กรุงเทพฯ--28 ก.ค.--เดอะ เวย์ คอมมิวนิเคชั่น
บิ๊กซี จับมือมิชลิน และโทลล์ โลจิสติคส์ ดำเนินโครงการ “ระบบขนส่งสีเขียว”สร้างระบบขนส่งประหยัดพลังงาน ลดคาร์บอนไดออกไซด์ 1.8 ล้านกิโลกรัม ภายใน 3 ปี
บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ทุ่มงบประมาณกว่า 300 ล้านบาท จับมือกลุ่มสยามมิชลิน และโทลล์ โลจิสติคส์ สร้าง “ระบบขนส่งสีเขียว” พัฒนารถบรรทุกสินค้าอนุรักษ์พลังงาน ลดเที่ยวการขนส่ง ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 1.8 ล้านกิโลกรัม ภายใน 3 ปี ร่วมสนับสนุนกระทรวงทรัพยากรฯ ในโครงการลดคาร์บอน 84 ล้านกิโลกรัม ฉลองวโรกาส มหามงคล 84 พรรษา
มร. เกรก โอเชียร์ รองประธานฝ่ายการจัดการซัพพลายเชน บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เผยโครงการล่าสุดของการพัฒนา “ระบบขนส่งสีเขียว (Greening the Supply Chain)” ว่า ระบบการขนส่งถือเป็นหัวใจหลักอย่างหนึ่งของความสำเร็จของบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และเนื่องจากเราใช้การขนส่ง 24 ชั่วโมง ในทุกๆ วัน เราจึงได้คิดค้น “ระบบขนส่งสีเขียว” เพื่อให้การขนส่งของเราเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัดพลังงาน และลดภาวะโลกร้อนได้มากที่สุด
“ล่าสุด บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ได้จับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ 2 ราย คือ กลุ่มสยามมิชลิน และบริษัท โทลล์ โลจิสติกส์ จำกัด ในการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมมือสร้าง “ระบบขนส่งสีเขียว” ด้วยการนำนวัตกรรมใหม่ด้านการขนส่งที่ไม่เคยมีการใช้ในประเทศไทยมาก่อน และการจัดการระบบขนส่งที่ดี มาพัฒนาให้ระบบขนส่งของบิ๊กซีมีประสิทธิภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยั่งยืนมากที่สุด ตามคอนเซ็ปต์ “บิ๊กซี...ใหญ่ขึ้น และให้คุณได้มากกว่า (Big C…Bigger and Better)” โดยมีเป้าหมายที่จะลดจำนวนการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 1 ล้าน 8 แสนกิโลกรัม ภายในสิ้นปี 2557 เพื่อสนับสนุนโครงการรณรงค์ลดคาร์บอน 84 ล้านกิโลกรัม เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสเฉลิม พระชนมพรรษา 84 พรรษา”
มร. เกรก กล่าวต่อว่า “ตั้งแต่ปีนี้จนถึงปี 2557 บิ๊กซีจะใช้งบประมาณ 300 ล้านบาท ในการนำความคิดและเทคโนโลยีใหม่ๆ ของการขนส่งไปพัฒนาระบบขนส่งสีเขียวของ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้มากที่สุด โดยในปี 2554 ซึ่งเป็นการดำเนินการขั้นแรก บิ๊กซี จะนำนวัตกรรมการขนส่งที่ไม่เคยมีการใช้ในประเทศไทยมาก่อน มาพัฒนารถขนส่งของบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ให้มีความสามารถในการบรรจุของและรับน้ำหนักได้มากขึ้น และช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 47% นอกจากนั้น จะใช้ยางประหยัดพลังงานของกลุ่มมิชลินเพื่อช่วยลดการใช้พลังงานเพิ่มเติมอีก 4% และจะมีบริษัท โทลล์ โลจิสติคส์ เป็นผู้ดูแล ฟลีทรถให้มีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานที่สุด”
มร. เกรก เปิดเผยต่อว่า “รถขนส่งสีเขียว (Specialised Drop Deck Trailer)” ของบิ๊กซี จะมีนวัตกรรมใหม่ ดังนี้
1. ระบบพื้นวางสินค้าในรถแบบเคลื่อนที่ได้ (Moveable Mezzanine Floor) ซึ่งจะทำให้สามารถบรรจุสินค้าขนาดต่างๆ กัน บนแท่นวางของขนาดต่างๆ กัน เข้าในตัวรถได้เต็ม 100 เปอร์เซ็นของพื้นที่บรรจุ โดยจะสามารถบรรจุสินค้าได้ถึง 44 แท่นบรรจุ (pallet) และรับน้ำหนักรวมได้ถึง 57 ตัน
