กรุงเทพฯ--6 ก.ย.--มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคที่เริ่มเข้ามาชินหูของคนไทยมากยิ่งขึ้น คนที่เป็นโรคนี้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ก็จะต้องเสียชีวิตในที่สุด และเป็นโรคที่ใช้ค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงมาก
รศ.นพ.ชเนนทร์ วนาภิรักษ์ หัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียสูงถึงกว่า 600,000 คน และพบว่ามีคนไทยที่เป็นพาหะของโรคนี้ จำนวนถึง 24 ล้านคนทั่วประเทศ และพบว่าทุกๆ 1,000 รายของหญิงตั้งครรภ์ จะให้กำเนิดบุตรที่เป็นโรคธาลัสซีเมียแบบชนิดร้ายแรงรวม 6-8 คน ซึ่งเป็นสถิติที่น่าใจหาย และส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย ญาติพี่น้อง และเศรษฐกิจของประเทศชาติเป็นอย่างมาก ทำให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) เริ่มมีการศึกษาค้นคว้าและวิจัย เพื่อควบคุม ป้องกัน และรักษาโรคธาลัสซีเมียให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ มช.เป็นผู้นำและศูนย์กลางในการควบคุม ป้องกันและรักษาโรคธาลัสซีเมียอยู่ในขณะนี้ เพราะสามารถควบคุม ป้องกัน รักษา และช่วยชีวิตผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยยากไร้เป็นจำนวนมาก
“ธาลัสซีเมีย” เป็นโรคเลือดจางที่เกิดจากความผิดปกติของยีนที่สร้างสายโกลบิน ทำให้ไม่เกิดการสร้างโปรตีนโกลบินหรือสร้างได้เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างที่ผิดปกติไป เมื่อส่องดูเม็ดเลือดแดงผ่านกล้องจุลทรรศน์ จะพบเม็ดเลือดที่มีรูปร่างผิดปกติ ดังนั้นผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียชนิดไม่รุนแรงหรือเป็นเพียงพาหะ ผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการเลย และตรวจพบว่าเป็นโรคธาลัสซีเมียโดยเหตุผลอื่น ส่วนชนิดที่มีอาการรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการซีดตั้งแต่อายุ 6-12 เดือน และมักจำเป็นต้องรับเลือดทุก 3-4 สัปดาห์ เพื่อบรรเทาอาการซีด ผู้ป่วยที่มีอาการซีดเรื้อรัง จะมีการเปลี่ยนแปลงของกระดูก หน้าตา ท้องโตจากอวัยวะภายในคือตับและม้ามที่โตขึ้น ชนิดที่มีอาการรุนแรงที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาการซีดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ มีตับและหัวใจโต เป็นทารกบวมน้ำ และส่วนใหญ่เสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือหลังคลอดไม่นาน
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยความร่วมมือของ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา และทีมแพทย์จากสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารก สาขาโลหิตวิทยา และอีกหลายหน่วยงาน ได้มีการร่วมกันสร้างปรากฎการณ์ทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมีย ในหลาย ๆ ด้าน เริ่มตั้งแต่หากระบวนการในการคัดกรองคู่สมรสที่มีความเสี่ยงสูง การวินิจฉัยก่อนคลอด รวมทั้งมีการค้นคว้าถึงการรักษาแบบเฉพาะทาง ด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก สเต็มเซลล์ (stemcell) และการรักษาแบบประคับประคอง เช่น เติมเลือด ให้ยาขับธาตุเหล็ก แก้ปัญหาต่อมไร้ท่อผิดปกติ แก้ปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของผู้ป่วย และ การแก้ปัญหาเรื่องการติดเชื้อเป็นต้น คณะแพทย์ ฯ ได้มีการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียมาโดยตลอด และได้มีการพัฒนาทั้งการจัดหาเลือดที่มีคุณภาพและพอเพียงจากธนาคารเลือด การให้ยาขับธาตุเหล็กชนิดฉีดผ่านเครื่องปั้มให้ยา จนปัจจุบันมีผู้ป่วยหลายรายที่แม้จะเป็นโรคธาลัสซีเมียที่รุนแรง แต่มารับเลือดอย่างสม่ำเสมอ ดูแลอาหาร การออกกำลังกาย และให้ยาขับธาตุเหล็กชนิดฉีด ซี่งต้องแทงเข็มฉีดยาผ่านเครื่องเป็นเวลา 10 ชั่วโมง ได้ครบ 5-6 วันต่อสัปดาห์ ได้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
คณะแพทยศาสตร์ ฯ มูลนิธิโรงพยาบาลสวนดอก และ สมาคมศิษย์เก่าแพทย์ มช. ขอเชิญคนไทยทุกคนร่วมกันทำบุญด้วยการเป็นส่วนหนึ่งในการให้ชีวิตที่สดใส และห่างไกลโรคธาลัสซีเมียให้กับผู้ป่วยยากไร้ และช่วยกันบริจาคทุนทรัพย์เพื่อซื้ออุปกรณ์และครุภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ภาคเหนือ ผ่านทางมูลนิธิ โรงพยาบาลสวนดอก โดยร่วมบริจาคได้ที่ โทร. 053-920-400 และ 053-947-400 ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนสุเทพ เชียงใหม่ ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชีมูลนิธิโรงพยาบาลสวนดอกร้อยดวงใจ เลขที่บัญชี 471-2-33333-8
และขอเชิญติดตามรับชมการถ่ายทอดสดงานวันมหิดล “สวนดอกร้อยดวงใจเพื่อชีวิตที่สดใส ห่างไกลธาลัสซีเมีย ได้ในวันอังคารที่ 13 กันยายน 2554 ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี เวลา 22.30 - 24.15 น.
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ : คุณโชติรส ทิมพัฒนพงษ์ (กล้วย) 02-712-9849-50