กรุงเทพฯ--29 ส.ค.--บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
บลจ. ทิสโก้ ชี้เศรษฐกิจ “สหรัฐ-ยุโรป” ส่งสัญญาณชะลอตัวหลังวิกฤติการคลังสหรัฐฯ และวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปลุกลาม ยังเชื่อมั่นเศรษฐกิจเอเชียโดยเฉพาะจีนยังมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง หลังเงินเฟ้อลดความร้อนแรงในครึ่งปีหลัง แนะนักลงทุนลุยหุ้นจีนเก็บของถูกและเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนสูง เตรียมออกกองซีรีย์สตรัคเจอร์ฟันด์ใหม่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ลิงค์ ฟันด์ 5” รับเงินต้นคืนเมื่อครบอายุ 1 ปีครึ่ง และลุ้นผลตอบแทนสูงอิงดัชนีหุ้นจีนที่คาดว่าจะฟื้นตัว เตรียม IPO สัปดาห์หน้า
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Theeranat Rujimethapass, Managing Director of TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า ทิศทางของเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลังนับว่ายังอาจจะมีความผันผวน แม้ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาจะส่งสัญญาณการขยายตัวที่ดี แต่ในไตรมาสที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยลบต่างๆ เช่น แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น วิกฤติหนี้ในยุโรป วิกฤติการคลังในสหรัฐอเมริกาและการปรับลดความน่าเชื่อถือ จึงทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงที่สหรัฐฯ และยุโรปอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่เศรษฐกิจในเอเชียยังมีแนวโน้มเติบโตดี โดยเฉพาะประเทศจีน โดย บลจ. ทิสโก้ แนะนำนักลงทุนให้หันมาพิจารณาเพิ่มพอร์ตการลงทุนในเอเชียมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทน และเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ เศรษฐกรอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Dr.Kampon Adireksombat, Senior Economist, TISCO Economic Strategy Unit) กล่าวในรายละเอียดว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็นไปอย่างเชื่องช้า ดังเห็นได้จากอัตราการว่างงานที่ลดลงช้ามากในช่วงสองปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงประมาณ 9% อีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐได้ใช้ทั้งนโยบายการเงินที่เน้นใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำใกล้ศูนย์ และใช้ในโยบายการคลังเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ทำให้การขาดดุลทางการคลังอยู่ในระดับสูงมาก ส่งผลให้ต้องเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ ซึ่งเงื่อนไขในการขึ้นเพดานหนี้สาธารณะก็คือต้องตัดลดรายจ่าย แต่แผนการลดรายจ่ายของรัฐที่ออกมาน้อยกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ทำให้ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือจากระดับ AAA เหลือ AA+ การลดการขาดดุลที่ประกาศโดยรัฐบาลสหรัฐนี้เองทำให้แรงกระตุ้นจากภาคการคลังหายไป ซึ่งน่าจะส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจช้าลงไปอีก สำหรับนโยบายการเงินนั้น ธนาคารกลาง (เฟด) ได้ประกาศว่าจะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับใกล้ศูนย์จนถึงกลางปี 2013 โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ คาดว่าโอกาสที่จะมีมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) นั้นมีค่อนข้างน้อย
ในขณะที่เศรษฐกิจในประเทศแถบยุโรป ก็ยังเผชิญปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะ และไม่น่าจะจบในเร็ววัน โดยเฉพาะโปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ กรีซ และสเปน ที่มีหนี้สาธารณะต่อ GDP ในอัตราที่สูงมาก โดยที่ผ่านมาสหภาพยุโรป (EU) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ร่วมกันจัดตั้งของกองทุนสนับสนุนเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) เพื่อให้เงินกู้แก่รัฐบาลของประเทศที่เกิดวิกฤติ โดยมีแผนที่จะเพิ่มเงินช่วยเหลือเป็นจำนวน 4.4 แสนล้านยูโร จากปัจจุบัน 2.5 แสนล้านยูโร แต่อย่างไรก็ตาม เม็ดเงิน 4.4 แสนล้านยูโรก็ยังไม่เพียงพอทีจะช่วยเหลือประเทศทั้ง 5 ประเทศดังกล่าวได้หมดหากมีปัญหารุนแรงเกิดขึ้นจริงๆ
“จากเหตุการณ์ทั้งหมด ทำให้คาดการณ์ได้ว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป น่าจะยังมีปัญหาเรื่องการฟื้นตัวที่เป็นไปอย่างเชื่องช้าอยู่ต่อไป”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เศรษฐกิจโลกเกิดความผันผวน แต่สำหรับเศรษฐกิจในเอเชียนั้นนับว่ายังมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างดี เช่น จีนซึ่งนโยบายลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจโดยรัฐบาลจีนนั้นเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจน และน่าจะทำให้เศรษฐกิจจีนค่อยๆ ชะลอตัวลง (soft landing) แต่ยังคงมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศในยุโรปค่อนข้างมาก
