กรุงเทพฯ--31 ส.ค.--ฮอนด้า
? เริ่มเดือนกันยายน โรงงานเดินเครื่องเต็มกำลัง 2 สายการผลิต 2 กะ ครั้งแรกตั้งแต่เปิดดำเนินงานในไทย
? คาดรถยนต์ใหม่ปี 2554 ถึง 920,000 คัน เพิ่มจาก 800,000 คันในปี 2553
? ความต้องการรถยนต์ซับ-คอมแพ็คท์ และคอมแพ็คท์ยังขึ้นต่อเนื่อง
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทำยอดขายรถยนต์ได้ 127,200 คันภายในสิ้นปีนี้ สูงกว่ายอดขายปี 2553 ที่ขายได้ 114,056 คัน นอกจากนั้น ยังคาดการณ์ว่า จำนวนรถยนต์ใหม่ในตลาดประเทศไทยน่าจะมียอดรวมถึง 920,000 คันในปีนี้ โดยวิเคราะห์จากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่เป็นบวก
มร.อาซึชิ ฟูจิโมโตะ ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป การผลิตรถยนต์ที่โรงงานในจังหวัดอยุธยาจะปรับเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต รวมสองสายการผลิตและสองกะ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เปิดทำการผลิตในประเทศไทย โดย ทุกสายการผลิตจะเดินเครื่องเต็ม 100% ประกอบรถยนต์ฮอนด้าทุกรุ่น โดยเฉพาะฮอนด้า บริโอ้ รวมวันละ 1,000 คัน เพื่อให้ทันกำหนดส่งมอบลูกค้าในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ”
มร.ฟูจิโมโตะ กล่าวว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระยะยาวของไทยยังคงแข็งแกร่ง ดัชนีชี้วัดสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจหลายตัวแสดงว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ปรับตัวสูงขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไป ค่าเงินบาทแข็งแรงอยู่ตัว เงินเฟ้ออยู่ในความควบคุม ตลาดหุ้นมีการซื้อขายคึกคักมากขึ้น เช่นเดียวกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”
ความนิยมที่ผู้บริโภคมีต่อรถยนต์ฮอนด้าอย่างท่วมท้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ส่งผลให้บริษัททำยอดขายได้ 46,370 คัน สูงกว่าเป้าหมายครึ่งปีซึ่งตั้งไว้ที่ 45,000 คัน ยอดขายฮอนด้า ซิตี้ ฮอนด้า ซีวิค และฮอนด้า แจ๊ซติดอันดับท็อปทรีรถที่ขายดีที่สุดในช่วงหกเดือนแรกของปี และคิดเป็นส่วนแบ่งประมาณ 80% ของยอดขายรถยนต์ฮอนด้าทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว
มร.ฟูจิโมโตะกล่าวว่า การสร้างตำแหน่งของแบรนด์ฮอนด้า และ การเป็นผู้นำตลาด เกิดจากองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ คือ ผลิตภัณฑ์ที่ชนะใจผู้บริโภค, กลยุทธ์มอบบริการที่เหนือระดับสำหรับลูกค้า, ความสัมพันธ์กับผู้จำหน่าย และ ความเป็นแบรนด์ระดับโลกที่เข้าใจความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
เพื่อรองรับความต้องการด้านบริการหลังการขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ฮอนด้าได้ลงทุนไปกว่า 1,700 ล้านบาท เพื่อขยายเครือข่ายผู้จำหน่าย ปัจจุบัน บริษัทฯ มีเครือข่าย ผู้จำหน่ายทั่วประเทศอยู่ 195 ราย และตั้งเป้าจะขยายเพิ่มเป็น 250 รายภายในปี 2555 เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ารับบริการที่โชว์รูมของฮอนด้าได้ง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
มร.ฟูจิโมโตะยังได้ระบุถึงแนวโน้มที่ปรากฏขึ้นหลายอย่างในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งสนับสนุนการคาดการณ์ในเชิงบวกของบริษัทที่มองว่า ปีนี้ตลาดรถยนต์ภายในประเทศจะมีความต้องการรถยนต์รวม 920,000 คัน และจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 9% ไปแตะที่ 1 ล้านคันในปี 2555
“จากผลการวิจัยของเรา ความต้องการรถยนต์นั่งทั้งในประเภทซับ-คอมแพ็คท์และคอมแพ็คท์ ทำให้มียอดขายรถยนต์คิดเป็น 79% ของยอดขายรถยนต์นั่งทั้งหมดในปี 2553 และมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันในปี 2554 และ 2555 รถขนาดซับ-คอมแพ็คท์มีส่วนแบ่งประมาณ
50% ของยอดขายรถยนต์นั่งรวมในประเทศไทย ในขณะที่รถยนต์ขนาดคอมแพ็คท์ครองส่วนแบ่งประมาณ 1 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมด” มร.ฟูจิโมโตะกล่าว
มร.ฟูจิโมโตะ กล่าวต่อว่า ขนาดของตลาดรถยนต์นั่งเอ-เซ็กเมนต์ ซึ่งเป็นตลาดที่ฮอนด้า บริโอ้ ใหม่แข่งขันอยู่ มีการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า นับตั้งแต่รถยนต์อีโคคาร์รุ่นแรกเข้าสู่ตลาดเมืองไทยในปี 2553 โดยคาดว่าตลาดรถยนต์ในเซ็กเมนต์นี้จะมีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า
มร.ฟูจิโมโตะ เปิดเผยว่า จนถึงวันนี้ ฮอนด้า บริโอ้มียอดจองมากกว่า 8,000 คันแล้ว นับแต่เปิดตัวครั้งแรก ทำให้กลายเป็นรถที่ขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งของฮอนด้า และได้มีการส่งมอบให้ลูกค้าไปแล้วราว 2,500 คัน โดยภายในสิ้นปีนี้ บริษัทฯ จะส่งมอบฮอนด้า บริโอ้ให้ลูกค้าให้ได้ทั้งสิ้น 17,000 คัน
“ฮอนด้า บริโอ้ยังคงเป็นรถอีโคคาร์ยอดนิยม จะเห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่สั่งจองในแต่ละวัน เนื่องจากบริโอ้เป็นรถที่ราคาย่อมเยา ประกอบกับความเป็นแบรนด์ฮอนด้าทำให้กลายเป็นรถอีโคคาร์ที่คุ้มค่า คุ้มราคาเป็นพิเศษ นอกจากนี้การสื่อสารทางการตลาดของบริษัทฯ จะมุ่งเน้นจุดเด่นของฮอนด้า บริโอ้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางที่มีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีความปลอดภัย สมรรถนะการควบคุมการขับขี่ ห้องโดยสารและอุปกรณ์มาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถุงลมคู่หน้า และระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS ในทุกรุ่น ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ด้านความปลอดภัยสำหรับรถยนต์นั่งในกลุ่มนี้” มร.ฟูจิโมโตะกล่าว
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์นั่งที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย ฮอนด้ามีโรงงานผลิตรถยนต์ระดับโลกอยู่ 2 แห่ง ตั้งอยู่บริเวณติดกันในจังหวัดอยุธยา โรงงานทั้งสองมีกำลังผลิตรวมกัน 240,000 คันต่อปี มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของฮอนด้า รองจากโรงงานในญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน แคนาดา และสหราชอาณาจักร มีพนักงานประจำโรงงานประมาณ 5,000 คน