กรุงเทพฯ--4 ส.ค.--ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
ฐานรายได้และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้ เป็นเลขสองหลัก
ประเด็นสำคัญ
- รายได้ของกลุ่มเพิ่มขึ้น 11% จากการเติบโตต่อเนื่องของหลายผลิตภัณฑ์ ในหลายประเทศ
- ควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด สร้างรายได้เติบโตเร็วกว่าค่าใช้จ่าย
- อัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Core Tier 1) อยู่ที่ 11.9% ส่งผลเงินทุนแข็งแกร่งกว่าเดิม
- งบดุลมีสภาพคล่องสูง เงินฝากโตเพิ่มขึ้น 19% เป็น 343 พันล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ที่ 78.1%
- ธุรกิจบุคคลธนกิจมีกำไรเพิ่มขึ้น 58% ขณะที่มีการปรับโครงสร้าง
- ธุรกิจสถาบันธนกิจมีกำไรเพิ่มขึ้น 5% สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 2.59 พันล้านเหรียญ
- ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นดีต่อเนื่อง ROE อยู่ที่ 13% ปันผลเพิ่มขึ้น 10%
กลุ่มธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ประกาศผลกำไรต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกมีรายได้เพิ่มขึ้น 11% ที่จำนวน 8.76 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีกำไรเพิ่มขึ้น 17% ที่ 3.64 พันล้านเหรียญสหรัฐ กลุ่มธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเนื่องจากสร้างแหล่งรายได้ที่หลากหลายทั้งในเชิงผลิตภัณฑ์และตลาด ที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนในผลิตภัณฑ์ และการสร้างฐานรายได้ใหม่ๆ การเติบโตด้านรายได้ที่แข็งแกร่งเป็นผลจากสภาพคล่อง เงินกองทุน และงบดุลที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันกลุ่มธนาคารควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด และเนื่องด้วยการค้าและการลงทุนในประเทศที่ธนาคารดำเนินกิจการอยู่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของชนชั้นกลาง สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดมองเห็นโอกาสอันดีในการเติบโตธุรกิจจากภายในทั่วทั้งตลาดเอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง
กลุ่มธนาคารยังคงเน้นสร้างความแข็งแกร่งของงบดุล เพื่อสนับสนุนการเติบโตจากภายใน และให้การสนับสนุนลูกค้าของธนาคาร ขณะเดียวกัน ธนาคารเตรียมความพร้อมรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาค และการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฏระเบียบทางการเงิน ที่ผ่านมาธนาคารมียอดเงินฝาก และสินเชื่อของลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้มากขึ้น แม้จะมีการแข่งขันที่รุนแรงในหลายๆ ตลาด ครึ่งปีแรกของปี 2011 ธนาคารมีเงินฝากเพิ่มขึ้น 19% จาก 55 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 343 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากแข็งแกร่งถึง 78.1% และมีสภาพคล่องสูงมาก โดยมีกระแสเงินสด หรือใกล้เคียงเงินสดอยู่ที่ 150 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไม่ได้รับผลกระทบจากหนี้ภาครัฐในประเทศโปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ หรือสเปน
นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศ โดยให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 22% และให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้น 38% ให้สินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น 19% ในขณะที่คุณภาพสินเชื่อของธนาคารดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย 67% ของสินเชื่อรายใหญ่ มีอายุไม่เกิน 12 เดือน มีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเฉลี่ย (average loan-to-value) สำหรับสินเชื่อบ้านยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 49% ในระดับกลุ่มธนาคาร หนี้ที่มีปัญหาลดลง 6% อยู่ที่ 412 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นผลมาจากหนี้ที่มีปัญหาในธุรกิจบุคคลธนกิจลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญถึง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่หนี้มีปัญหาของธุรกิจสถาบันธนกิจเพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 201 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ธนาคารยังคงรักษาวินัยการบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด
ผลประกอบการทั่วทุกภูมิภาคล้วนเติบโตขึ้น ยกเว้นในอินเดีย โดยฮ่องกง และสิงคโปร์ มีรายได้เพิ่มขึ้น 29% และ 20% ตามลำดับ ในอินเดีย รายได้ลดลง 12% และกำไรจากการดำเนินธุรกิจลดลง 39% เป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันที่สูงขึ้นจนมีผลทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิลดลง โครงการและการให้สินเชื่อต่างๆ ชะลอตัว เนื่องจากธุรกิจได้รับผลกระทบจากความกังวลในด้านธรรมาภิบาลในตลาด แต่ธนาคารยังคงเชื่อมั่นว่าอินเดีย จะเป็นตลาดที่เติบโตมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ภายในปี 2030 และด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการแข่งขันของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดที่มีอยู่ในอินเดีย ธนาคารมีความพร้อมที่จะรุก และเติบโตในตลาดนี้ต่อไป
ธุรกิจสถาบันธนกิจ และบุคคลธนกิจขยายการเติบโตโดยนำเสนอจำนวนผลิตภัณฑ์ และบริการมากขึ้น จนทำให้กลุ่มธนาคารช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากคู่แข่ง
ธุรกิจบุคคลธนกิจมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรก โดยสร้างรายได้ และทำกำไรเพิ่มขึ้นถึง 15% และ 58% ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน การปรับโครงสร้างธุรกิจก็มีความคืบหน้าไปด้วยดี การเติบโตของรายได้มาจากฐานรายได้ที่หลากหลาย แม้ธนาคารจะมุ่งเน้นในด้านเงินฝากมากกว่า แต่ก็ได้รับผลพลอยได้จากส่วนต่างสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในหลายๆ ประเทศหลัก ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล นอกจากนี้ ชนชั้นกลางในตลาดเกิดใหม่ของเอเชียยังคงขยายตัว ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าระดับบนของ Private Banking, Priority Banking และ SME Banking ล้วนเติบโตกว่า 10%
ธุรกิจสถาบันธนกิจมีรายได้จากลูกค้าเพิ่มขึ้น 9% สูงมากเป็นประวัติการณ์ถึง 4.44 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ระดับรายได้ และกำไรครึ่งปีแรกโดยรวมเติบโตที่ 8% และ 5% ตามลำดับ เติบโตสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน รายได้จากลูกค้าปัจจุบันมีสัดส่วนเป็น 82% ของรายได้ของธุรกิจสถาบันธนกิจ
ธนาคารยังคงให้การสนับสนุนด้านการค้าและการลงทุนทั้งภายใน และระหว่างประเทศ มีการลงทุนในผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้า ขณะเดียวกันก็ขยายฐานรายได้ให้กว้างขึ้น รายได้จากธุรกิจการค้าระหว่างประเทศเติบโตขึ้น 11% จากการปริวรรตเงินตราต่างประเทศเติบโตขึ้น 19% โดยตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และตราสารทุนเพิ่มขึ้น 93% ส่วนรายได้จากธุรกิจตลาดทุนเพิ่มขึ้น 16% ปริมาณการบริหารเงินยังคงเติบโตเพิ่มขึ้น 26% ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น 33% สายธุรกิจสถาบันธนกิจยังคงมีรายได้ และกำไรที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ควบคุมความเสี่ยงและต้นทุนอย่างเข้มงวด โดยธนาคารยังจะมีธุรกรรมอีกมากที่จะนำเสนอในช่วงครึ่งหลังของปี 2011
นายปีเตอร์ แซนด์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่า “ตัวเลขเหล่านี้ แสดงถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง เรามีรายได้และกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ มีงบดุลที่เข้มแข็ง และมีระดับเงินกองทุนและเงินปันผลที่สูงขึ้น การเติบโตของเรามีทั้งความยืดหยุ่น และหลากหลาย การที่ธนาคารมีฐานการดำเนินธุรกิจอยู่ใจกลางการค้าและการลงทุนที่กำลังเติบโตในประเทศต่างๆ ในเอเชีย แอฟริการ และตะวันออกกลาง เมื่อประกอบกับการขยายตัวของชนชั้นกลาง เรายังคงจะเห็นโอกาสดีๆ ในการเติบโตของผลกำไรทั่วทั้งเครือข่ายของธนาคารอีก”
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
พินทิพย์ เอี่ยมนิรัตน์ — องค์กรสัมพันธ์
โทร.: 02 724 8022 แฟกซ์: 02 724 8019
Pintip.Iamnirath@sc.com