บทประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่อง "ROAD TO PERDITION"

ข่าวทั่วไป Monday August 26, 2002 13:26 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 ส.ค.--วอร์เนอร์บราเดอร์ส พิกเจอร์ส
สองพ่อ : ไมเคิล ซัลลิแวน (ทอม แฮงค์ส), มือสังหารรับจ้างแห่งกลุ่มอาชญากรไอริชในชิคาโก เมื่อช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และ มิสเตอร์จอห์น รูนนี่ย์ (พอล นิวแมน), เจ้านายของซัลลิแวน ผู้ซึ่งเสี้ยงดูเขามาอย่างพ่อกับลูก และ สองลูกชาย : ไมเคิล ซัลลิแวน จูเนียร์ (ไทเลอร์ เฮอคลิน) และคอนเนอร์ รูนนี่ย์ (แดเนียล เครก) ซึ่งต่างกระหายความชื่นชมจากพ่อของแต่ละฝ่าย ความริษยาและการแข่งขัน นำพวกเขาไปสู่การกระทบกระทั่งกัน จนในที่สุดทำให้อาชีพของซัลลิแวน มีส่วนทำให้ครอบครัวพังพินาศ จนกลายเป็นการสูญเสียภรรยาสุดที่รักของเขา (เจนนิเฟอร์ เจสัน ลีห์) และลูกชายคนเล็ก ปีเตอร์ (เลียม ไอเคน) คราวนี้ไมเคิลและลูกชายที่รอดชีวิตจำต้องออกเดินทาง ด้วยแรงกระตุ้นจากโศกนาฏกรรม และเพลิงแค้น "Road to Perdition" คือการถ่ายทอดเรื่องราวแห่งสองครอบครัว ซึ่งโชคชตาถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ซับซ้อน และความไม่ลงรอยกันระหว่างพ่อกับลูก และลูกกับพ่อ....ทั้งสองคู่
ดาราเจ้าของสองรางวัลตุ๊กตาทอง ทอม แฮงค์ส ("Forrest Gump," "Philadelphia") นำทีมผู้แสดงในภาพยนต์ดราม่า "Road to Perdition" ภายใต้การกำกับการแสดงของผู้กำกับระดับตุ๊กตาทอง แซม เมนเดส ("American Beauty")
ผู้ร่วมแสดงยังประกอบด้วย พอล นิวแมน ดาราระดับตุ๊กตาทอง ("The Color of Money"), ดาราที่เคยได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลตุ๊กตาทอง จู๊ด ลอว์ ("The Talented Mr. Ripley"), ดาราที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ เจนนิเฟอร์ เจสัน ลีห์ ("Mrs. Parker and the Vicious Circle"), เจ้าของรางวัลเอ็มมี่และลูกโลกทองคำ แสตนลีย์ ทุคซี่ ("Winchell," "Conspiracy"), แดเนียล เครก ("Elizabeth"), และดาราหน้าใหม่ ไทเลอร์ เฮอคลิน และ ดารารุ่นจิ๋ว เลียม ไอเคน ("Stepmom")
เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทอง ริชาร์ด ดี ซานุค ("Driving Miss Daisy"), ดีน ซานุค และแซม เมนเดส "Road to Perdition" ร่วมกับ วอลเตอร์ เอฟ พาร์กส ("Gladiator") และโจแอน แบรดชอว์ ("Cast Away") รับตำแหน่งผู้อำนวยการบริหาร, แซม เมนเดส กำกับการแสดง จากบทภาพยนต์ โดยเดวิด เซลฟ์ ("Thirteen Days") จากโครงเรื่องของนวนิยายกราฟฟิค ซึ่งประพันธ์โดย แมกซ์ อัลลัน คอลินส์ และภาพประกอบโดยริชาร์ด เพียร์ส ไรย์เนอร์ "Road to Perdition" เป็นผลงานร่วมสร้างระหว่างดรีมเวิร์คส พิกเจอร์สและทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ จัดจำหน่ายในประเทศโดย ดรีมเวิร์คส และในต่างประเทศโดย ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์
