กรุงเทพฯ--13 มิ.ย.--ปตท.
ปรับราคาขึ้น/ลงตามความเหมาะสม ตามปัจจัยราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และสถานการณ์ในตลาดโลก
นายอภิสิทธิ์ รุจิเกียรติกำจร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.ได้มีการปรับราคาน้ำมันขายปลีกขึ้นและลดลงตามความเหมาะสมมาโดยตลอด ซึ่งมีปัจจัยในการพิจารณา 3 ปัจจัย คือ ตามต้นทุนราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดโลกที่จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน เช่น ความเคลื่อนไหวกลุ่มโอเปก สถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคต่างๆ การเปลี่ยนแปลงปริมาณสำรองน้ำมันของโลก เป็นต้น และในบางครั้ง ปตท.ได้เข้าไปช่วยตรึงราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ โดยชลอการปรับราคาขึ้นเมื่อต้นทุนน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นมาก
สำหรับค่าการตลาดเฉลี่ยของปี 2545 (ม.ค.45 - ปัจจุบัน) อยู่ที่ 1.32 บาท/ลิตร ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมที่ผู้ประกอบการจะสามารถดำเนินธุรกิจไปได้ และในช่วงเดือนมิถุนายน (1-12 มิ.ย.45) ค่าการตลาดเฉลี่ยของ ปตท.อยู่ในระดับที่ 1.34 บาท/ลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับค่าการตลาดเฉลี่ยของปี 2545 ดังกล่าวเบื้องต้น และเมื่อพิจารณาในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา นับจากวันที่ ปตท.พิจารณาปรับราคาขายปลีกลงครั้งล่าสุด (31 พ.ค.45) จนถึงปัจจุบัน (12 มิ.ย.45) ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีการปรับลดลงไม่มาก กล่าวคือ น้ำมันดิบดูไบ ลดลงจาก 23.35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็น 23.08 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้ำมันเบนซิน95 จาก 28.30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็น 27.80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 0.50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (หรือประมาณ 14 สตางค์/ลิตร) น้ำมันดีเซลจาก 27.10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็น 26.58 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 0.52 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (หรือประมาณ 14 สตางค์/ลิตร)
นายอภิสิทธิ์ กล่าวยืนยันในตอนท้ายว่า การพิจารณาปรับราคาน้ำมันขายปลีกของ ปตท.ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงตามปัจจัยดังกล่าวข้างต้น และมีการดูแลผู้บริโภคเสมอมา ในขณะเดียวกันค่าการตลาดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่สูงไปจนเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค และไม่น้อยไปจนผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้--จบ--
-สส-