กรุงเทพฯ--29 ก.ค.--กรมควบคุมโรค
ทุกๆ ปีในช่วงเดือน ซุลฮิจญะหฺ (เดือนที่12 ตามปฏิทินอิสลาม) ชาวไทยมุสลิมจำนวนมากจะเดินทางไป ที่นครมักกะฮ์ และเมืองมะดีนะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เพื่อร่วมประกอบพิธี "ฮัจญ์" ตามศาสนบัญญัติของศาสนาอิสลาม ในวัน เวลา และสถานที่ ที่ทางศาสนาอิสลามกำหนดไว้ ซึ่งถือเป็นหน้าที่สำหรับมุสลิมทั้งชายและหญิง และเป็นความตั้งใจสูงสุดของอิสลามิกชนทุกคน ที่มีความสามารถในด้านร่างกาย ทรัพย์สิน และการเดินทาง ที่อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตจะต้องได้ปฏิบัติศาสนกิจข้อนี้
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าในส่วนของประเทศไทย ปีนี้ทางกระทรวงฮัจญ์ของประเทศซาอุดิอาระเบียได้กำหนดโควต้าผู้ที่จะเดินทางไปทำฮัจญ์ ประมาณ 13,000 คน เมื่อรวมกับชาวมุสลิมจากทั่วโลกซึ่งมาจากหลายเชื้อชาติทุกภูมิภาค จะมีผู้คนมาอาศัยอยู่ร่วมกัน ในประเทศซาอุดิอาระเบีย ช่วงการประกอบพิธีฮัจญ์ประมาณ 2 ถึง 3 ล้านคน การอยู่ร่วมกันของคนจำนวนมากในสถานที่จำกัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก โอกาสที่โรคต่างๆจะแพร่เชื้อจึงเป็นไปได้สูง ผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจและอาจ เจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะ “โรคไข้กาฬหลังแอ่น” ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria meningitides มักเป็นการระบาดเฉพาะพื้นที่ในหมู่ประชาชนที่อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก เชื้อโรคสามารถถ่ายทอดได้โดยทางเดินหายใจ การไอ จาม ลักษณะสำคัญจากการป่วยด้วยโรคชนิดนี้ คือ มีไข้ ผื่น และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งความรุนแรงของโรคแตกต่างกันได้มาก อาจมีอาการค่อยเป็นค่อยไป จนถึงรุนแรงรวดเร็ว และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ทางประเทศซาอุดิอาระเบียจึงได้กำหนดให้ผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นก่อน
เพื่อเป็นการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคติดต่อแก่ชาวไทยมุสลิมที่จะไปแสวงบุญ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย กรมควบคุมโรคได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการให้ความรู้ เพื่อการปฏิบัติตัวและการเตรียมความพร้อมในการการดูแลสุขภาพร่างกายแก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมก่อนการเดินทาง รวมทั้งได้ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น ฟรี 15,000 โด๊ส และได้เสริมวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อีก 15,000 โด๊ส รวมทั้งหมดเป็น 30,000 โด๊ส เนื่องจากปีที่ผ่านมา พบว่า ร้อยละ 79 ของผู้ที่ป่วยหลังกลับจากการแสวงบุญเป็นโรคไข้หวัดใหญ่และจำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นทุกปี จึงควรฉีดวัคซีนป้องกันไว้ก่อน โดยวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะมีภูมิคุ้มกันอยู่ 1 ปี ส่วนวัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น ถ้าได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจะมีภูมิคุ้มกันอยู่นาน 2 ปี
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวต่อว่าขณะนี้กรมควบคุมโรคได้จัดเตรียมวัคซีนไว้ให้บริการอย่างเพียงพอต่อผู้ที่จะเดินทางไปแสวงบุญที่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมการศาสนาไว้แล้ว โดยส่วนกลางในพื้นที่ กทม. สามารถไปขอรับบริการฉีดวัคซีนได้ที่ 1.สถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี 2.ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ท่าเรือกรุงเทพ 3.กองควบคุมโรคสำนักอนามัย กทม. 4.สถานเสาวภา สภากาชาดไทย และ 5.โรงพยาบาลนวมินทร์ กทม. ส่วนภูมิภาคหรือต่างจังหวัด รับบริการที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด14จังหวัดภาคใต้ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่3 จ.ชลบุรี, ที่10 จ.เชียงใหม่, ที่11จ.นครศรีธรรมราช, ที่12สงขลา และด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ สังกัดกรมควบคุมโรคใน จ.สงขลา และ จ.นราธิวาส
“ทั้งนี้ผู้ที่จะเดินทางไปแสวงบุญควรฉีดวัคซีนล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์เพราะต้องไปทำวีซ่า และต้องคัดกรองโรคก่อนการเดินทาง ในขณะที่ไปขอรับบริการฉีดวัคซีนหากมีประวัติแพ้โปรตีนจากไข่ขาว หรือมีโรคประจำตัวควรให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ หรือหากเจ็บป่วยด้วยโรคบางประเภทที่มีไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนและหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1422”รองอธิบดีกล่าวปิดท้าย
กลุ่มเผยแพร่ สำนักเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค
โทรศัพท์ :0-2590-3862 โทรสาร :0-2590-3386