กรุงเทพฯ--14 พ.ย.--เจดี พาร์ทเนอร์
ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี ระบุไตรมาส 3/2550 แม้อยู่ในช่วงฤดูฝนที่งานก่อสร้างส่วนใหญ่ชะลอตัว แต่เนื่องจากบริษัทฯ มีปริมาณงานใหม่เข้ามาต่อเนื่อง ทำให้รายได้เพิ่ม 13.73% จากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ขณะที่รักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 13.29% จากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง ส่งผลให้บริษัทฯ มีขาดทุนสุทธิลดลง 34.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ “CCP” เปิด เผยผลประกอบการไตรมาส 3/2550 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย การให้เช่าและบริการรวม 666.22 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2549 อยู่ 21.97 ล้านบาท หรือ 3.19% ซึ่งเป็นไปตามภาวะการก่อสร้างโดยรวมของประเทศที่ยังชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ารายได้ในไตรมาส 3 นี้ เพิ่มขึ้นกว่า 80.14 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13.73% แม้ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูฝนที่งานก่อสร้างส่วนใหญ่จะชะลอตัวก็ตาม ทั้งนี้ เนื่องมาจากธุรกิจคอนกรีตที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ มีการรับงานใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท ชลบุรีกันยง จำกัด ที่ประกอบธุรกิจร้านค้าโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง ซ่อมแซม ตกแต่งบ้าน “กันยงโฮมสโตร์” และบริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด ที่ประกอบธุรกิจคอนกรีตมวลเบา “สมาร์ทบล็อก” มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น นอกจากนี้กลุ่มบริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนขายได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง โดยต้นทุนขายและบริการในไตรมาสนี้ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 29.41 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.85% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/2550 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 13.33% จาก 11.82% ในไตรมาส 3/2549 และเมื่อประกอบกับการที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดมีการปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ มีภาระดอกเบี้ยจ่าย ลดลง 17.85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุให้ผลประกอบการในไตรมาส 3/2550 ของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้น โดยมีผลขาดทุนสุทธิลดลง 34.27% มาอยู่ที่ 9.31 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.03 บาทเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2549
สรุปผลประกอบการงวด 9 เดือนของปี 2550 พบว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย การให้เช่าและบริการ 1,961.60 ล้านบาท ลดลง 136.76ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 2,098.36 ล้านบาท แต่เนื่องจากงวด 9 เดือนของปีนี้ บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ การด้อยค่าของสินทรัพย์น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประกอบกับบริษัทฯ ได้ดำเนินนโยบายควบคุมต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงมีขาดทุนสุทธิลดลงมาอยู่ที่ 48.12 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 0.16 บาท เมื่อเทียบกับงวด 9 เดือนของปี 2549 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 182.77 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.59 บาท
“ในช่วงที่ผ่านมา จากการชะลอตัวของโครงการก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชน อันเกิดจากผลกระทบของสถานการณ์การเมืองและภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวลดลง ซึ่งส่งผลให้ตลาดวัสดุก่อสร้างโดยรวมอยู่ในภาวะซบเซานั้น บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินงานหลายด้าน โดยมีนโยบายชัดเจนที่จะพิจารณาเลือกรับงานอย่างรอบคอบ ไม่เน้นเร่งยอดรายได้เพียงอย่างเดียว แต่จะพิจารณากำไรที่จะได้รับประกอบกับความเหมาะสมด้านอื่นๆ ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งยังได้ทำตลาดเชิงรุกไปยังงานเอกชนมากขึ้น เพื่อชดเชยกับปริมาณงานภาครัฐที่ลดลง ควบคู่กับการที่บริษัทฯ ได้ควบคุมต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลจากการปรับกลยุทธ์ดังกล่าว ประกอบกับบริษัทฯ รับงานใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง โดย ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือสำหรับธุรกิจคอนกรีต ประมาณ 1,250
ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ถึงเดือนธันวาคมปี 2551 และยอดขายที่เพิ่มขึ้นตามลำดับของ “กันยงโฮมสโตร์” และคอนกรีตมวลเบา “สมาร์ทบล็อก” บริษัทฯ จึงคาดการณ์ว่า ผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายและโดยรวมของปีนี้ จะมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังเชื่อมั่นว่า ในปีหน้าความต้องการใช้คอนกรีตในประเทศจะมีปริมาณมากขึ้นอย่างชัดเจน จากความคืบหน้าในการดำเนินโครงการลงทุนเมกะโปรเจกของภาครัฐ การฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนของภาคเอกชนภายหลังที่มีการเลือกตั้ง อีกทั้ง การได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ จะทำให้โครงการก่อสร้างของภาครัฐที่ได้ชะลอแผนการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา กลับเข้าสู่การพิจารณาเพื่อดำเนินโครงการต่อได้อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ มีทิศทางเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในอนาคต
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม บริษัท เจดี พาร์ทเนอร์ จำกัด
โทร (02) 661-8803-5 โทรสาร (02) 661-8813 E-mail: sirirat@jaydeepartners.com