เรื่องราว
ทางที่เลือกเดิน"Road to Perdition" เป็นชื่อที่ตีความได้เป็นสองทาง ในทางรูปธรรม เพอร์ดิชั่น เป็นชื่อของเมืองที่ไมเคิล ซัลลิแวน และลูกชายที่รอดชีวิตคนเดียวของเขา ไมเคิล ซัลลิแวน จูเนียร์ มุ่งหน้าไปสู่ แต่ในทางนามธรรมคือ นรก และนั่นเป็นสิ่งที่ไมเคิล ซัลลิแวน เพียรภาวนามิให้ลูกชายของเขาดำเนินรอยตาม
ทอม แฮงค์ส ผู้รับบท ไมเคิล ซัลลิแวน กล่าวว่า "สิ่งที่ไมเคิลผู้เป็นพ่อ บอกกับไมเคิลผู้เป็นลูก ก็คือ ลูกต้องเลือกทางเดินให้กับชีวิตตัวเอง แต่จงอย่าเลือกทางที่พ่อเดิน… ทางที่พ่อจำต้องเดินมาตลอดชีวิต เพราะในอดีตที่ผ่านมา พ่อได้เลือกทางเดินนี้ อันเป็นเส้นทางตรงไปสู่นรก"
ผู้กำกับการแสดง/อำนวยการสร้าง แซม เมนเดส เห็นด้วยในข้อนี้ และตั้งข้อสังเกตุว่า "ไมเคิล ซัลลิแวน ลงความเห็นว่าชีวิตของเขาเดินอยู่บนเส้นทางสู่นรก เขาจึงต้องต่อสู้ด้วยการยื้อจิตวิญญานของลูกชาย และชายผู้ซึ่งมีชีวิตที่เลวร้ายนี้จะสามารถไถ่บาป ผ่านทางลูกชายของตนเองได้หรือไม่? นั่นคือคำถามหลักของภาพยนต์เรื่องนี้"
จุดเริ่มต้นของการสร้าง "Road to Perdition" เกิดขึ้นโดยผู้อำนวยการสร้าง ดีน ซานุค เมื่อเขาได้รับนวนิยายกราฟฟิคซึ่งเขียนโดย แมกซ์ อัลลัน คอลินส์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มที่สำคัญ ไม่ต้องพูดถึงการอ่านนวนิยายกราฟฟิค แม้แต่ผ่านตาก็ยังไม่เคยมาก่อน เขาเริ่มด้วยการพลิกผ่านหน้าหนังสือ แต่แล้วกลับถูกตรึงไว้กับที่ "ผมชอบมาก" เขาย้อนรำลึก "เรื่องราวของพ่อกับลูกประทับอารมณ์ที่ทรงพลัง และภาพประกอบโดยริชาร์ด เพียร์ส ไรย์เนอร์ ก็ให้ภาพย้อนอดีตที่น่าทึ่ง ทั้งสองอย่างรวมเข้ากับแอ็คชั่นเป็นสิ่งที่ทำให้โดดเด่นมาก เมื่อผมอ่านจบ ผมบอกกับภรรยาว่า 'เราจะได้สิ่งที่พิเศษจากเรื่องนี้'"
ซานุคผู้เป็นลูก จึงได้ส่งหนังสือไปยังบิดาของเขาโดยทันที ผู้อำนวยการสร้าง ริชาร์ด ดี ซานุค ซึ่งกำลังถ่ายทำในโลเคชั่นที่โมรอคโค ริชาร์ด ซานุค รับเรื่องราวโดย "ผมติดใจในทันที มีทั้งแอ็คชั่นยิ่งใหญ่และสีสันแห่งตัวละคร และยังมีองค์ประกอบทุกอย่างที่ให้ความบันเทิง รวมทั้งภาพที่กระตุ้นความรู้สึก แต่สิ่งที่ประทับใจผมมากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของพ่อกับลูก ซึ่งดำเนินไปตลอดทั้งเรื่อง ผมโทร.หาดีน แล้วบอกให้เขาส่งหนังสืออีกเล่มไปให้สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่ดรีมเวิร์คส และก็ต้องตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เมื่ออีกสองวันถัดมาผมได้รับโทรศัพท์จากสตีเวน ซึ่งโทร.มาหาที่ห้องพักธรรมดาของผมในโมรอคโค เขาว่า 'ผมชอบเรื่องนี้ มาสร้างกันเถอะ' และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น"
