กระทรวงคมนาคมเร่งฟื้นฟูเพิ่มศักยภาพการคมนาคมทางน้ำ เชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน พร้อมเปิดท่าเรือสาทรนำร่องโครงการ"เรือต่อรถ รถต่อเรือ ช่วยเหลือชาติ"

ข่าวทั่วไป Tuesday September 10, 2002 11:24 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 ก.ย.--ศูนย์ ปชส.กระทรวงคมนาคม
เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2545 เวลา 16.30 น. นายประชา มาลีนนท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดโครงการ "เรือต่อรถ รถต่อเรือ ช่วยเหลือชาติ" ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือของกระทรวงคมนาคม กรมเจ้าท่า องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส และบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ณ ท่าเรือสาทร เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
นายประชา มาลีนนท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้เล็งเห็นความสำคัญของการคมนาคมทางน้ำในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ว่าจะสามารถช่วยบรรเทาปัญหาการติดขัดของการจราจรทางบก และเพิ่มทางเลือกในการเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยให้กับประชาชน ช่วยลดมลพิษทางอากาศ อันเนื่องมาจากควันรถยนต์ที่เกิดจากการจราจรติดขัด และช่วยลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศในการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง จึงได้มีนโยบายในการเพิ่มศักยภาพและบทบาทการคมนาคมทางน้ำโดยมอบหมายให้กรมเจ้าท่าซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการขนส่งทางน้ำร่วมมือกับหน่วยต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำการฟื้นฟูการคมนาคมทางน้ำ โดยปรับปรุงท่าเรือให้ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย เพียงพอกับผู้ใช้บริการ จัดทำเป็นสัญลักษณ์บอกเส้นทางไปท่าเรือ การจัดทำแผนที่เดินทางเชื่อมต่อกับระบบการขนส่งมวลชนอื่นๆ เช่น รถโดยสารประจำทาง รถไฟฟ้า เป็นต้น
กรมเจ้าท่า ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างและปรับปรุงท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้เป็นจุดเชื่อมต่อกับระบบการขนส่งสาธารณะอื่นๆ ซึ่งมีท่าเรือที่อยู่ในความดูแล ตั้งแต่ท่าน้ำนนทบุรีถึงท่าน้ำบิ๊กซี ราษฎร์บูรณะประมาณ 35 ท่า ให้มีความสะดวก ปลอดภัยมากขึ้น และได้ปรับปรุงท่าเรือสาทรให้เป็นศูนย์กลางในการโดยสารและการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ เนื่องจากเป็นท่าเรือโดยสารปลายถนนสาทรที่มีทางเชื่อมต่อกับระบบการขนส่งสาธารณะอื่น ได้แก่ สถานีต้นทางของรถไฟฟ้าบีทีเอส รถโดยสารประจำทางของ ขสมก. และเรือด่วนเจ้าพระยารวมทั้งเรือข้ามฟากไปฝั่งธนบุรี ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้บริการท่าเรือแห่งนี้ เฉลี่ยวันละประมาณ 5,000 คน
นายประชาฯ กล่าวต่อว่า การปรับปรุงท่าเรือสาทรให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำนี้ ถือเป็นโครงการนำร่องในการพัฒนาการคมนาคมทางน้ำ โดยใช้ชื่อโครงการว่า"เรือต่อรถ รถต่อเรือ ช่วยเหลือชาติ"
ซึ่งโครงการฟื้นฟูการคมนาคมทางน้ำมีสาระสำคัญที่จะต้องดำเนินการในระยะแรก คือ การสร้างจิตสำนึกร่วมกันในการลดการใช้พาหนะส่วนบุคคลและกระตุ้นให้หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทางแทน ด้วยการสร้างการรับรู้ถึงความสะดวก ความปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นข้อมูลเส้นทางในการเดินทางทางน้ำในชีวิตประจำวัน ตลอดจนการประชาสัมพันธ์จุดเชื่อมต่อการเดินทางร่วมกันระหว่างเรือด่วนเจ้าพระยา เรือข้ามฟาก กับระบบขนส่งสาธารณะรูปแบบต่างๆ เช่น รถโดยสารประจำทาง รถไฟฟ้าบีทีเอส ทั้งนี้ เพื่อสร้างกระแสความนิยมในการเดินทางทางน้ำ และส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำด้วย
นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ผู้อำนวยการ ขสมก. กล่าวว่า ในส่วนของ ขสมก. ได้ร่วมมือกับกรมเจ้าท่าบริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา และรถไฟฟ้าบีทีเอส ในการจัดเตรียมรถเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนให้มีความเชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีรถประจำทางของ ขสมก. และรถร่วมเอกชนประมาณ 85 เส้นทาง จำนวนกว่า 2,500 คันต่อวัน วิ่งบริการเข้าไปรับส่งผู้โดยสารหรือวิ่งผ่านท่าเทียบเรือโดยสารสาธารณะริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้ง 2 ฝั่ง ตั้งแต่ท่าเรือปากเกร็ดถึงท่าเรือบิ๊กซี ราษฎร์บูรณะ รวม 35 ท่า
นายพีระพงศ์ฯ กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดเตรียมรถโดยสารประจำทางเพื่อรองรับผู้โดยสารที่ท่าเรือสาทร ตามโครงการ"เรือต่อรถ รถต่อเรือ ช่วยเหลือชาติ" ขสมก. มีรถประจำทางวิ่งบริการเชื่อมต่อเป็นโครงข่ายจำนวน 9 เส้นทาง ได้แก่ สาย 1, 15, 17, 35, 75, 77, 115, 116, 504 รวมจำนวนรถกว่า 250 คันต่อวัน มีเที่ยววิ่งบริการมากกว่า 800 เที่ยวต่อวัน สามารถให้บริการผู้โดยสารเชื่อมต่อเรือด่วนและรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ไม่ต่ำกว่า 50,000 คนต่อวัน และตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2545 เป็นต้นไป ขสมก. จะเปิดเดินรถประจำทางเพิ่มขึ้นอีก 1 เส้นทาง คือเส้นทางสายวงกลมอู่สาธุประดิษฐ์-ท่าเรือสาทร-สีลมด้วย
นอกจากนี้ ขสมก. ได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์โครงการฯ ติดโฆษณาประชาสัมพันธ์บนรถโดยสารปรับอากาศยูโรทู 2 คัน เพื่อเป็นสื่อประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ให้ประชาชน ได้ทราบจุดเชื่อมต่อระหว่างรถเมล์กับเรือด่วนเจ้าพระยาทั้ง 35 ท่า ตลอดแนวแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอส ประชาชนสามารถสอบถามเส้นทางการเดินรถที่เชื่อมต่อกับเรือที่ท่าน้ำสาทรและรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ที่โทรศัพท์หมายเลข 184 ระหว่างเวลา 06.00-21.00 น. ทุกวัน--จบ--
-ปส-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