กรุงเทพฯ--13 พ.ย.--กก.
ดร. ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (ป.กก.) รุดหารือกับเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เพื่อเร่งเติมเต็มครูพลศึกษาที่ขาดแคลนกว่า 9,000 โรงเรียน และผลักดันผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันพลศึกษาเป็นครูพละ โดยมี คุณหญิง กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้บริหารจากสถาบันพลศึกษา(สพล.)สำนักงานพัฒนาการกีฬา(สพก.) เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 2 สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550
ดร.ศศิธาราฯ เปิดเผยว่า การหารือกับคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ครั้งนี้ เกี่ยวกับการพัฒนาความร่วมมือด้านการพลศึกษา กีฬา และนันทนาการ ระหว่างทั้ง 2 หน่วยงาน ในประเด็นสำคัญ 4 ประเด็น คือ 1) การอบรมครูสอนพลศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง จำนวน 9,000 โรงเรียน 2)การรับผู้จบการศึกษาจากสถาบันพลศึกษาเข้าสอนในโรงเรียนสังกัด สพฐ. 3)การอบรมผู้ตัดสินและผู้ฝึกสอนกีฬา(โค้ช)ในโรงเรียนสังกัด สพฐ. และ 4)การพิจารณาโรงเรียนที่มีผลงานดีเด่นด้านการออกกำลังกาย เล่นกีฬา และนันทนาการ เพื่อให้ได้รับรางวัลเป็นพิเศษ เช่น โรงเรียนรางวัลพระราชทานด้านการออกกำลังกายและกีฬา เป็นต้น
ในการร่วมมือดังกล่าว ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา(ป.กก.) เชื่อมั่นว่าสถาบันการพลศึกษา และโรงเรียนกีฬาทั่วประเทศ ซึ่งได้ผลิตและพัฒนาบุคลากรทางพลศึกษา การกีฬา วิทยาศาสตร์การกีฬา วิทยาศาสตร์สุขภาพ และนันทนาการโดยตรง จะสามารถให้การสนับสนุนกระทรวงศึกษาธิการ ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เกี่ยวกับการขาดแคลน ครูพลศึกษาได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือว่าสถาบันพลศึกษา ในสังกัดกระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา เป็นมืออาชีพและสะสมความเชี่ยวชาญด้านการสร้างครูพลศึกษามาโดยเฉพาะ
สำหรับในระยะยาว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะร่วมมือกับ สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ ฟื้นฟูการเรียนการสอนพลศึกษาอย่างจริงจังที่ไม่ใช่จะสอนเฉพาะแต่ในสถาบันการพลศึกษาและโรงเรียนกีฬาเท่านั้น หากยังต้องมองไปสู่เด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถาบันการศึกษา ในสังกัดอื่นๆ ด้วย โดยยึดหลักว่าการศึกษาของชาติ จะต้องมีทั้งพุทธิศึกษา จริยศึกษา และพลศึกษา และยังจะต้องพิจารณากำหนดเกณฑ์การมีครูพละศึกษา 1 คน ต่อนักเรียนกี่คน โรงเรียนขนาดใดจะมีครูพละศึกษากี่คน ซึ่งจะต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ประกาศใช้ต่อไป
จากนั้น ทั้ง 2 หน่วยงาน ยังจะร่วมกันส่งเสริมให้มีโรงเรียนดีเด่น ด้านการพลศึกษา หรือออกกำลังกายดีเด่น ได้รับรางวัลระดับชาติ หรือ โรงเรียนรางวัลพระราชทานว่า เพื่อกระตุ้นและปลูกฝังให้เด็กนักเรียนรักการกีฬาและออกกำลังกายอย่างจริงจัง ทั้งต้องการกระตุ้นให้โรงเรียนสร้างบรรยากาศให้เด็ก เยาวชนเห็นชั่วโมงพลศึกษาเป็นชั่วโมงที่แสนสนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ และจะมี การร่วมมือทางด้านการท่องเที่ยวอีกด้วย โดยข้อตกลงทั้งหมดจะมีการทำเป็นข้อลงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
นอกจากนี้ ป.กก. ยังได้กล่าวถึงความร่วมมือกับองค์การปกครอง ส่วนท้องถิ่น เพื่อให้มีการบรรจุ เปิดโอกาสให้ผู้สำเร็จการศึกษาด้านพลศึกษาได้สอนพลศึกษาในการศึกษาของท้องถิ่นอีกด้วย.