เรื่องราวของพ่อกับลูกซึ่งสะดุดความรู้สึกของสองพ่อลูกผู้อำนวยการสร้าง ได้รับการถ่ายทอดเป็นบทภาพยนต์ โดยเดวิด เซลฟ์ ริชาร์ด ซานุค กล่าวว่า "ทุกๆ คนตอบรับในทางบวกเป็นอย่างมากกับสคริปท์ นิยายกราฟฟิคเล่าเรื่องด้วยรูปภาพ แต่บทภาพยนต์ให้รายละเอียดเของเรื่องราวที่ลงลึกและซับซ้อนกว่านั้น เพราะเจาะลึกในด้านอารมณ์ส่วนตัวของพ่อและลูก ซึ่งมีหัวใจ…และอารมณ์แห่งมนุษย์"
หนึ่งในจำนวนผู้ที่ตอบรับอย่างเห็นด้วยนั้น คือ ผู้กำกับการแสดง แซม เมนเดส ซึ่งเลือกทำงานกำกับใน "Road to Perdition" ต่อจากผลงานกำกับเรื่องแรกของเขาใน "American Beauty." พ่อลูกซานุครู้ว่าเมนเดสเหมาะสมที่สุดในการถือหางเสือให้กับ "Road to Perdition" ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน "วิธีที่เขาพูดถึงเรื่องราวและแผนงานของเขา ทำให้เรารู้สึกว่ามองเห็นภาพในหนังลอยมาอยู่ตรงหน้า" ดีน ซานุค กล่าว "เขามีความสามาถพิเศษในการรวบรวมวัตถุดิบและใช้มัน"
เมนเดสให้ความเห็นว่า มีองค์ประกอบหลายอย่างซึ่งดึงดูดเขาให้สนใจโปรเจ็คนี้ เริ่มตั้งแต่สคริปท์ "เดวิด เซลฟ์ ได้เพิ่มเติมสิ่งที่น่าชื่นชมนอกเหนือจากตัวนิยายกราฟฟิค แต่ยังคงความเรียบง่ายที่ไม่น่าเชื่อของเรื่องราวที่มีพลัง ในแกนหลักของความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก แต่ก็เป็นเรื่องราวซีเรียสของหนังแก็งค์สเตอร์อีกด้วย ซึ่งเป็นฉากที่ผมคาดว่าจะเป็นแบบนิยายอเมริกัน ในยุค 1930, ช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งยังมีความเป็นไปได้ที่เราจะหายตัวไปในประเทศอเมริกาอันกว้างใหญ่ไพศาล… ที่ยังมีเมืองแห่งขุมทองผุดขึ้นมา อย่างชิคาโก เราจึงมีผืนผ้าใบมหึมาที่จะระบายสีเรื่องราวลงไป และด้วยการบรรยายอันเต็มไปด้วยแรงผลักดันซึ่งไม่หยุดนิ่ง และก้าวไปข้างหน้าอย่างฉุดไม่อยู่ และมีตัวละครหลักซึ่งสองจิตสองใจในการทำดี ในฐานะผู้ชม เราไม่รู้ว่าคนๆ นี้ ที่ไม่อยากเป็นเพียงคนธรรมดา เป็นคนดีหรือร้ายกันแน่ ตั้งแต่ต้นจนจบ"
สองพ่อกับสองลูกชาย
ตัวละครหลักในเรื่อง "Road to Perdition" คือ ไมเคิล ซัลลิแวน ซึ่งรับบทโดยทอม แฮงค์ส ดารารางวัลตุ๊กตาทองสองรางวัล แฮงค์ส ได้รับทราบถึงโปรเจ็คนี้แต่เนิ่น เมื่อสตีเวน สปีลเบิร์ก มอบหนังสือนิยายกราฟฟิคให้เขาอ่านก่อนสคริปท์เสียด้วยซ้ำ และได้บอกกับเขาว่าเป็นเรื่องที่น่าอ่านมาก แฮงค์สเห็นด้วยและขอดูสคริปท์ทันที่ที่เสร็จ
