กรุงเทพฯ--15 ก.ย.--ศอส.
ศอส. รายงานยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยใน 30 จังหวัด พร้อมเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร รับมือภาวะน้ำล้นตลิ่งที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงวันที่ 18 — 20 กันยายน 2554
นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยใน 30 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี ยโสธร เลย ขอนแก่น ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ฉะเชิงเทรา นครนายก จันทบุรี ตราด ตาก สระแก้ว ปราจีนบุรี ตรัง สตูล และสุราษฎร์ธานี รวม 166 อำเภอ 1,021 ตำบล 5,626 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 339,601ครัวเรือน 1,204,358 คน ผู้เสียชีวิต 91 ราย สูญหาย 2 ราย พื้นที่การเกษตร 4,043,993 ไร่ พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ บ่อปลา 67,618 ไร่ กุ้ง/ปู/หอย 2,284 ไร่ สัตว์ได้รับผลกระทบ 3,042,185 ตัว น้ำท่วมเส้นทางไม่สามารถสัญจรผ่านได้ แยกเป็น ทางหลวง 17 สาย ใน 8 จังหวัด ทางหลวงชนบท 47 สาย ใน 9 จังหวัด สำหรับสถานการณ์น้ำในทุกลุ่มน้ำยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากฝนที่ตกต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ทำให้ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ที่เกิดภาวะน้ำล้นตลิ่งอยู่แล้วระดับน้ำที่ท่วมจะเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ 3,568 ลบ.ม./วินาที และผ่านอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3,432 ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้ระดับน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่ เขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำ 86% เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำ95% เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีปริมาณน้ำมากเกินความจุ 102 % เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำ 95 % จึงต้องเร่งระบายน้ำออกเพื่อพร่องน้ำอย่างต่อเนื่อง จึงขอแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ท้ายเขื่อนเตรียมตัวขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง ขณะที่กรุงเทพฯ ยังคงมีน้ำท่วม ในเขตพื้นที่ตามชุมชนริมคลองที่มีระดับต่ำ
นายวิเชียร กล่าวต่อไปว่า ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องทางพื้นที่ภาคเหนือบริเวณท้ายเขื่อนภูมิพล ส่งผลให้ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำปิงและลำน้ำสาขาในเขตจังหวัดกำแพงเพชร มีปริมาณน้ำสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยคาดว่าปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดนครสวรรค์จะอยู่ในเกณฑ์สูงสุดประมาณ 3,800 — 3,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในช่วงวันที่ 18 — 19 กันยายน 2554 ซึ่งทำให้ระดับน้ำที่จังหวัดนครสวรรค์สูงขึ้นอีกประมาณ 1 เมตร นอกจากนี้ ยังมีปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังไหลมาสมทบกับแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ทำให้มีปริมาณน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ คาดว่าเขื่อนเจ้าพระยาจะมีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดในเกณฑ์ประมาณ 3,900 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในช่วงวันที่ 19 — 20 กันยายน 2554 ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มต่ำบริเวณสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณตั้งแต่ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาลงมาในเขตจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 10 — 15 เซนติเมตรต่อเนื่องหลายวัน โดยจะมีระดับน้ำสูงใกล้เคียงกับปี 2553 ที่ผ่านมา จึงขอเตือนให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร เสริมแนวคันกั้นน้ำให้สูงขึ้นไม่ต่ำกว่าหรือเท่ากับปี พ.ศ. 2553 รวมทั้งให้ขนย้ายสิ่งของมีค่าขึ้นที่สูง และติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ได้ประสานให้ทั้ง 8 จังหวัดจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดในทุกระยะ พร้อมเร่งจัดกระสอบทรายเสริมเป็นแนวคันกั้นน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำริมฝั่งแม่น้ำ เพื่อป้องกันภาวะน้ำล้นตลิ่ง
ทั้งนี้ ศอส. ได้กำชับให้จังหวัดประสานงานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและชลประทานจังหวัดตรวจสอบระดับน้ำในแม่น้ำสายสำคัญและเขื่อนต่างๆ อย่างใกล้ชิด หากจำเป็นต้องพร่องน้ำหรือระบายน้ำออกให้แจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า จะได้ขนย้ายสิ่งของและอพยพหนีภัยได้ทัน ในส่วนของการสำรวจข้อมูลครัวเรือนที่ประสบอุทกภัย เพื่อจ่ายเงินครัวเรือนละ 5,000 บาท ขอให้ทุกพื้นที่เร่งสำรวจข้อมูล โดยประสานการปฏิบัติกับคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการและคณะทำงานที่กระทรวงมหาดไทยแต่งตั้ง ซึ่งขณะนี้ได้ลงพื้นที่สนับสนุนการจัดทำและตรวจสอบข้อมูลครัวเรือนร่วมกับจังหวัดในทุกพื้นที่แล้ว