กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--แบรนด์คอม คอนซัลแทนส์
บริษัทเหมราชประกาศผลการดำเนินงาน เพิ่มเป้าหมายยอดขายที่ดินเป็น 1,700 ไร่ ไตรมาสที่ 2 ปี 2554 ได้กำไรสุทธิ 31. 1 ล้านบาท และในครึ่งปีแรก ปี 2554 ขาดทุนสุทธิ 1.9 ล้านบาทเนื่องจากความล่าช้าของการรับรู้รายได้ตามวิธีการทางบัญชีใหม่
บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส2 ปี 2554 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิไตรมาส 2 และกำไรสุทธิ 6เดือนแรกของปี 2554 ในไตรมาส 2 ปี 2554 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 31.1 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 42 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.003 บาทต่อหุ้น ลดลงร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับงวดระยะเวลา 6 เดือนแรกของปี 2554 บริษัทฯ ขาดทุนสุทธิทั้งสิ้น 1.9 ล้านบาทหรือลดลงร้อยละ 100 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2553 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการทางบัญชีจากวิธีการรับรู้รายได้ตามอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จเป็นวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามระบบมาตรฐานการรายงานทางด้านการเงินแบบใหม่ ซึ่งออกโดยสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ นอกจากนี้ ยังมีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงเป็นจำนวน 108.8 ล้านบาท
นายเดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า“บริษัทเหมราชฯ ยังคงเป็นผู้นำในการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมรวมถึงการลงทุนของลูกค้าจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และวัสดุอุตสาหกรรม ด้วยยอดขาย 769 ไร่ (307.6 เอเคอร์) ในครึ่งปีแรก ปี 2554
ทั้งนี้ได้รวมยอดขายที่ดินให้กับบริษัทแคทเทอพิล่า ที่เขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชระยอง (Hemaraj RIL) จำนวน 140 ไร่ (56 เอเคอร์) สำหรับโรงงานผลิตอุปกรณ์สำหรับเหมือง และ อีก 132 ไร่ (52.8 เอเคอร์) สำหรับโรงงานประกอบรถแทรคเตอร์ขนาดกลาง เพื่อรองรับการขยายกิจการในเอเชียแปซิฟิคและแอฟริกา ภาคอุตสาหกรรมสะท้อนให้เห็นการผลิตยานยนต์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะผลิตมากถึง 1,800,000 คันในปี 2554 (ลำดับที่12 ของโลก) และคาดว่าจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ
นับจนถึงปัจจุบันในปี 2554 บริษัทฯ เห็นโอกาสในการเติบโตของรายได้ในปีนี้โดยเฉพาะรายได้จากการขายที่ดินเพื่ออุตสาหกรรม จึงมีการเพิ่มเป้าหมายยอดขายที่ดินอุตสาหกรรมในปี 2554 อีกครั้ง จาก 1,200 ไร่ (480 เอเคอร์) เพิ่มขึ้นเป็น 1,700 ไร่ (680 เอเคอร์)
ในขณะนี้รายได้ที่สามารถรับรู้ได้จนถึงปัจจุบันที่ลดลง มาจากการเปลี่ยนแปลงระบบมาตรฐานบัญชีในประเทศไทยในปี 2554 บริษัทฯคาดหวังว่าการรับรู้รายได้ของนิคมอุตสาหกรรมจะกลับเข้าสู่ภาวะปกตินับจากไตรมาสที่ 3 ปี 2554 เป็นต้นไป และรายได้จากนิคมอุตสาหกรรมที่สามารถรับรู้ได้สำหรับปี 2554 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเดิม
ในปีนี้ บริษัทฯมีการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในนิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภค และโลจิสติกส์ปาร์คแห่งใหม่ ในขณะที่ยังรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้แข็งแรง การลงทุนนี้ได้รวมถึงการลงทุน 4.4 พันล้านบาท ในธุรกิจพลังงานที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 35 ในโครงการเก็คโค่-วัน ที่จะเปิดดำเนินการในช่วงต้นของปี 2555
บริษัทได้ขยายฐานรายได้ด้วยการเลือกโอกาสในการลงทุนธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยง จากการรับรู้ทางบัญชีตามธุรกิจ ทำให้เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว”
รายได้รวมและผลการดำเนินงานใน 6 เดือนแรก ปี 2554
บริษัทฯได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการทางบัญชีในประเทศไทย สำหรับ 6 เดือนแรก ปี 2554 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 1,427.2 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาจำนวน 2,812.6 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 49 โดยมีรายได้จากการประกอบธุรกิจหลักจำนวน 1,328.8 ล้านบาทหรือลดลงร้อยละ 55 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา รายได้การขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในครึ่งปีแรกปี2554 ซึ่งรวมกำไรจากนิคมอุตสาหกรรมร่วมของบริษัทฯ มีจำนวน 422.9 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 74 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2553 ที่ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีแรกของปี 2554 นี้ ยังมีรายได้จากการขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่รอการรับรู้อีกเป็นจำนวน 1,453.08 ล้านบาทด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามระบบมาตรฐานการรายงานทางด้านการเงินแบบใหม่ ซึ่งออกโดยสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ จากการรับรู้ตามการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่จะรอการรับรู้ในช่วง 3-12 เดือนข้างหน้า
รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็น 580.8 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นเท่ากับร้อยละ 27 รายได้จากระบบสาธารณูปโภครวมซึ่งรวมถึงค่าบริการระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม กำไรและเงินปันผลจากบริษัทร่วมด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และค่าบริการระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ จำนวน 469.1 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 15 ทั้งนี้ส่วนมากเนื่องมาจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจำนวน 108.8 ล้านบาท จากโครงการไฟ้ฟ้าเก็คโค่ วันในปี 2554 เมื่อเทียบกับการได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจำนวน 48.4 ล้านบาทในปี 2553 รายได้จากเช่าและการให้บริการที่รวมถึงการเช่าโรงงานสำเร็จรูป การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 274.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่รวมถึงการขายโรงงานสำเร็จรูป การขายโครงการที่พักอาศัย ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ลดลงเป็น 162 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 70
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 689.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 34 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 441.4 ล้านบาท ด้วยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) ที่ 48% และ 31% ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญในครึ่งปีแรก ปี 2554
- บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรม จำนวน 769 ไร่ จาก 27 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 17 รายและจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมจำนวน 10 ราย รวมจำนวนลูกค้าจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 443 รายจากสัญญาซื้อขายทั้งสิ้น 670 สัญญา เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 158 รายจากจำนวน 239 สัญญา
- รายได้จากยอดขายที่ดินอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ลดลงเนื่องจากความล่าช้าของการรับรู้รายได้ซึ่งจะกลับมาเป็นปกติในไตรมาสที่3 ปี2554 ภายหลังจากการโอนโฉนด มีรายได้ที่รอการรับรู้เป็นจำนวน 1,453.08 ล้านบาท ณ สิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ปี 2554
- รายได้จากสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและการควบรวมกิจการของเขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชสระบุรี(Hemaraj SIL) และเขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชระยอง (Hemaraj RIL) ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2553
- บริษัทฯมีสัญญาเช่าโรงงานสำเร็จรูปจำนวนสุทธิ 10 สัญญา รวมพื้นที่ให้เช่า 21,069 ตารางเมตร รายได้จากการเช่าโรงงานสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 แสดงให้เห็นถึงรายได้จากการเช่าและอัตราการเช่าที่เพิ่มขึ้น
เหตุการณ์สำคัญหลังไตรมาส 2 ปี 2554
- คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการตั้งแต่ 1 มกราคม 2554 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2554 จำนวน 0.025 บาทต่อหุ้น มีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 8 กันยายน 2554
งบดุลรวมสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุด วันที่ 30 มิถุนายน 2554
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2554 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 18,134.2 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 9,327.1 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 8,807.2 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ในระดับที่ 0.77 ต่อ 1 โดยมีเงินสดและเงินฝากเป็นจำนวน 3,008.4 ล้านบาท
รายละเอียดเพิ่มเติมของบริษัทเหมราช สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hemaraj.com หรือ www.theparkresidence.co.th หรือติดต่อทางอีเมล์ที่ invest@hemaraj.com หรือ 02-719-9555-9