แฮงค์ส กล่าวว่าสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นความสนใจของเขาในเรื่องราว ก็คือความคาดเดาไม่ได้ "ผมคิดว่าเป็นหนังประเภทที่ผมคุ้นเคย แต่เมื่ออ่านไปได้สามหน้า ผมไม่รู้แล้วว่าอยู่ตรงไหน และจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ผมจำได้ ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เดาต่อได้ไม่ยาก แต่เอาเข้าจริงก็เดาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย บวกกับความสมจริงในการลงมือทำงานชิ้นนี้... ผมให้สงสัยว่าใครกันแน่ที่จะเหมาะสม และเขาก็คือ แซม เมนเดส ผมได้คุยกับเขา และรู้เลยว่าเราได้มอบความวางใจให้กับคนที่จะถ่ายทอดเรื่องราว ในรูปแบบที่ควรจะเป็น"
เมนเดสเองก็ชื่นชมนักแสดงผู้นี้ไม่น้อยไปกว่ากัน เขาว่า "จะไม่ให้ชื่นชมทอม แฮงค์ส ได้อย่างไร? เขาเป็นดาราที่น่าทึ่ง แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการร่วมงานกับดาราใหญ่ ก็คือดาราใหญ่ทำงานที่ไม่ใช่ประเภทนี้มาก่อน ไมเคิล ซัลลิแวน เป็นคนที่ลึกลับมาก และเต็มไปด้วยด้านมืด และผู้ชมส่วนใหญ่จะเข้าไม่ถึงความเป็นเขา อย่างน้อยก็ในตอนแรก เขาแบกความรู้สึกผิด และเสียใจมาตลอดชีวิตที่ผ่านมา; แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกแสดงออก เป็นเพียงสิ่งที่รู้สึกและเห็นได้ ทอมสามารถถ่ายทอดออกมาอย่างเงียบๆ และนั่นคือคำบรรยายถึงความเป็นดาราใหญ่ในความหมายของผม"
ในขณะที่ ไมเคิล ซัลลิแวน เป็นตัวละครที่คลุมเครือในสายตาคนดู แฮงค์ส เริ่มสวมบทบาทลึกๆ ของตัวละครนี้ ตั้งแต่ก่อนเริ่มถ่ายทำเสียอีก "ตอนที่อ่านเรื่องนี้ ผมคิดไปถึงบทสวดในไบเบิล ที่ว่า 'ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว' และนั่นคือสิ่งที่เกิดกับซัลลิแวน : เขาแต่งงาน เป็นพ่อลูกสอง และมีบ้านหลังใหญ่กว่าคนอื่น… แต่ทั้งหมดได้มาด้วยความกลัว การข่มขู่ ความรุนแรง และเลือดเนื้อผู้อื่น ตอนนี้เขาตกอยู่ท่ามกลางสิ่งที่รู้ดีว่าจะต้องเกิดขึ้น แต่เขากลับปิดกั้นโลกแห่งความเป็นจริง และเชื่อว่ามันจะไม่เกี่ยวข้องกัน และแน่นอนที่สุด มันต้องมาถึงจนได้ ในตอนนี้ เราเริ่มเข้าเรื่อง ซึ่งเป็นวันสุดท้ายแห่งมุมมองที่ผิดพลาด"
จากคำพูดนี้ แฮงค์ส มองออกอย่างแจ่มแจ้งในทางตรงข้ามกับภาพลวงตาของซัลลิแวน "ผมคิดว่าเขาเข้าใจดีถึงช่วงเวลาที่เขาใช้ชีวิตจนถึงวันนี้ ด้วยการหาเลี้ยงชีพโดยการทำงานให้กับมิสเตอร์รูนนี่ย์ ชายผู้ซึ่งเคยช่วยชีวิตเขาไว้ ก่อนที่เขาจะทันรู้ว่าชีวิตของเขาต้องการความช่วยเหลือด้วยซ้ำไป นั่นเป็นการปูพื้นถึงความเป็นพ่อ ซึ่งมิได้เป็นส่วนเล็กน้อยของเรื่องนี้ มิสเตอร์รูนนี่ย์เป็นเสมือนสัญญลักขณ์ความเป็นพ่อของซัลลิแวน ซัลลิแวนต้องการเดินตามรอยเท้า แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวเขาด้วย ไมเคิล จูเนียร์ ก็รู้สึกอย่างเดียวกันกับพ่อของเขา