กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--สามารถคอร์ปอเรชั่น
“กลุ่มบริษัทสามารถ” โชว์ความสำเร็จด้วยกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2554 จำนวน 264 ล้านบาท สูงขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนถึง 85 เปอร์เซ็นต์ จากรายได้รวม 5,775 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเช่นกันถึง 33 เปอร์เซ็นต์ รวมแล้วมีรายได้ครึ่งปีแรกเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น และบมจ. สามารถเทลคอม ยังประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลรอบ 6 เดือนแรก ที่ 0.22 บาท และ 0.30 บาท ตามลำดับ
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. สามารถคอร์ปอเรชั่น เผยถึงผลการดำเนินงานของกลุ่มสามารถฯ ว่า “จากปัจจัยบวกหลายด้านทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ส่งผลให้ตัวเลขผลประกอบการของบริษัทฯ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยในไตรมาสที่ 2 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 5,775 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 33 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 264 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85 เปอร์เซ็นต์ โดยในขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานกลับลดลงถึงร้อยละ 5 จึงเท่ากับเป็นการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารจัดการที่ดีมากของบริษัทฯ
เมื่อวิเคราะห์ผลประกอบการของแต่ละสายธุรกิจ กลุ่มที่มีรายได้พุ่งขึ้นอย่างโดดเด่นเกือบเท่าตัว คือ สาย ICT Solutions นำโดย บมจ.สามารถเทลคอม มีรายได้รวมทั้งสิ้น 3,374 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 90 เปอร์เซ็นต์ มีกำไรสุทธิ 255 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 142 เปอร์เซ็นต์ โดยเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากโครงการใหญ่ เช่น งานติดตั้งโครงข่าย 3G ให้แก่ทีโอที และโครงการ School Net ฯลฯ สรุปรายได้ในช่วงครึ่งแรกปีนี้อยู่ที่ 4,620 ล้านบาท โดยรวมทั้งปี คาดว่ารายได้ของกลุ่มนี้น่าจะทะลุ 1.2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ เพราะในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีการรับรู้รายได้เพิ่มจากงานต่อเนื่อง อาทิ โครงการ 3 จี และอื่นๆ อีกทั้ง ล่าสุด ยังได้เซ็นสัญญาซื้อขายอุปกรณ์พร้อมติดตั้งในโครงการวางระบบเครือข่ายการสื่อสารหลักส่วนเพิ่มเติม ของกระทรวงกลาโหมมูลค่า 447 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีโอกาสใหม่ๆจากงานที่รอการประมูลอีกนับสิบโครงการ อาทิ โครงการ AMR เฟส 2 ของ กฟภ. โครงการขยายบริการ CUTE และบริการ RFID ของการท่าฯ ณ สนามบินสุวรรณภูมิ และโครงการ NGN เป็นต้น รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท
ส่วนสายธุรกิจ Mobile Multimedia ซึ่งมีการปรับกลยุทธ์เพื่อรุกตลาด Smart Phone และ Multi-media Content มากขึ้นเพื่อรองรับเทคโนโลยี 3 จีและความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยในไตรมาส 2/2554 บมจ. สามารถไอ-โมบายมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,783 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาทซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 71 เปอร์เซ็นต์ เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นและการบริหารต้นทุนการขายและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ในช่วงครึ่งปีหลัง SIM ตั้งเป้ายอดขายโทรศัพท์มือถือทั้งในและต่างประเทศไว้ที่ 2.2 ล้านเครื่อง เนื่องจากมีปัจจัยบวกที่คาดว่าจะส่งผลให้ตลาดมือถือกลับมาคึกคักอีกครั้ง นั่นคือ การขยายเครือข่าย 3 จี ที่จะครอบคลุมทั่วประเทศภายในต้นปีหน้า และการรุกตลาดอย่างหนักของผู้ให้บริการมือถือ โดยไอ-โมบายมีแผนที่จะเปิดตัวมือถือ Smart Phone อีกจำนวน 6 รุ่นในครึ่งปีหลัง และอีกกว่า 10 รุ่นภายในครึ่งปีหน้า รวมถึงอุปกรณ์ลูกข่ายอื่นๆ ที่รองรับโครงข่าย 3 จี อาทิ Tablet PC, USB Modem, Mi-Fi เป็นต้น ด้านธุรกิจ Content บริษัทฯ จะเน้นการพัฒนาต่อยอดเนื้อหาข้อมูลโดยการร่วมมือกับ Operator รายหลัก เพื่อพัฒนา Application บน Smart Phone ซึ่งเป็นที่นิยม เช่น i-Phone, Android และ Black Berry เป็นต้น โดยปัจจุบันได้มีการทำ Sport Arena Application บน i-Phone ร่วมกับ AIS ส่วนแผนการขยายธุรกิจ MVNO นั้น บริษัทฯ เน้นเป้าหมายในการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย, จุดเติมเงินและจุดชำระเงินให้ครอบคลุม ทั้งในร้านไอ-โมบาย, ตัวแทนจำหน่าย, Hyper Mart, ร้านค้าไอทีชั้นนำ, ร้านสะดวกซื้อและตู้เอทีเอ็มทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเป็นผู้ให้บริการรายหลักสำหรับการขยายโครงข่าย 3 จี ทั่วประเทศของทีโอทีต่อไป
ในสายธุรกิจอื่นๆ Related Businesses ของกลุ่มสามารถ ทั้งบริษัท วันทูวันคอนแทคส์ จำกัด ผู้ให้บริการคอลล์เซ็นเตอร์ และบริษัท วิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ ซิสเต็ม จำกัด ผู้ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจร และบริษัท สามารถวิศวกรรม จำกัด มีรายได้รวมกัน 512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49 เปอร์เซ็นต์ สุดท้าย สายธุรกิจบริการสาธารณูปโภค Utilities Services ประกอบด้วย บริษัท แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส จำกัด, บริษัท Kampot Power Plant จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจที่ประเทศกัมพูชา ก็ยังคงเป็นแหล่งที่มาของรายได้ประจำ โดยในไตรมาส 2/2554 มีรายได้รวม 250 ล้านบาท
“บริษัทฯ มีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างธุรกิจให้เติบโตยั่งยืนด้วยรายได้ประจำ เราจึงไม่ได้มองแค่การสร้างรายได้ปีต่อปี แต่มีการวางเป้าหมายยาวไปถึงปี 2556 ว่าทั้งกลุ่มสามารถฯ จะต้องมีรายได้รวมกันไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท และจากเป้าหมายที่ท้าทายนี้ ก็เป็นแรงผลักดันให้ทุกสายธุรกิจของสามารถฯ ต้องเร่งปรับกลยุทธ์และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งก็เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมจากผลประกอบการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การที่ภาคธุรกิจจะขยายตัวได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ต้องอาศัยนโยบายและการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นสำคัญ โดยผมเชื่อมั่นว่าจากนโยบายของภาครัฐที่จะสร้างรากฐานการเรียนรู้และกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคด้วยการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมจะเป็นตัวผลักดันให้อุตสาหกรรมไอซีทีของประเทศขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด“ นายวัฒน์ชัย กล่าวทิ้งท้าย
“กลุ่มบริษัทสามารถ” มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าอย่างครบวงจร ภายใต้บริษัทในเครือกว่า 20 บริษัท และมี 3 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบด้วย บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) และ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน)