กรุงเทพฯ--24 ส.ค.--สหมงคลฟิล์ม
บทบาท-คาแร็คเตอร์และการดำเนินเรื่อง
เรื่องนี้ผมรับบทเป็น “คนตัดฟืน” เป็นคนดี เป็นคนหาเช้ากินค่ำ เลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า เรื่องนี้ก็จะสะท้อนด้านลึกๆ ของคนเลยนะ คือต้องบอกก่อนว่าเรื่องนี้ผมค่อนข้างซีเรียสเลยนะ ดราม่าจัดเลยแหละ หม่อมเค้าอยากให้เป็นอย่างงั้น ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับผมมากเลยนะ ผมว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดตั้งแต่ผมเล่นมา แต่ผมกลัวคนไม่เชื่อกับหน้าตาโลโก้ของผมเนี่ย กลัวคนไม่เชื่อความเป็นซีเรียสของผมน่ะ หม่อมน้อยอยากให้หม่ำเปลี่ยนบุคลิก แต่ผมไม่รู้ว่าคนจะรับผมหรือเปล่านะ แต่ด้วยเนื้อหนังทั้งหมด หนังดีเลยล่ะ ผมไม่เคยเล่นหนังอย่างนี้มาก่อนเลย ตัดสินใจอยู่นานเลยล่ะตั้งแต่หม่อมมาชวน เพราะมันผิดลุคผิดอะไรหลายๆ อย่างกับตัวเราเอง ผมกลัวคนจะไม่เชื่อ เพราะคนติดภาพผมไปแล้วว่าต้องเป็นคนฮาๆ ทะลึ่งตึงตัง พอมาเล่นบทอย่างนี้มันก็ท้าทายดี เออ หม่อมคงเห็นอะไรในตัวเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนแรกก็จะปฏิเสธไปเหมือนกัน แต่พอมานั่งคิดดูแล้ว เราก็ไม่เคยเล่นหนังที่คนคาดคิดไม่ถึงอ่ะ เอาก็เอาครับหม่อม
เรื่องนี้พลิกคาแร็คเตอร์ไปเลย
เรื่องนี้พลิกคาแร็คเตอร์ไปมากเลย ไม่มีความเป็นหม่ำเลยแหละแต่จะเป็นคนตัดฟืนเลย เป็นคนที่มีความผูกพันกับครอบครัว เป็นคนที่รักครอบครัวมาก แล้วเราก็เป็นคนกำความลับของคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในเรื่องเลย แล้วก็มี “น้าอ๊อฟ พงษ์พัฒน์” เล่นเป็น “สัปเหร่อ” อยู่ในอุโมงค์คอยขยี้เรื่องให้มันแตกให้มันเห็นทั้งหมด ซึ่งบทน้าอ๊อฟก็หนักเหมือนกัน เล่นอย่างมืออาชีพเลย บทเนี่ยจำได้ทุกหน้าเลย อย่างผมนี่ยังต้องใช้บอร์ดช่วยอยู่หลังกล้องเลย ผมจำบทไม่ค่อยได้ แต่น้าอ๊อฟนี่จำบทได้แม่นทุกอันเลย มาริโอ้ก็แม่นทุกอันเหมือนกัน แต่ผมไม่เคยเล่นหนังที่ไดอะล็อกเยอะ และเป็นแบบคำต่อคำอย่างนี้เลย ขนาดท่องมาแล้วยังลืมเลย ไม่เคยเล่นหนังที่มีบทโล้นๆ แบบนี้เลย ก็เลยขอหม่อม หม่อมครับผมว่าผมคงไม่ไหวนะครับ ผมคงจะจำบทขนาดนี้ไม่ได้ ก็เลยต้องขอบอร์ดให้ติดบทไว้อยู่หลังกล้องเลย แต่ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี
การร่วมงานกับหม่อมน้อย
หม่อมน้อยแกเป็นคนละเอียด ไม่แปลกใจเลยที่หนังหม่อมแกทักจะได้รางวัลอยู่บ่อยๆ หนังหม่อมจะเป็นหนังกล่องอยู่ทุกเรื่อง ความถี่ในภาพยนตร์ของหม่อมน้อยนี่ละเอียดยิบมากเลย เท่าที่ผมแอบดูการทำงานของแกนะ เสื้อผ้าที่เค้าใส่มานะ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็นนะ เสื้อผ้าดำหมดอ่ะ สงสารคนซักเสื้อมาก เพราะแกขลุก แกนอน นอนขลุกเวลากำกับตลอด หม่อมเค้าเป็นคนทุ่มเทมากๆ เป็นคนเอาจริงเอาใจมาก ไม่ใช่แค่นั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ นอนก็นอให้ดู กลิ้งก็กลิ้งให้ดูเลย สงสารคนซักเสื้อผ้านะหม่อมนะ (หัวเราะ) เห็นการทำงานของแกแล้วมืออาชีพจริงๆ แกคิดมาตั้งแต่ไดอะล็อก มุมกล้อง แกคิดอยู่ในหัวของแกมาหมดแล้ว เค้าสแกนไว้หมดแล้ว เค้ารู้เลยว่าจะถ่ายอะไรยังไง คือทำการบ้านอยู่ในหัวมาหมดแล้ว เป็นคนละเอียดมาก
สำหรับหนังดราม่าจัดๆ เรื่องนี้ พี่หม่ำหนักใจมากน้อยแค่ไหน
ตอนแรกก็หนักใจมากเลย กลัวจะทำไม่ดี กลัวจะทำหม่อมน้อยผิดหวัง ก็พูดกับหม่อมอยู่ว่า คนจะเชื่อเหรอหม่อม หม่อมก็พูดตลอดว่า หม่ำเชื่อเราสิ หม่ำมืออาชีพ หม่ำทำได้อยู่แล้ว แล้วหม่อมก็บอกว่า หม่ำทำดีกว่าที่เราคิดไว้อีก แต่ผมก็ยังเครียดอยู่ ด้วยหน้าตาของผม พอมาเล่นซีเรียส ผมไม่รู้ว่าคนจะเชื่อมั้ย จะโดนตีกลับหรือเปล่าไง หม่อมก็สอนการแสดง ให้เก็บอารมณ์ลึกๆ อมยิ้มทางสายตา ปรับโทนเสียง ปรับคีย์เสียง ละเอียดขนาดนั้นเลยนะ บางคนก็นึกไม่ถึงเลยนะ ให้เอาตายิ้ม แล้วใจมีความสุขน่ะ เราไม่ต้องออกที่ปากก็ได้ ซึ่งมันไม่แปลกเลยที่หม่อมจะมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะ คนที่เป็นนักแสดงจริงเนี่ย เราต้องรู้นะว่าเราเป็นอะไร แล้วเราก็จะรู้ว่าเราคืออะไร แล้วมันจะตีแตกออกสำหรับตัวละครตัวนั้น เราต้องตีคาแร็คเตอร์ตัวเองให้ถูกก่อน ไม่ใช่มาเล่นเป็นหม่ำ ก็ไม่ใช่ นี่คือความหมายของหม่อมนะ เท่าที่ผมฟังจากหม่อมนะ เพราะแกมีความละเอียดทางด้านการแสดงมาก ซึ่งแต่ละคนที่ไปที่บ้านหม่อม ผมเห็นลูกศิษย์ลูกหาแกมืออาชีพทั้งนั้นและก็ยังอยู่ในวงการทั้งนั้น ก็แสดงว่าอยู่ได้ด้วยฝีมือจริงๆ ผมเห็นทั้งรุ่นพี่ๆ น้องๆ ที่เป็นลูกศิษย์หม่อมน้อยเนี่ย ยังมีชื่อเสียงอยู่จนทุกวันนี้ เพราะมาตรฐานทางการแสดง เพดานการแสดงเค้าสูง ผมมาเล่นหนังเรื่องนี้ ผมดีใจมาก เหมือนได้จบปริญญาเอกมหาวิทยาลัยหม่อมน้อย ผมรู้สึกแบบนั้นนะ ถึงคะแนนผมจะไม่ดี แต่ผมก็จบที่นี่
การทำงานกับหม่อมน้อย ผมได้รู้อะไรเพิ่มเติมหลายๆ อย่างเลย ได้พัฒนาตัวเอง ได้รู้เรื่องราวจากหนังหม่อมเนี่ย เส้นเรื่องแกนเรื่องหรือเรื่องราวที่ต้องเดินไปเนี่ยมันจะต้องลื่นไหลกลมกลืนและก็ต้องลิงก์กันอย่างดีในการถ่ายทอดภาพยนตร์เนี่ย ไม่รู้สิ ผมว่าผมทำงานกับหม่อมน้อยแล้วผมได้อะไรกลับมาเยอะมากจริงๆ
ก่อนถ่ายเรื่องนี้ พี่หม่ำก็ต้องไปซ้อมการแสดงกับหม่อมน้อยด้วย
ใช่ครับ ชีวิตผมเนี่ยไม่เคยเลยนะ ทั้งถ่ายหนังถ่ายโฆษณา แต่นี่หนังหม่อม ผมยอม ไปลองซ้อมแต่งหน้าใส่เสื้อผ้า เล่นจริงซ้อมจริง ขนาดถ่ายภาพนิ่งแกยังจริงเลย หม่ำๆ หน้าๆๆ หน้าหม่ำยังไม่เศร้าพอ นี่ขนาดภาพนิ่งนะ ถือขวานถือดาบถือมีดตัดฟืนเนี่ย ต้องให้อินสุดๆ กับภาพนั้น ผมถึงบอกว่าผมได้อะไรจากหม่อมมากๆ เลย เหมือนอาจารย์ สุดยอดปรมาจารย์ตั๊กม้อเจ้าของเกาะดอกท้อจริงๆ มันทำให้ผมได้พัฒนาขึ้นอีกเยอะเลย การทำงานหน้ากองก็ลื่นไหลไปได้เร็ว อย่างที่ผมบอกไงผมเกือบตัดสินใจพลาดที่ไม่เล่นหนังเรื่องนี้ พอผมเล่นหนังเรื่องนี้ เหมือนผมจบด๊อกเตอร์ทางการแสดงเลย ขอบคุณหม่อมน้อยมากๆ ครับ มีเรื่องใหม่ขออีกนะครับ
ผมว่าตัวผมเองยังต้องพัฒนาอีกเยอะ ถ้าเล่นหนังในแนวอย่างงี้นะ แต่ถ้าไม่ใช่หม่อมน้อยผมก็ไม่เล่นอีกแหละ ถ้าเป็นหม่อมผมถึงอยากเล่นอีกนะ แต่ยังไงผมก็ยังต้องพัฒนาขึ้นอีกเยอะ เพราะบางทีอารมณ์มันไม่ปะติดปะต่อไม่คอนทินิว พวกนี้มันต้องเข้าใจด้วย ผมไม่เคยเล่นแบบนี้ อย่างเรื่อง “เฉิ่ม” ผมก็ว่าหนักแล้วนะ พอมาเจอเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” นี้ หนักกว่าอีกนะ
การแสดงร่วมกับพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
โดยส่วนตัวก็สนิทกันกับน้าอ๊อฟอยู่แล้ว ได้เห็นความเป็นมืออาชีพของพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจงเนี่ย โอ้ววว ก็ไม่แปลกที่เค้าจะได้รางวัลการแสดง บทเป๊ะมากๆ ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน แล้วก็สงสารเค้ามากๆ เล่นด้วยกันแล้วเค้าต้องเมคอัพหน้าเละๆ ไม่บอกว่าเป็นพงษ์พัฒน์ก็ดูไม่ออกกันเลยล่ะ ต้องคุ้นเสียงถึงจะจำได้ และเวลาเล่นเค้าก็ต้องตะโกนอยู่ตลอดทุกคัททุกซีนเลยอ่ะ คือสงสารแกเลย แต่แกก็ยังเล่นได้ตลอดแบบมืออาชีพจริงๆ ยอม ขอยอมกับผู้ชายที่ชื่อพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจงเลย
การแสดงร่วมกับมาริโอ้ เมาเร่อ
มาริโอ้นี่ก็อีกคน คือเราจะเล่นร่วมกันสามคน มาริโอ้นี่แกแม่น บทเป๊มากๆ มืออาชีพเหมือนกัน ซึ่งเรารู้สึกอ๊ายอายต้องดูบอร์ดเนี่ย เราละอายมาก ตอนเล่นเราก็ทำหน้านิ่งๆ หันไปมา แต่จริงๆ หันไปดูบอร์ดนะ (หัวเราะ) เคยเล่นกับมาริโอ้เรื่อง “สาระแนเห็นผี” เรื่องนั้นก็สบายๆ มาริโอ้ก็เป็นคนเส้นตื้นอยู่แล้ว เค้าไม่รู้ว่าเราจะเล่นมุกอย่างงี้ เค้าก็ขำ แต่พอมาเรื่องนี้เล่นอย่างนั้นไม่ได้สิ เพราะเค้าเล่นเป็นพระ แล้วก็ต้องอินกับบทด้วย ต้องเป๊ะตามนั้น การแสดงของมริโอ้ในเรื่องนี้ถือว่าเซียนได้เลย มาริโอ้เค้าเล่นแต่หนังวัยรุ่นๆ มา พอมาเจอเรื่องนี้เนี่ยหินมากสำหรับเค้าเหมือนกัน มันต้องสำรวม ต้องนิ่ง และคำพูดเนี่ยต้องเหมือนคนที่มีธรรมะล้น เปล่งประกายอยู่ในตัวเอง หม่อมเค้าคงมีวิธีให้มาริโอ้เป็นพระจริงๆ เป็นพระที่แบบผ่อง ธรรมพแตกฉานประมาณนั้นเลย
ฉากในอุโมงค์เป็นอย่างไรบ้าง
ฉากส่วนใหญ่ผมอยู่แต่ในอุโมงค์นะ มันเย็นนะ ตอนแรกนึกว่าจะร้อน ผมก็ไม่เคยเข้าถ้ำนะ แต่วันแรกที่ไปถ่ายก็อึดอัดเหมือนกันนะ ถ้ำเชียงดาวที่เชียงใหม่นี่แหละ เข้าไปก็กลัวๆ อยู่เหมือนกัน ผมก็ไม่กล้สให้เมียผมเข้าไปดุ กลัวเค้าจะกลัว ไอ้ที่กลัวที่สุดคือกลัวมันถล่มไง แถวนั้นมันมีแผ่นดินไหวอยู่ไง ผมล่ะเซี้ยวเสียว ด้านงานสร้างฉากเนี่ย ผมว่าหม่อมเค้ามีจินตนาการมาก่อนแล้ว เราเข้าไปแรกๆ ผมเห็นสายน้ำ ก็นึกว่าน้ำตก แต่ไม่ใช่ มันเป็นสายน้ำที่หม่อมให้คนขึ้นไปทำ ผมก็นึกว่าเป็นน้ำตกจริงในถ้ำซะอีก ที่ไหนได้สร้างขึ้นมาหมดเลย ซึ่งก็สวยงามมากทุกๆ ฉากเลยครับ
ความน่าสนใจโดยรวมของเรื่องนี้
ผมว่าเสน่ห์โดยรวมของหนังเรื่องนี้ ด้วยภาพ ด้วยเรื่องราว ด้วยดีไซน์ที่มันพีเรียดกลับไปหลายๆ ร้อยปีเนี่ย มันเป็นหนังที่น่าสนใจมาก กับเรื่องราวของคน จิตใจของคน ความซ่อนเร้นของคนแต่ละคน ผมว่าหม่อมน้อยคงจะสื่อในเรื่องของจิตใจของคน ซึ่งมันจะพูดจริงก็ได้ พูดไม่จริงก็ได้ จะเป็นคนดีก็ได้ภายในวันนั้น จะเป็นคนชั่วก็ได้ภายในวันนั้น มันเป็นอารมณ์ลึกๆ ของคนแต่ละคนที่มีจิตใจเหมือนคนยุคนี้ คือดูสนุกด้วย ได้แง่คิดด้วย ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ด้วยว่าคิดอะไรอยู่กับคนที่เดินผ่านมาผ่านไป ซึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์ลึกๆ ที่อยู่ด้านในจิตใจว่าจะพูดจริงหรือไม่จริงนะครับ น่าติดตามมากครับ