หนังเป็นเรื่องราวเมื่อความจริงถูกเปิดเผย เมื่อเราได้เห็นความผิดของคนที่เรานับถือว่าเป็นพ่อ คุณจะทำอย่างไร? มันทำให้โลกของคุณสั่นคลอนหรือไม่? หรือเป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าใจถึงความผิดพลาดของมนุษย์ปุถุชนทุกคน? มันทำให้เราเข้าใกล้กับความเป็นคน และเหตุผลที่เราอยู่ในโลกนี้หรือไม่? หรือ ทำให้เราถอยหนีจากคนที่มีส่วนทำให้เราเป็นเรา? เป็นเรื่องที่น่าทึ่ง"
แกนสำคัญของเรื่องระหว่างพ่อกับลูก ดึงดูดใจ พอล นิวแมน เจ้าของรางวัลออสการ์แห่งตำนาน ผู้รับบทมิสเตอร์ จอห์น รูนนี่ย์ เช่นกัน แต่ในฐานะเสาหลักของครอบครัว จากมุมมองของนิวแมน ความซื่อสัตย์ของพ่อคือสิ่งที่ได้รับการทดสอบโดยลูกบุญธรรม ไมเคิล ซัลลิแวน และลูกในไส้ คอนเนอร์ รูนนี่ย์ "คอนเนอร์ ลูกชายของรูนนี่ย์เป็นตัวร้าย และ 'ลูกเลี้ยง' เป็นประเภทดีเสียแล้ว รูนนี่ย์ถูกบีบคั้นให้ปกป้องคนหนึ่งด้วยชีวิตของอีกคน จึงเป็นความขัดแย้งที่น่าติดตาม" เขากล่าว
นิวแมนยังชื่นชมในตัวละครที่เขารับบทบาทว่า "เขาผ่านขั้นตอนที่น่าสนใจในการเดินเรื่อง เปิดฉากอย่างหรูหราและยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยอำนาจ และกลายมาเป็นผู้พ่ายแพ้โดยโศกนาฏกรรม เป็นส่วนที่ยอดเยี่ยมมาก"
ไม่น่าแปลกใจเลย ที่พอล นิวแมน เป็นตัวเลือกที่ทีมผู้สร้างลงความเห็นว่าเหมาะที่สุดกับ บทของมิสเตอร์รูนนี่ย์ ซึ่งริชาร์ด ซานุค ยืนยันว่า "เราเห็นพ้องกันว่ามีดาราเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเล่นเป็นรูนนี่ย์ได้ ไม่มีตัวเลือกอื่นอีก" ผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งเคยประวัติการทำงานร่วมกับนิวแมน จากเรื่อง "Butch Cassidy and the Sundance Kit," "The Sting" และ "The Verdict," กล่าวต่อว่า "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยประสพการณ์ในอาชีพของเขา พอลระมัดระวังเป็นอันมากในการเลือกรับบท เราจึงเนื้อเต้นที่เขาชอบบทนี้ เขาเป็นโปรของโปร เขาทำให้ทุกอย่างดูง่าย แต่นั่นคืองานที่หนักมาก เขาใช้ความคิดและเตรียมการสำหรับทุกอย่างที่เขาทำ"
เมนเดส เห็นด้วย "พอลทุ่มเทให้กับการแสดงของเขา เขาจะใช้เวลานับชั่วโมงในรถเทรลเลอร์ เพื่อซักซ้อมการเคลื่อนไหวทุกอย่างแม้แต่ส่วนที่ปลีกย่อยที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าทึ่งเมื่อนึกถึงงานทั้งหมดที่เขาเคยผ่านมาแล้ว แต่ไม่ยอมปล่อยอะไรให้ผ่านไปง่ายๆ นั้นสร้างความประทับใจให้กับทุกคน พวกเรานับถือเขาอย่างสูง และเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อสำหรับพวกเรา ที่มีพอล นิวแมนมาเข้าฉากด้วย"
ในขณะที่ตัวแทนความเป็นพ่อของไมเคิล ซัลลิแวน รับบทโดยพอล นิวแมน ผู้โด่งดัง บทบาทลูกชาย ไมเคิล ซัลลิแวน จูเนียร์ กลับเป็นหน้าที่ของดาราหน้าใหม่ ไทเลอร์ เฮอคลิน เฮอคลิน เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดจากการคัดตัวนักแสดงรุ่นเยาว์กว่า 2,000 คน ซึ่งได้รับเลือกโดยผู้กำกับการคัดตัว เดบร้า เซน ระหว่างการประกาศรับในเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐฯ
ดีน ซานุค เล่าว่า "เราดูจากเทปแล้วเทปเล่า แต่ไม่มีใครเข้าตากรรมการเลย แล้วแซมก็โทร. หาผมที่ออฟฟิซ แล้วว่า 'ดีน ผมมีอะไรให้คุณดู ผมว่าเราได้ตัวเด็กแล้วละ'"
เมนเดส กล่าวว่า "เป็นอะไรที่เราคาดหวังว่า เมื่อเปิดเทปดูและภายในสองวินาทีก็รู้ว่าใช่แล้ว แล้วก็เฝ้าภาวนาว่าเมื่อได้พบตัวจริงของเขา จะได้ทุกอย่างที่คาดหวังไว้ นาทีที่ไทเลอร์เดินเข้ามาในห้อง เห็นได้ชัดว่าเขามีบางอย่างที่พิเศษ และผมกล้าท้าเลยว่าทุกคนจะเห็นได้ตั้งแต่นาทีที่เขาปรากฎตัวบนจอว่าเขาเป็นดารารุ่นเยาว์ที่มีความสามารถ และความฉลาดเฉลียวเกินอายุที่แสดงออกมาทางสายตา"
เฮอคลินมีอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น เมื่อเขาได้รับบทไมเคิล ซัลลิแวน จูเนียร์ และเข้าถึงบทบาทอย่างน่าทึ่ง ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์กับพ่อในเรื่องของเขา "ไมเคิลรักพ่อของเขาอย่างมาก และต้องการอยู่ใกล้ชิดเป็นที่สุด เขาพยายามที่จะวิ่งไล่ตามหามัน แต่ไม่ค่อยได้อะไรกลับคืนมานัก จนปุบปับกลับกลายเป็นเหลือพวกเขาเพียงสองคน ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสองก็กระชับมากขึ้น และพ่อของเขาสำนึกว่าไมเคิลเป็นสิ่งเดียวที่เขาเหลืออยู่ รวมทั้งสิ่งที่เขาพลาดไปมากมาย ผมคิดว่าการเดินทางคือการทำความรู้จักซึ่งกันและกันของพ่อกับลูก และเพื่อค้นหาตัวตนของแต่ละคน"
แม้เขาจะเข้าใจตัวละครแล้ว แต่เฮอคลินก็ยังไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากหลังจากที่เมนเดสแจ้งข่าวว่าเขาได้รับคัดเลือก "มันยังไม่เข้าหัวผมดีในสองอาทิตย์แรก จนกระทั่งเมื่อออกเดินทางไปโลเคชั่น" เขาเล่า "ในที่สุดผมก็เริ่มตกใจ 'โอ พระเจ้า นี่เรากำลังจะทำงานร่วมกับทอม แฮงค์ส และพอล นิวแมน กับจู๊ด ลอว์นะ' มันบรรยายไม่ถูกเลยฮะ"
ดีน ซานุค สังเกตุว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ในการทำงานของสามดาราซึ่งเฮอคลินชื่นชอบอย่างมาก และตัวเขาเองในความเป็นส่วนสำคัญซึ่งสะท้อนความแตกต่างระหว่างวัยของเนื้อเรื่อง "เรามีคนสี่รุ่น เริ่มตั้งแต่ พอล นิวแมน ดาราค้างฟ้า ; ทอม แฮงค์ส ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ถึงความเป็นดาราใหญ่ในปัจจุบัน ; จนถึงจู๊ด ลอว์ ดารารุ่นใหม่ไฟแรง ; และสุดท้าย ไทเลอร์ เฮอคลิน ดาราใหม่เอี่ยม ซึ่งทั้งหมดน่าทึ่งมาก"