2. ระบบฝาข้างรถแบบพับได้ (Curtain-sided Trailer) ทำให้การขนของขึ้น-ลงง่ายและรวดเร็วขึ้น
3. ยางรถที่ช่วยลดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมิชลินได้พัฒนายางรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพช่วยประหยัดน้ำมันและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมโดยการลดปริมาณการใช้วัตถุดิบและลดจำนวนการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย
4. รถรับส่งสินค้าแบบเฉพาะที่ (Dedicated Transport Shuttles) ซึ่งเป็นผลการศึกษาของบิ๊กซี ว่า เมื่อบิ๊กซีมีสาขาเพิ่มขึ้นและมีความต้องการสั่งสินค้าล็อตใหญ่ขึ้น หากมีการใช้รถขนส่งเพื่อรับส่งสินค้าจากผู้ผลิตรายใหญ่ ไปที่ศูนย์กระจายสินค้าของบิ๊กซีโดยเฉพาะโดยไม่ต้องแวะที่อื่น โดยจัดท่ารับส่งแยกต่างหาก (Dedicated Dock) ให้สินค้าดังกล่าว จะช่วยลดวงจรและขั้นตอนการขนส่งสินค้า ทำให้การขนส่งสินค้าเป็นไปอย่างตรง รวดเร็ว ทันต่อความต้องการ และช่วยลดการเก็บสต็อคสินค้าด้วย
“ในปี 2555 บิ๊กซีได้เตรียมงบประมาณอีกกว่า 200 ล้านบาท ในการพัฒนาประสิทธิภาพของ “ระบบขนส่งสีเขียว” ให้ครอบคลุมด้านต่างๆ มากขึ้น ตามคอนเซ็ปต์ “บิ๊กซี..ใหญ่ขึ้น และให้คุณได้มากกว่า” มร. เกรก กล่าว
ด้านกลุ่มสยามมิชลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรหลักของโครงการ “ระบบขนส่งสีเขียว” นั้น นายเสกสรรค์ ไตรอุโฆษ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มสยามมิชลิน กล่าวว่า “มิชลินยินดีที่ได้เป็น ส่วนหนึ่งของโครงการ “ระบบขนส่งสีเขียว” ร่วมกับบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และโทลล์ โลจิสติคส์ เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการสัญจรอย่างยั่งยืน โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ยางมิชลินที่ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำมัน ซึ่งส่งผลต่อการลดปริมาณการปล่อยกาซคาร์บอนไดอ็อกไซด์บนท้องถนน แต่ยังคงไว้ซึ่งความปลอดภัย และอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการขนส่งให้กับผู้ประกอบการ”
นายเสกสรรค์ กล่าวต่อว่า “มิชลินให้ความสำคัญกับการค้นคว้าวิจัยนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้ได้ยาง ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีทีมงานวิจัยกว่า 6,000 คนทั่วโลก และงบประมาณกว่า 500 ล้านยูโรต่อปี เพื่อพัฒนายางที่มีความสมดุลในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะในด้านการประหยัดน้ำมัน โดยตั้งแต่ปี 1992 (ซึ่งเป็นปีแรกที่มิชลินเปิดตัวยางประหยัดน้ำมัน) มิชลินได้พัฒนายางประหยัดน้ำมันสำหรับรถบรรทุกมาแล้วถึง 3 รุ่น และสำหรับรถยนต์ 4 รุ่น โดยยางประหยัดน้ำมันของมิชลินที่ติดตั้งอยู่กับรถยนต์และรถบรรทุกดังกล่าว สามารถประหยัดการใช้น้ำมันไปได้แล้วกว่า 1.4 หมื่นล้านลิตร และลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ไปแล้วกว่า 35 ล้านกิโลกรัมทั่วโลก”
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ: บริษัท เดอะ เวย์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์
โทร.02-245-3814, แฟกซ์.02-245-3815 E-mail: jatupol.theway@gmail.com, kosin.theway@gmail.com