กรุงเทพฯ--24 ส.ค.--สหมงคลฟิล์ม
บทบาท-คาแร็คเตอร์
เรื่องนี้รับบทเป็น “สัปเหร่อ” ครับ จริงๆ แล้วสัปเหร่อเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในอุโมงค์ผาเมืองเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร ผ่านโลกมาเยอะมาก รับรู้นิสัยใจคอของมนุษย์ทั้งคนเป็นและคนตาย เพราะฉะนั้นเขาสามารถที่จะอ่านคนออกได้ค่อนข้างเยอะ เปรียบเทียบความเป็นอยู่ของแต่ละคน การใช้ชีวิตของแต่ละคนกับตัวเองได้ละเอียด คือสัปเหร่อเป็นคนที่ใช้ชีวิตในวิถีที่เรียกว่ากลางๆ ไม่สุดโต่ง ไม่มากไม่น้อย ทุกอย่างทำในลักษณะที่เป็นคนจริงๆ คือ ดีก็ดีชั่วก็ชั่ว ไม่ต้องตัดสิน ไม่ต้องอะไรกัน ใช้ชีวิตอยู่รอดกันไป สำหรับตัวละครตัวนี้ ไม่ว่าใครไม่เปรียบเทียบไม่ทะเลาะวิวาทไม่ต่อยตี ไม่โกหกตัวเอง ดีเขาก็ทำดี มันจะชั่วก็ต้องชั่ว เพราะฉะนั้นบางครั้งเขาสามารถที่จะหยิบผ้าออกจากร่างกายของเด็กที่มีสิทธิ์ที่จะตายได้ และเอาผ้าผืนนั้นไปขายโดยที่ไม่รู้สึกว่าผิดเลย เพราะว่าเด็กก็ต้องตายอยู่แล้ว เด็กที่ถูกเอามาทิ้งที่อุโมงผีผาเมืองเป็นอย่างนี้ทุกวัน วันละคนสองคน สิ่งเดียวที่มันช่วยได้คือ เอาผ้าห่มไปขายเพื่อยังชีพของตัวเอง แต่การช่วยชีวิตเด็กมันก็คงจะไม่ไหว เป็นคนที่ยอมรับความจริงกับตัวเอง ผ่านชีวิตมาเยอะก็เลยสามารถวิเคราะห์คนอื่นได้ ใครพูดจริงใครพูดโกหก
มีวิธีการสร้างคาแร็คเตอร์นี้อย่างไรบ้าง
ก็มีการคุยกันเยอะกับอาจารย์คือหม่อมน้อยเนี่ยนะครับว่าจะสร้างคาแร็คเตอร์ขนาดไหน ก็เป็นคนที่หน้าตาอัปลักษณ์ ต้องแต่งเอฟเฟกต์ที่ตัวทำหน้าทำตา แล้วผมก็ต้องทำเสียงให้แหบนิดหนึ่ง พิการขาเป๋ข้างหนึ่งไม่พอ เอามือหงอย ค่อนข้างที่จะเยอะนิดหนึ่งสำหรับตัวละครตัวนี้ สังเกตดีๆ ก็จะมีอาการสันนิบาต กระตุกบริเวณใบหน้าอยู่ตลอดเวลาในขณะที่พูด ก็เป็นอะไรที่ถูกสร้างขึ้นมา พูดไปกล้ามเนื้อที่ใบหน้าก็กระตุกไป เวลาเดินก็ขาหงอย ใช้แขนได้ข้างเดียวเพราะว่าแขนหงอยไปข้างหนึ่ง ใช้เวลาฝึกซ้อมค่อนข้างเยอะ ก็ต้องมีการค่อยๆ ปรับค่อยๆ เติม ส่วนกล้ามเนื้อกระตุกไปโผล่เอาตอนแสดง ก็ดีน่ารักดีสนุกดี เป็นตัวละครตัวหนึ่งที่น่ารักเลยล่ะ
การซ้อมก่อนการแสดงจริงมีส่วนช่วยมากน้อยแค่ไหน
แน่นอนอยู่แล้วนะครับว่า สิ่งที่สำคัญของการแสดงไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรือภาพยนตร์หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้ก้าวไปสู่ตัวละครได้ 100% ในวินาทีที่เราเดินเข้าไปในฉากแรก นั่นหมายความว่าขั้นตอนการคิด สร้างดีไซน์ บุคลิกลักษณะตัวละครถูกกำหนดขึ้นมาก่อน แต่ของอาจารย์นี่จะลงรายละเอียดลึกไปถึงการตีความในแต่ละฉากด้วย โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นบทประพันธ์ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านให้ความสำคัญกับบทพูดอย่างสูงสุด ผมจำได้สมัยที่เล่นละครเวทีเล่นเป็นโจร ท่านเขียนไว้เลยว่ากรุณาพูดให้ตรงทุกคำพูด เพราะทุกประโยคทุกคำพูดมีความหมายในตัวของมันเองทั้งนั้น คือโน้ตที่หม่อมคึกฤทธิ์ท่านเขียนไว้เลยตอนนั้น ซึ่งเราเอาบทประพันธ์ของท่านมาในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เพราะความหมายของแต่ละคำมีความหมายทุกอย่าง มันมีนัยในแต่ละประโยค แม้กระทั่งคำพูดของ “ลมพัดวูบหนึ่ง” ในตัวโจรที่พูดก็เห็นอะไรได้ตั้งเยอะแยะ สิ่งที่ตัวสัปเหร่อพูดถึง มนุษย์เราคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่เป็นโตของชาติบ้างล่ะ จากปรัชญาที่เป็นจริงในสังคม แต่คนที่มีความสุขคือคนที่ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องเด่นต้องดังหรือต้องรวย ไม่มีอะไรและไม่ต้องหลอกตัวเอง ผมว่าตรงนั้นเขามีความสุขที่สุด เขารวยเขาก็บอกว่าเขารวย ไม่ต้องหลอกตัวเอง
คาแร็คเตอร์เรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นเลย ต้องมีการเมคอัพ มีความลำบากในการแสดงหรือไม่
ผมว่ามันเสริมการแสดงมากกว่าอุปสรรคนะ เพราะว่าเมื่อเรามีรูปร่างที่มันเป็นไปตามต้องการในภาพยนตร์นะครับ ความไม่น่าเชื่อถือของตัวละครตัวนี้ก็ต้องเกิดขึ้นก่อน เพราะว่าความต้องการของตัวละครตัวนี้ คนที่ผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ ความน่าเกลียด ไม่เป็นที่ยอมรับ ความไม่น่าเชื่อถือ ความน่ากลัว ทุกอย่างมันจะค่อยๆ ถูกลดน้อยลง กลายเป็นว่าตัวละครตัวนี้เป็นมนุษย์มากที่สุด เป็นคนมากที่สุด และชั่วน้อยที่สุด เลวน้อยที่สุด ผมว่าตรงนี้สิ่งที่เอฟเฟ็คต์ต่างๆ เกี่ยวกับหน้าตาหรือความพิการต่างๆ มันทำให้ตัวละครตัวนี้มีความน่าเชื่อถือ แต่เรื่องราวต่างๆ ที่ถูกเล่าผ่านตัวละครตัวนี้ จะค่อยๆ สร้างพัฒนาความน่าเชื่อถือความเข้าใจ ความเป็นมนุษย์ผ่านตัวละครตัวนี้ เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับสอนให้รู้ว่าเราอย่ามองเพียงแค่รูปลักษณ์ของคนที่อยู่รอบข้างเรา ผมว่าต้องมองให้ลึกให้เข้าใจว่าอะไรที่มันซ่อนอยู่ในตัวเขา มันคือความดี มันคือความชั่ว อย่ามองเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก มันมีอะไรที่ซ่อนอยู่
การดำเนินเรื่องของตัวสัปเหร่อ
สัปเหร่อเรียนรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคดีนี้ไปพร้อมกับคนดู และวิเคราะห์ทำความเข้าใจผ่านตัวละครตัวนี้ได้มากที่สุด พระคือผู้ที่ไม่ได้รู้อะไรเลย ซึ่งพระเรียนรู้ธรรมะจากคนที่เรียกว่าสัปเหร่อ พระผู้ที่สอนธรรมะเนี่ยกลับต้องเรียนรู้จากคนที่เป็นสัปเหร่อ เพราะฉะนั้นตัวละครตัวนี้ถูกสร้างให้มีความไม่น่าเชื่อถือในตอนแรก หลังจากนั้นก็ค่อยๆ สร้างการยอมรับให้กับคนดู ถ้าเป็นตัวละครเหมือนกันก็คือเป็นการสร้างการยอมรับให้กับพระ ในความเป็นจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ความน่าเชื่อถือกับคนดู สร้างแรงจูงใจให้กับคนดู รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นไปพร้อมกับคนดู
โดยในตัวอุโมงค์ก็เป็นบ้านของตัวสัปเหร่ออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในความแปลกของตัวละครแทบจะไม่มี แต่ในความแปลกของคนตัดฝืนซึ่งมีน้อยกว่าพระ เพราะในขณะที่มีเสียงร้องของสัปเหร่อที่โหยหวน คนตัดฝืนมันรู้และตกใจ นี่คือธรรมแรกที่สอน คือเรื่องของจิตเรื่องของสมาธิ หลังจากนั้นทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่เกิดในถ้ำแห่งนี้ เหมือนเกิดขึ้นในบ้าน มีคนเข้ามาในบ้านของสัปเหร่อ เนื่องจากมาสร้างความรำคาญเพราะนอนอยู่ คนจะหลับจะนอนก็มาพูดให้หนวกหู นั่นก็คือจุดเริ่มต้น แต่มันกลับไปฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น กับตัวละครสองตัวนั้น ได้เรียนรู้ธรรมะ และได้สอนธรรมะให้กับพระองค์หนึ่งซึ่งกำลังที่จะละด้วย
การร่วมงานกับมาริโอ้และหม่ำ จ๊กม๊ก
นักแสดงอาชีพไม่ต้องพูดถึงนะครับ อย่างทั้งสองท่านนี้ก็เคยเล่นหนังด้วยกันมาแล้ว หม่ำนี่ก็จริง ๆเจอกันบ่อยมาก ส่วนมากจะเป็นเรื่องรายการ แต่เรื่องของการแสดงน่าจะเป็นเรื่องแรกที่ทำงานด้วยกัน นักแสดงทั้งสองท่านส่งเสริมฉากให้มันสมบูรณ์ขึ้น ส่งเสริมความเชื่อของตัวละคร สร้างพลังงานให้กับฉากในแต่ละฉาก เป็นนักแสดงอาชีพที่สนุกมากครับ
หม่ำนี่ถือว่าเปลี่ยนคาแร็คเตอร์ไปเลย ทำได้ดี ลบความเป็นหม่ำออกไปได้ไปอย่างหมดจด เล่นเป็นคนตัดฟืนออกมาได้อย่างสวยงาม ซึ่งทำให้ฉากแต่ละฉากที่ได้แสดงร่วมกันมันสมบูรณ์ และพลังงานในแต่ละฉาก ผมเชื่อว่าสามารถสะกดคนดูได้อยู่ทุกครั้งที่ออกมา
จากตอนเล่นละครเวทีพี่อ๊อฟแสดงเป็นอีกตัวละครหนึ่ง