จู๊ด ลอว์ รับบทแมคไกวร์ ช่างภาพหนังสือพิมพ์ ซึ่งทำงานกลางคืนเป็นนักฆ่ารับจ้าง แมคไกวร์เป็นเพียงตัวละครหลักฝ่ายชายเพียงคนเดียว ที่มิได้เกี่ยวข้องในความสัมพันธ์ฉันท์พ่อ/ลูก แต่ก็นับเป็นจุดขายของนักแสดงผู้นี้ เขารู้สึกว่าเป็นการทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างไปจากหนังประเภทแก็งค์สเตอร์ทั้งหลาย "มันไม่ได้เป็นหนังแก็งค์สเตอร์ทั่วๆ ไป ; แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อ/ลูกที่ค้นหาตัวตนของแต่ละฝ่ายในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ เป็นเรื่องราวของผู้ปกครองและเด็ก, ทรยศหักหลังและความซื่อสัตย์, และผู้คนกับอารมณ์และสัมพันธภาพ ซึ่งเราทุกคนสัมผัสได้ นี่คือตำนานแห่งชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องของหนังที่ยิ่งใหญ่ในสายตาของผม" ลอว์กล่าว
แม้ว่าลอว์จะอายุน้อยกว่า แมคไกวร์ ที่ได้ถูกบรรยายไว้ในสคริปท์ แซม เมนเดสมิได้พักสงสัยถึงความเหมาะสมกับบทบาทนี้ "จู๊ดเป็นคนที่เหมาะกับงานนี้ ไม่ต้องถามเลย เขาเป็นนักแสดงที่ไม่กลัวงาน เขาไม่วิตกที่จะแสดงเป็นใครที่ไม่เหมือนตัวเขาเอง เมื่อเขารับบทเงียบขรึม เป็นมือสังหารที่สุขุม ชายแห่งเงามืด และน่าพรั่นพรึง" ผู้กำกับการแสดงกล่าวเสริม
"ผมมองหาบทแบบนี้ ตัวละครซึ่งไม่ใกล้เคียงกับบทบาทที่เคย" ลอว์ กล่าว "แมคไกวร์เป็นช่างภาพอาชญากกรม เชี่ยวชาญในการจับภาพศพในที่เกิดเหตุ และเป็นมือสังหารรับจ้างที่ประสบความสำเร็จ"
ลอว์สังเกตุเห็นความสัมพันธ์กันระหว่างพื้นฐานแห่งชีวิตสองรูปแบบของแมคไกวร์ "ผมคิดว่าทุกครั้งที่เห็นแมคไกวร์เล็งกล้องและลั่นชัตเตอร์ เปรียบเสมือนเครื่องหมายซ้อนของปืน เนื่องจากว่าสำหรับแมคไกวร์แล้วการเก็บภาพหลังจากการฆาตกรรมเป็นเรื่องสำคัญกว่า การฆาตกรรมเองเป็นอีกเรื่องประเภท ; เขาจะไม่ยอมปล่อยให้คนมีชีวิตมาปิดกั้นรูปภาพที่ดี"
ภาพสะสมของแมคไกวร์นั้นถูกประดับไว้บนผนังของห้องพัก และเมนเดสเปิดเผยว่าส่วนหนึ่งเป็นของจริงจากทางตำรวจในช่วงทศวรรษปี 1930 "เราใช้รูปภาพซึ่งเก็บมาจากสถานที่เกิดเหตุในช่วงนั้น ตรงข้ามกับรอยเลือดที่น่ากลัว มันกลับเป็นความสวยงามอย่างประหลาดและเต็มไปด้วยพลัง มันทำให้จู๊ดได้ความรู้สึกสมจริง ว่าคนเหล่านั้นเคยมีชีวิตจริงๆ"
หนึ่งในตัวละครในเรื่อง "Road to Perdition" นั้นเคยเป็นคนจริงๆ ได้แก่ แฟรงค์ นิตติ ซึ่งเคยเป็นสมาชิกกลุ่มอาชญากรที่โหดร้าย รับบทโดยสแตนลีย์ ทุคซี่ "แฟรงค์ นิตติ เคยเป็นมือขวาของอัล คาโปน ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นผู้ควบคุมการดำเนินงานในทุกกรณี" ทุคซีให้ความเห็น "ทัง้รูนนี่ย์และซัลลิแวนต่างขอความช่วยเหลือจากเขา สร้างความลำบากใจให้กับนิตติในการตัดสินใจ"
