กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--เมืองไทยประกันภัย
“เมืองไทยประกันภัย” เผยผลการดำเนินงานประจำงวดครึ่งปีแรกในปี 2554 กำไรสุทธิ 248.80 ล้านบาท เติบโต 47.0% เป็นผลกำไรจากการรับประกันภัยที่เพิ่มขึ้น 60.9% รายได้และกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 143.7%
นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานของงวดครึ่งปีแรกในปี 2554 ว่า บริษัทฯ มีผลประกอบการกำไรสุทธิ 248.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.59 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 47.0 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดครึ่งปีแรกของปี 2553 โดยบริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,688 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 372 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.1 จากปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างมากของเบี้ยประกันภัยประเภทอุบัติเหตุส่วนบุคคลผ่านช่องทาง Bacassurance ทั้งนี้บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สำหรับงวดหกเดือนแรกของปี 2554 เพิ่มขึ้น 127 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 7.4%
นอกจากนี้บริษัทฯ มีรายได้และผลกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์รวม 197.39 ล้านบาทซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 143.7 ด้านค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนเพียงเล็กน้อยประมาณร้อยละ 3.5 ทั้งนี้เป็นผลมาจากความสมบูรณ์และต่อเนื่องของระบบงานและกระบวนการปฎิบัติงานภายในบริษัทฯ ส่งผลให้มีกำไรจากการรับประกันภัย 159.28 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.9 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 450.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 25.3 มีกำไรก่อนหักภาษีเงินได้ 344.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.8 และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 79.59 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 47.0
นางนวลพรรณ กล่าวต่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังของ ปี 2554 นี้ บริษัทฯ มีแผนการดำเนินงานในด้านต่างๆ ดังนี้
ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย บริษัทฯ มีแผนงานดังต่อไปนี้
- ด้านการขยายช่องทางการขายผ่านเว็บไซต์
บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญของการทำตลาดแบบ Green Channel เพื่อช่วยลดโลกร้อนด้วยการลด การทำธุรกรรมผ่านกระดาษโดยเพิ่มช่องทางการขายผ่าน เว็ปไซต์ www.muangthaiinsurance.com
เพิ่มความสะดวก และรวดเร็วให้กับลูกค้าในการซื้อประกันภัย โดยสามารถซื้อประกันภัยได้ 24 ชม.
โดยไม่ต้องเดินทางมาซื้อที่บริษัท ปัจจุบันบริษัทฯ เริ่มขาย Enjoy Travel การที่เริ่มขาย Enjoy Travel
ก่อนนั้นเนื่องจากช่วงปลายปีจะเป็นเทศกาลท่องเที่ยวซึ่งผู้เดินทางหลายๆคน จะต้องใช้กรมธรรม์ ประกันภัยเพื่อประกอบการยื่นขอวีซ่า ล่วงหน้าก่อนการเดินทาง 1 — 2 เดือน ทำให้การเปิดตัวขายประกันภัยการเดินทางดังกล่าว ใน 1 เดือนที่ผ่านมาสร้างยอดขายเฉลี่ย 5 กรมธรรม์/วัน สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อกรมธรรม์ Enjoy Travel จะได้รับความสะดวกสบายในการกรอกข้อมูลหน้าเว็บไซต์และชำระเงินด้วยบัตรเครดิตผ่านระบบ E payment Gateway
- ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัทฯ ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยโครงการ Single rate ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ราคาเดียว ภายใต้ชื่อ Smile Pick Up เน้นการทำตลาดแบบ Segmentation โดยเริ่มรถยนต์รุ่นยอดนิยม และมี Loss Ratio ต่ำ โดยเฉพาะรถยนต์ปีที่ 2 ขึ้นไป เพื่อให้บริษัทสามารถบริหารจัดการพอร์ตรถยนต์ที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ในต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทฯเริ่มโครงการรถกระบะราคาเดียว ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าและตัวแทน โดยตัวแทนเสนอขายง่ายไม่ยุ่งยากในการคิดเบี้ยประกันภัย เนื่องจากมีราคาเดียว ในด้านลูกค้าก็จะได้ซื้อเบี้ยประกันภัยในราคาประหยัด ภายในสิ้นปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายการขายให้ครอบคลุมทุกกลุ่มรถยนต์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
- ด้านการให้บริการแก่ลูกค้า เพื่อรองรับการเติบโตและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า บริษัทยังมีการขยายจำนวนสาขาย่อย 10 แห่ง ได้แก่ ชลบุรี หาดใหญ่ เชียงใหม่ ขอนแก่น พิษณุโลก นครสวรรค์ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ภูเก็ต และหัวหิน และคาดว่าภายในปีนี้ มีแผนที่จะเปิดสาขาย่อยเพิ่มเติมอีก 6 สาขา ได้แก่ สมุทรสงคราม,เชียงราย,สกลนคร,นครศรีธรรมราช,สุราษฎร์ธานี และสระบุรี และในส่วนของสำนักงานตัวแทน 225 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็น กทม.ปริมณฑล —นนทบุรี 84,กลาง 41 เหนือ 24 อีสาน 24 ตะวันออก 19 ใต้ 33 และมีแผนจะขยายสำนักงานตัวแทนอีก 50 แห่ง ทั่วประเทศในปี 2554 อีกทั้งปัจจุบันมีอู่คู่สัญญา ที่ใช้ระบบ e-claim ทั่วประเทศ ทั้งสิ้น 389 อู่ จากอู่คู่สัญญาทั้งหมด 415 อู่ ทำให้สะดวกและรวดเร็วในการสั่งซ่อม
- ด้านการบริหารจัดการภายใน บริษัทฯมีความพร้อมที่จะใช้แนวทางการดำรงเงินกองทุน(Capital Adequacy Ratio-CAR)โดยมาตรฐานใหม่คือ Risk Based Capital (RBC) ซึ่งใช้เกณฑ์การประเมินความเสี่ยงในการคำนวณเงินกองทุนที่มีอยู่ และเงินกองทุนที่ต้องมี เนื่องจากได้เข้าร่วมเป็นกลุ่มบริษัทนำร่องในการทดสอบสูตรการคำนวณ (Market tests) ร่วมกับทางคณะทำงานของ คปภ.ตั้งแต่ปี 2552 จึงได้ทราบถึงแนวทางที่จะปรับเปลี่ยนตลอดจนผลกระทบ และได้มีการสื่อสารให้ผู้บริหารและพนักงานในบริษัททราบเพื่อเตรียมความพร้อมในทุกๆด้าน เช่น การจัดสัดส่วนการลงทุน การทำสัญญาประกันต่อ การจัดการสินไหม และการเตรียมเรื่องระบบการทำงาน รวมถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีความจำเป็นมาก ในการที่จะสามารถจัดทำข้อมูลและรายงานได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีทีมงานที่รับผิดชอบอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็น ด้านบัญชี ด้านประกันต่อ ด้านลงทุน ด้านนักคณิตศาสตร์ประกันภัย และ ด้านบริหารความเสี่ยง รวมทั้งทีมงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
นางนวลพรรณ กล่าวในตอนท้ายว่า “บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบงานภายในอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสานสัมพันธ์อันดีที่มีกับพันธมิตรธุรกิจหลาย ๆ แห่งเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งต่อการเพิ่มศักยภาพในการสร้างฐานลูกค้า อันจะนำไปสู่การเติบโตของยอดเบี้ยประกันภัยรับที่จะสร้างผลตอบแทนและกำไรที่สูงขึ้น”
ในปี 2554 นี้ถือเป็นปีที่ดีของบริษัทฯ อันเป็นวาระแห่งการครบรอบ 3 ปีในการควบรวมกิจการแล้ว บริษัทฯ ยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจาก คปภ. ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ในฐานะเป็นบริษัทประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่นอันดับ 3 ของประเทศ รางวัลนี้ถือเป็นกำลังใจและแรงผลักดันให้บริษัทมุ่งมั่นพัฒนาบุคคลากรและระบบการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต