กรุงเทพฯ--15 พ.ย.--ก.ล.ต.
คณะกรรมการ ก.ล.ต. ในการประชุมครั้งที่ 11/2550 เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2550 มีมติในเรื่องดังต่อไปนี้
1. ปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นของบริษัทจดทะเบียนเนื่องจากที่ผ่านมาปรากฏว่ามีบริษัทจดทะเบียนบางรายมีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในปริมาณที่มากเป็นพิเศษในบางช่วงเวลา ซึ่งเป็นการดำเนินการที่แตกต่างไปจากธุรกิจหลักของบริษัท และมีปัญหาว่าผู้ลงทุนจะได้รับข้อมูลครบถ้วนหรือไม่ เพราะมีบางบริษัทที่ซื้อหุ้นจำนวนมากในระหว่างงวดบัญชี แต่ขายออกไปก่อนปิดงวด ทำให้เหลือยอดคงค้างอยู่เพียงเล็กน้อย เพื่อแก้ปัญหานี้และทำให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนอย่างครบถ้วน คณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงกำหนดให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ขายแก่ประชาชน หากบริษัทใดมีการซื้อและขายหลักทรัพย์ในปริมาณมากและเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด บริษัทต้องเปิดเผยยอดซื้อและยอดขายที่เกิดขึ้นระหว่างงวดไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินของบริษัทด้วย ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับสำหรับงบการเงินที่บริษัทมีหน้าที่ต้องยื่นต่อ ก.ล.ต. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นไป
2. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การลงทุนของกองทุนรวมให้คล่องตัวขึ้น
2.1 ยกเลิกอัตราส่วนจำกัดการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
เรื่องนี้เดิมมีกฎระเบียบที่กำหนดห้ามมิให้กองทุนรวมซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เกินกว่าร้อยละ 15 เพื่อมิให้การลงทุนมีการกระจุกตัวในอสังหาริมทรัพย์มากเกินไป เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ แต่บัดนี้การดำเนินการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้พัฒนามากแล้ว โดยมีการกระจายการลงทุนทั้งประเภทและลักษณะของอสังหาริมทรัพย์และผู้ลงทุนก็มีความคุ้นเคยกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น คณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงเห็นสมควรผ่อนคลายโดยยกเลิกอัตราดังกล่าว เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดตั้งกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ (property sector fund) อย่างไรก็ดี กองทุนรวมที่เน้นลงทุน
ในภาคอุตสาหกรรมใดเป็นการเฉพาะจะต้องเปิดเผยความเสี่ยงให้ชัดเจนด้วย
2.2 ผ่อนผันอัตราส่วนการลงทุนในกลุ่มบริษัทเดียวกัน (group limit)
เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการกองทุนรวมให้สอดคล้องตามสภาวะตลาด
และวิธีการบริหารกองทุนรวมมากขึ้น คณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงผ่อนผันอัตราส่วนการลงทุนในกลุ่มบริษัทเดียวกัน (group limit) จากเดิมที่กำหนดไว้ตายตัวไม่เกินร้อยละ 30 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เปลี่ยนเป็นกำหนด group limit ให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของกองทุน (benchmark) โดยให้ใช้อัตราส่วนใดที่สูงกว่า ระหว่าง (1) อัตราส่วนตาม benchmark (คำนวณตาม market capitalization) และบวกเพิ่ม (overweight) ได้อีกไม่เกินร้อยละ 10 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ (2) group limit ไม่เกินร้อยละ 30 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ตัวอย่างเช่น
กรณีกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนใน SET 50 INDEX โดยมี SET 50 INDEX เป็น benchmark
ถ้าบริษัท A มีสัดส่วน market capitalization ใน SET 50 INDEX เท่ากับร้อยละ 25 group limit ของกลุ่มบริษัท A จะเพิ่มได้อีกไม่เกินร้อยละ 10 คือ รวมกันไม่เกินร้อยละ 35 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมนั้น
ทั้งนี้ เนื่องจากการกำหนด group limit เป็นหลักการใหม่ บริษัทจัดการกองทุนต้องใช้เวลาพอสมควรในการพัฒนาระบบงานรองรับ จึงให้การบังคับใช้มีผลไปข้างหน้า 6 เดือนนับจากวันที่ประกาศมีการลงนามแล้ว
3. แก้ไขหลักเกณฑ์การเสนอขายตราสารหนี้ระยะสั้นให้คล่องตัวขึ้น
เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่บริษัทที่เสนอขายตราสารหนี้ระยะสั้นแบบเป็นโครงการ (shelf filing) คณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงได้แก้ไขหลักเกณฑ์จากเดิมที่บริษัทมีภาระต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ระยะสั้นทุก 30 วัน เป็นเมื่อบริษัทต้องส่งงบการเงินหรือแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปีที่ต้องยื่น ก.ล.ต. ตามมาตรา 56 หรืองบการเงินที่ยื่นแก่หน่วยงานกำกับดูแลอื่นอยู่แล้ว ให้ใช้การอ้างอิงงบการเงินหรือแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปีในการยื่น update filing ได้ นอกจากนี้ ได้ผ่อนปรนเกณฑ์ให้กรรมการที่ดำรงตำแหน่งบริหารสูงสุดของบริษัทสามารถลงนามแทนกรรมการคนอื่นสำหรับการยื่น update filing ในระหว่างปีได้
ฝ่ายงานเลขาธิการ - Press Office
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
โทรศัพท์ 0-2695-9502-5
โทรสาร 0-2256-7755
E-mail: press@sec.or.th