เมนเดสกล่าวว่า "เมื่อผมได้อ่านบทของนิตติ ผมนึกถึงสแตนลีย์ ทุคซี่ ในทันที ผมอยากทำงานกับเขามาตลอด และแอบหวังว่าคงจะโชคดีที่จะได้เขามาร่วมงานนี้ และผมตื่นเต้นมาเมื่อเขารับปากว่าจะแสดงให้"
ทั้งแมกไกวร์และนิตติ ถูกโยงมาเข้าเรื่องโดยการชักนำของคอนเนอร์ รูนนี่ย์ ซึ่งรับบทโดยนักแสดงชาวอังกฤษ แดเนียล เครค "กุญแจสำคัญที่กระชับความสัมพันธ์ของเขากับพ่อ" เครกตั้งข้อสังเกตุ "คอนเนอร์ถูกเลี้ยงให้เป็นพวกรุนแรง เขาเป็นลูกชายของพ่อ แต่จำต้องกินน้ำใต้ศอกจากไมเคิล ซัลลิแวนมาตลอด ซัลลิแวนเป็นคนโปรดของพ่อเขา แม้ว่าจะไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ก็ตาม จึงกลายเป็นไฟสุมอกคอนเนอร์ และเป็นเชื้ออย่างดีในสิ่งที่เขาทำไป เขาอาจไม่ได้ทำสิ่งที่ควร แต่นั่นคือทางเดินที่เขาเลือก และเมื่อเขาก้าวไปแล้ว ผลที่ตามมาแบบโดมิโนจึงไม่มีใครหยุดยั้งได้"
แซม เมนเดส เห็นด้วย "คอนเนอร์เป็นคนที่ทำให้เรื่องเคลื่อนที่ ผมอยากให้คนที่ไม่เป็นที่รู้จักมารับบทนี้ เพื่อที่คนดูจะได้ไม่รู้ตั้งแต่แรกว่าเขาจะกลายเป็นตัวหลัก ผมว่าถ้าจะให้ตัวละครนี้ทำสำเร็จ เขาจะต้องทำให้คนดูขยะแขยง แดนนี่ลึกลับ ครุ่นคิด และมีเสน่ห์อย่างร้าย แต่ก็ซ่อนความเปราะบางเอาไว้ ผมรู้ตั้งแต่ได้พบเขาว่าคือคนที่เหมาะกับงานนี้ที่สุด"
ความรังเกียจของคอนนี่ที่มีต่อซัลลิแวนนั้น มีส่วนสำคัญต่อชตาชีวิตของแอนนี่ ภรรยาของซัลลิแวน และลูกชายคนเล็กของเขา ปีเตอร์ ในฐานะตัวละครหลักที่เป็นหญิงเพียงคนเดียวใน "Road to Perdition" เจนนิเฟอร์ เจสัน ลีห์ รับบท แอนนี่ ซึ่งผู้แสดงกล่าวว่า "ได้แสดงความรู้สึกอย่างชัดเจนในเพียงแค่ช่วงระยะเวลาที่จำกัด เป็นงานที่ท้าทายมาก เพราะบทพูดที่น้อยนิด ต้องเรียนรู้ชีวิตการแต่งงาน และซึมซับความรู้สึกของชีวิตครอบครัวของพวกเขา แอนนี่รักสามีของเธอมาก และไม่เคยตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับอาชีพของเขา-ซึ่งคุณอาจไม่เชื่อ-แต่เธอเคยเห็นรอยเลือดบนเสื้อผ้าของเขาหลายครั้งจนพอจะคาดเดาเองได้ ซึ่งทำให้เธอหวาดหวั่นแทนลูกๆ ของเธอ เธอมีชีวิตที่ดีและพอใจกับสิ่งนั้น แต่เป็นชีวิตที่แขวนอยู่บนความกลัว"
เมนเดส ซึ่งเคยร่วมงานกำกับการแสดงให้ลีห์ เมื่อครั้งงานเพลงเรื่อง "Cabared," กล่าวว่า "ผมเคยหวังว่าจะได้มีโอกาสร่วมทำงานภาพยนต์กับเธออีกด้วย และพบกับเธอโดยบังเอิญที่งานคัดตัว จึงได้ขอให้เธอรับบทนี้ ผมภาวนาว่า 'น่าจะโชคดีบ้างนะ' แล้วก็จริงด้วย เพราะเธอตอบรับ"
เลียม ไอเคน ผู้รับบทปีเตอร์ ซัลลิแวน เป็นดาราที่อายุน้อยที่สุด แต่มิได้ด้อยประสพการณ์ไปกว่าผู้ใด ริชาร์ด ซานุค ว่า "เขาเป็นมืออาชีพด้วยอายุเพียงน้อยนิด เขาเป็นหนุ่มน้อยที่มีฝีมือ น่าประทับใจมาก" (ยังมีต่อ)
-ศน-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