่างยาวนาน และเมื่อมันเกิดขึ้นจริง มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก คุณรู้สึกอย่างไรกับความจริงจังในเรื่องนั้น? คุณหวังว่าฉากนั้นจะยาวนานไปอีกสักนิดมั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: ผมหวังให้มันนานขึ้นมั้ย? [หัวเราะ] ไม่หรอก ไม่เลย บอกตรงๆ ว่ามันเป็นเรื่องยากที่ให้ทำแบบนั้น ผมรู้จักกับเอ็มม่ามานานมาก และผมว่าพวกเราต่างกลัวฉากนั้นอยู่บ้าง แต่มันก็ผ่านไปด้วยดี จริงๆ แล้วมันเป็นช่วงเวลาที่ไม่ปรากฏอยู่ในหนังสือ ผมว่ามันเป็นฉากที่เดวิดกับสตีฟใส่เข้าไป และทุกอย่างมันก็โอเค มันต้องพยายามทำให้ดูนาเชื่อถือ ดูมีความโรแมนติก เพราะมันก่อตัวขึ้นมานานหลายปีแล้ว และเราอยากให้ทุกคนคิดว่าเราอยากจูบกันจริงๆ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เราไม่ได้อยากจูบกันเลย ซึ่งมันก็โอเคนะ เป็นช่วงเวลาที่ดี หวังว่าทุกคนจะเชื่อในฉากนั้น
คำถาม: มันแค่ 2-3 เทคเองไม่ใช่หรอ?
รูเพิร์ท กรินท์: เราถ่ายกัน 4 เทค ผมพบว่ามันยากที่จะจำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น ผมคิดว่ามันถูกลบออกไปจากใจผมแล้วล่ะ แต่เราก็หัวเราะกันเกี่ยวกับฉากนั้น มันก็สนุกดีนะ
คำถาม: ฉากโปรดของคุณในหนังทุกตอนคือฉากไหน?
รูเพิร์ท กรินท์: ฉากโปรดมีหลายฉากจริงๆ ผมว่ามันยากที่จะหยิบยกขึ้นมาสักฉาก แต่ผมว่าฉากหมากรุกในภาคแรกก็เป็นฉากที่ดี มันเป็นฉากขนาดมหึมาและทุกอย่างก็ปลิวลอยไป สำหรับเด็กอายุ 11 ขวบแล้ว มันเป็นที่ๆ เท่ห์ที่สุดที่จะอยู่ ผมชอบฉากนั้นแหละ
คำถาม: Kiss aside แล้วในภาค 2 ล่ะ? ฉากโปรดของคุณคือฉากไหน?
รูเพิร์ท กรินท์: ผมรักทุกอย่างฉากเกี่ยวกับกริงกอตส์ ได้เข้าไปในกริงกอตส์พร้อมก็อบบลินทั้งหลาย ในตู้นิรภัยที่เต็มไปด้วยทอง เหมือนกับกำลังจมอยู่ในทอง มันเป็นฉากที่เท่ห์จริงๆ
คำถาม: อะไรทำให้คุณซื้อรถขายไอศครีม?
รูเพิร์ท กรินท์: รถไอศครีมคือสิ่งที่ผมอยากได้มาตลอด มันเหมือนกับความฝันของเด็กๆ สิ่งที่ผมอยากเป็นคือคนขายไอศครีม ทันทีที่ผมผ่านการทดสอบการขับรถ ผมก็ซื้อรถแวนขายไอศครีมเลย
คำถาม: การถ่ายทำเรื่องพอตเตอร์เมื่อเทียบกับเรื่อง Wild Target หรือ Cherrybomb ต่างกันอย่างไร?
รูเพิร์ท กรินท์: ต่างกันมาก นั่นคือเหตุผลที่ผมมีความสุขกับการก้าวเข้าไปในฉากที่ไม่เหมือนเดิมเวลาที่ผมทำได้ระหว่างหนังแต่ละเรื่อง เพราะหนังเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ก็เป็นเรื่องยากที่จะไปเปรียบเทียบกับเรื่องไหน เพราะมันเป็นกลไกที่แตกต่าง มันเป็นประสบการณ์ที่ต่างออกไปจากหนังเล็กๆ พวกนี้มาก เพราะเราไม่ได้อยู่กับทีมงานที่คุ้นเคยที่เราโตขึ้นมาด้วย เราอยู่กับคนใหม่ๆ และต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่พักหนึ่ง แต่ผมก็ได้เรียนรู้หลายอย่างจากหนังเรื่องอื่น และก็เป็นเรื่องดีที่ได้รับบทที่แตกต่างออกไป รู้สึกค่อนข้างสดชื่นดี
คำถาม: นี่เป็นตอนสุดท้ายของภาพยนตร์ซีรี่ส์เรื่องนี้ คุณอยากร่วมแบ่งปันความรู้สึกอะไรสักเล็กน้อยเกี่ยวกับตอนจบของหนังมั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: มันเป็นช่วงสัปดาห์ที่ค่อนข้างสะเทือนใจจริงๆ การได้ดูหนังก็เหมือนกัน ผมก็รู้สึกสะอึกอยู่บ้างในตอนท้าย มีฉากหนึ่งหลังการต่อสู้ที่พวกเราทั้งสามเดินอยู่บนสะพาน และปราสาทก็พังทลายอยู่ด้านหลังเรา มันมีเหตุการณ์ที่เดินคู่ขนานกับชีวิตเรา จริงๆ แล้วสำหรับเรามันสิ้นสุดลงแล้ว มันก็ค่อนข้างเศร้านะ ผมคงคิดถึงมันมากๆ เลย
คำถาม: คุณจะทำอะไรต่อไป?