ตอนเล่นละครเวทีเล่นเป็นโจรครับ โดยในขณะที่เราเล่น เราก็จะแอบสังเกตตัวละครสัปเหร่อ เพราะพาร์ทของอุโมงค์ฯ มันมี 2 พาร์ท ของชายป่าที่เป็นเรื่องเล่าของ 3 คน ซามูไร, โจร, ผู้หญิง ในขณะที่ตรงอุโมงค์ประตูผี มันจะมี พระ, คนตัดฟืน, สัปเหร่อ ในขณะที่ตอนซ้อมกัน ฝั่งนี้เล่นเราจะแอบสังเกตดูตัวของสัปเหร่ออยู่ มันได้เรียนรู้ได้ทำความเข้าใจ บางครั้งมันก็วิ่งตาม บางครั้งก็วิ่งนำ เป็นตัวละครที่สนุกมากๆ จริงๆ ตัวละครทั้งหมดในเรื่องผมว่าน่าสนใจหมดนะ และมีคุณค่าในการส่งเสริมตัวภาพยนตร์ให้สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวของแม่มาริโอ้ที่คุณชุดาภาเป็นผู้แสดง แม่ของแม่หญิงก็คือ ท็อป ดารณีนุช และน้องนิวที่เล่นเป็นพี่ของมาริโอ้ ตัวของเจ้าหลวงหรือใครก็ตาม ผมว่าทุกตัวละครได้สร้างความสมบูรณ์ให้กับภาพยนตร์อย่างสมบูรณ์แบบ เราทิ้งตัวละครตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ ทุกตัวมีความสำคัญหมด ผลรวมก็คือส่งเสริมภาพยนตร์ให้มีความสมบูรณ์ครับ
การมาร่วมงานกับอาจารย์ตัวเองกดดันหรือไม่
ไม่เลยครับ เพราะจริงๆ แล้ววผมค่อนข้างที่จะไปเข้าคลาสกับหม่อมบ่อยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนกับการทำคลาสหนึ่งอัน ที่ผ่านเรื่องเทคโนโลยีของกล้อง แต่ปกติเราก็จะซ้อมอยู่เหมือนเป็นอะไรก็ได้ ผมค่อนข้างจะเข้าไปคุยกับหม่อมบ่อยของเรื่องไดเร็กชั่น หรืออีกอาชีพหนึ่งของผู้กำกับจะต้องเข้าเรียนรู้วิธีที่จะให้เขาแสดง มันไม่ใช่วิธีแสดงแล้วจากที่ตัวเองไปเรียนกับหม่อม แต่เป็นเพื่อให้เป็นเขาแสดงให้ได้ เพื่อให้เขากระทำออกมาให้ได้ ได้กระทำสิ่งที่เราต้องการออกมาให้ได้ มันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อาจารย์เขาสอนให้ เราต้องไปเรียนรู้เราต้องไปปรับความเข้าใจ
ความน่าสนใจโดยรวมของอุโมงค์ผาเมือง
จากที่ผมได้ดูแล้ว สิ่งที่ผมประทับใจมากๆ ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ของหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ คือความเป็นพุทธบูชา หม่อมพยายามให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นพุทธบูชา เป็นธรรมะที่สอนให้กับคน เป็นภาพยนตร์ที่แปลกและใหม่จากละครเวที จากภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่เราเคยดู นั่นคือการสร้างภาพยนตร์ไทยหนึ่งเรื่องวัตถุประสงค์ก็เพื่อพุทธบูชา เป็นความรู้สึกที่ผมชอบมากๆ ผมว่านี่ก็เพียงพอที่จะทำให้เราควักเงินในกระเป๋ามาดูหนังดีๆ หนึ่งเรื่องได้ ซึ่งผมก็ภาวนาทุกครั้งว่าเมื่อหนังแปลกๆ ใหม่ๆ แบบนี้ออกมาก็ขอให้รายได้เยอะๆ เพราะเราจะได้มีแรงที่จะทำหนังที่มันแปลกและจะได้มีผลไปถึงคนดูที่จะเลือกดูอะไรที่มันแตกต่างที่ไม่ได้มีอยู่ทั่วๆ ไปที่เขาเรียกว่าเป็นแมส แต่ว่าการเป็นตัวเลือกมันก็เป็นอะไรที่น่าค้นคว้าและน่าค้นหาอย่างหนึ่งครับ