นายธีรนาถ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว บลจ.ทิสโก้ จึงประเมินว่าในตอนนี้นับเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่นักลงทุนจะทำการเพิ่มพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อของภูมิภาคเอเชียเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้เพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้มากขึ้น ประกอบกับศักยภาพการเติบโตทั้งเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าเอเชียจะเป็นภูมิภาคที่แข็งแรงสุดในโลก โดยประเทศที่มีความโดดเด่นที่สุดยังคงเป็นประเทศจีน เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมของจีนยังมีการขยายตัวในอัตราที่สูง และปัญหาเงินเฟ้อคลี่คลายอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงวงจรอาหารช่วงขาขึ้นของจีนใกล้ยุติ รวมถึงราคาสินค้า Soft Commodity เริ่มปรับลดลง จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนยังคงมีแนวโน้มที่ดี และเหมาะที่นักลงทุนจะเลือกเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุน
“บลจ.ทิสโก้ เชื่อว่าตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดที่มี Upside สูงสุด และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นจีนจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่คลี่คลายลงในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นจีนตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมาจบลง โดยหากพิจารณาจากระดับราคาที่ซื้อขาย ณ ปัจจุบัน พบว่าราคาหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกงมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา โดย PE ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 8-9 เท่า เทียบกับอดีตที่อยู่ 14 เท่า จึงเป็นตลาดที่ถูกที่สุดในเอเชีย”
โดยที่ผ่านมา บลจ.ทิสโก้ ได้ออกผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นจีนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล้วนได้รับความสนใจที่ดีจากนักลงทุน อาทิเช่น “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่าH-Sharesอิควิตี้ (TISCO China H-Shares Equity Fund)” ซึ่งเป็นกองอีทีเอฟที่เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำของประเทศจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง โดยมุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Hang Seng China Enterprises (HSCEI) โดยจุดเด่นของกองทุนอยู่ที่สภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ รวมถึงกองทาร์เก็ตฟันด์ที่ลงทุนในหุ้นจีนอีกหลายซีรีย์ อาทิ “ทิสโก้ เกรทเทอร์ ไชน่า ทริกเกอร์” และ “เอเชีย ลีดเดอร์ ทริกเกอร์” โดยบางกองได้สร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายและได้ปิดกองคืนเงินผู้ถือหน่วยไปแล้วนั้น
และล่าสุด หลังจากที่ บลจ.ทิสโก้ ได้ออกกองสตรัคเจอร์ฟันด์อิงดัชนีหุ้นจีน ได้แก่ซีรีย์กองทุน “ไชน่า ลิงค์ ฟันด์” ไปเมื่อต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากนักลงทุนนั้น ในสัปดาห์หน้า บลจ.ทิสโก้ เตรียมเสนอขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ลิงค์ ฟันด์ 5 (TISCO China Link Fund #5)” รองรับความต้องการของนักลงทุนอีกครั้ง โดยเป็นกองทุนรวมผสมที่มีจุดเด่นอยู่ที่ความเสี่ยงไม่สูง ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีในสัดส่วนที่สามารถจะคืนเงินต้นให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเมื่อครบอายุกองทุน (ไม่รวมค่าธรรมเนียม) และที่สำคัญ กองทุนดังกล่าวยังแบ่งเงินลงทุนบางส่วนไปลงทุนในออปชั่นอิงดัชนีหุ้นจีน HSCEI เพื่อเพิ่มโอกาสรับตอบแทนสูงโดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้นจีนอีกด้วย โดยมีอายุกองทุนประมาณ 1 ปี ครึ่ง เตรียมเสนอขายครั้งเดียวในวันที่ 29 สิงหาคม — 5 กันยายนนี้ ลงทุนขั้นต่ำ 20,000 บาท ที่ บลจ.ทิสโก้ และธนาคารทิสโก้ทุกสาขา โดยผู้สนใจติดต่อได้ที่ TISCO Call Center โทร. 02-633-6000 กด 4
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
สื่อมวลชนสอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายนิเทศสัมพันธ์ บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป โทร. 02 633 6906