รูเพิร์ท กรินท์: ผมยังไม่รู้เลย ผมรักการแสดงมาโดยตลอด ผมมีการแสดงหนังอื่นอยู่ในช่วงนี้ ผมอยากแสดงหนังมากขึ้น ผมได้แสดงหนังเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมาเกี่ยวกับเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 ผมอยากแสดงหนังต่อไปและรับบทบาทที่มีความแตกต่างกัน
คำถาม: คุณจะขานรับกับชื่อ ‘รอน มั้ย?’
รูเพิร์ท กรินท์: แน่นอน [หัวเราะ]
คำถาม: คุณช่วยเล่าถึงช่วงเวลาที่คุณรู้ว่าคนอื่นๆ รู้ว่าคุณเป็นใครให้ฟังได้มั้ย? ตอนนั้นคุณอยู่ที่ไหนและคุณเป็นที่จดจำครั้งแรกเมื่อไหร่?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ มันทำให้ผมต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่พักหนึ่ง เพราะผมเป็นเด็กค่อนข้างขี้อายอยู่เสมอ และการได้รับความสนใจอย่างกระทันหันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลก และไม่เคยซ่อนตัวได้เลย มันเป็นเรื่องที่เราต้องยินดียอมรับมันนะผมว่า ผมจำได้ว่าผมอยู่ที่ศูนย์การค้าใกล้กับที่พักของผม มันเหมือนที่โรงเรียน และมีการฉายหนังออกมา มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก ผมสนุกกับมัน มันเหมือนเรื่องเท่ห์มาก เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยแอบเลย มันก็คือส่วนหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลก
คำถาม: คุณคิดว่าตัวละครของคุณใกล้เคียงกับตัวคุณแค่ไหน?
รูเพิร์ท กรินท์: ผมรู้สึกเสมอว่าผมค่อนข้างเชื่อมโยงถึงรอนได้อย่างใกล้ชิด แม้แต่ก่อนจะมีหนังด้วยซ้ำ 10 ปีที่ผ่านมาผมแสดงเป็นคนเดิมแบบนี้ทุกวัน ผมคิดว่าเราแสดงแบบธรรมชาติที่หล่อหลอมเข้าไปในตัวเขา และเหมือนเรากลายเป็น ‘รอนเพิร์ท’ ไปแล้ว ซึ่งผมคิดว่ามันคงอยู่กับผมไปอีกพักหนึ่ง [หัวเราะ] ผมว่ามันคงมีเสี้ยวหนึ่งของรอนอยู่ในตัวผมไปตลอดชีวิตที่เหลือล่ะ
คำถาม: ในหลายอย่างคุณก็เหมือนต้นแบบ และเพราะคุณเป็น ‘คนหัวแดง’ คุณพบว่ามีคนจำนวนมากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ มีหลายคนจากชุมชนคนผมแดงที่มาจับมือผม [หัวเราะ] ผมภูมิใจที่เป็นคนผมแดงอยู่เสมอ บอกตามตรงว่าผมไม่รู้เกี่ยวกับอเมริกา รู้แต่ที่อังกฤษ มันไม่ใช่เรื่องเท่ห์เลยที่มีผมแดง มันเป็นเรื่องจุกจิกที่ไม่ยุติธรรมบางครั้ง และเป็นเรื่องดีที่รอนค่อนข้างเคารพในบุคคลที่มีผมแดง และเจ้าชายแฮร์รี่เองก็ดูเท่ห์มากเลย
คำถาม: ตอนนี้เรามาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว คุณช่วยแชร์ให้เราฟังได้มั้ยว่าคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ มันเป็นช่วงเวลาที่แสนประหลาด เหมือนการยอมรับในจุดจบ เราถ่ายทำหนังเสร็จมาปีนึงแล้ว และเหมือนผมทิ้งความรู้สึกที่ว่างเปล่านี้เอาไว้ ผมต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งเพื่อยอมรับว่ามันจบแล้วจริงๆ การแสดงรอบปฐมทัศน์ที่ลอนดอนเป็นวันที่สะเทือนใจมาก และปกติจริงๆ แล้วผมไม่ค่อยสะทกสะท้านกับเรื่องอะไรแบบนั้น แต่มันต้องใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อให้ผมปล่อยให้มันเป็นไปได้จริงๆ เพราะมันเป็นช่วงเวลาในวัยเด็กของผม และจนกระทั่งมันมาถึงตอนสุดท้าย มันรู้สึกแปลกจริงๆ แต่ผมต้องผ่านมันไปให้ได้