กรุงเทพฯ--19 ส.ค.--ปตท.
ไออาร์พีซี จับมือ ปตท. เซ็น MOU โครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ขานรับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2553 — 2573 (Power Development Plan : PDP2010) มุ่งสร้างความมั่นคงด้านพลังงานควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม
วานนี้ 18 สิงหาคม 2554 ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อร่วมกันศึกษา ความเป็นไปได้ในการผลิตไฟฟ้า
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังพิธีลงนามความร่วมมือว่า ทั้ง 2 บริษัทฯ จะร่วมมือกันในการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนพัฒนาดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดประมาณ 50 — 90 เมกกะวัตต์ บนพื้นที่ประมาณ 1,000-1,800 ไร่
ทั้งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนในการศึกษาความเป็นไปได้และนำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารของทั้ง 2 บริษัท หลังจากนั้นจะร่วมกันจัดทำและยื่นข้อเสนอให้กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อขายไฟฟ้าเข้าระบบต่อไป ซึ่งหากข้อเสนอได้รับการพิจารณารับซื้อก็จะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้น เพื่อดำเนินการก่อสร้างและผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะมีการศึกษาในรายละเอียดต่อไป
การดำเนินโครงการครั้งนี้ เป็นการสนองตอบต่อนโยบายด้านพลังงานของประเทศ ทั้งในส่วนของการส่งเสริมพลังงานทดแทน และการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับระบบการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ และชุมชนโดยรอบในการสร้างความเจริญให้กับท้องถิ่นผ่านกองทุนพัฒนาโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมก็พร้อมจะปรับตัวเพื่อการอยู่ร่วมกันระหว่างธุรกิจ และชุมชน อย่างสมดุล
ด้านนาย นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ ปตท. และกรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ ไออาร์พีซี เปิดเผยภายหลังพิธีลงนาม ความร่วมมือว่า ทั้ง 2 บริษัทฯ จะร่วมมือศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนพัฒนาดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดประมาณ 50 — 90 เมกกะวัตต์
“ไออาร์พีซี ตั้งใจที่จะทำธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและอยู่ร่วมกับชุมชน โครงการนี้เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่เราตั้งใจจะทำขึ้น เพื่อลดและป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อม อันอาจเกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันยังส่งผลดีในเชิงธุรกิจให้กับบริษัทฯและผู้ถือหุ้นด้วย เพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับชุมชนโดยรอบและประเทศชาติ”
สำหรับการดำเนินโครงการนี้ คาดว่าจะใช้งบประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยบันทึกความร่วมมือฉบับนี้ จะมีกำหนดระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนามฯ
สอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0-2537-3209