กรุงเทพฯ--16 ก.ย.--เวิรฟ
นับตั้งแต่คาร์ล เบนซ์ ประดิษฐ์รถยนต์ขึ้นเป็นคันแรกของโลกที่มีชื่อว่า “เบนซ์ เพเทนท์ มอเตอร์ คาร์” ในปี 1886 ซึ่งรถคันนี้ได้เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของคนทั้งโลกอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถือเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงทักษะการออกแบบวิศวกรรมของผู้ประดิษฐ์ รวมถึงการบุกเบิกคอนเซ็ปต์ด้านยานยนต์ต่างๆ ความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบชั้นสูงนับเป็นวัฒนธรรมที่เราสั่งสมมาอย่างยาวนานเป็นเวลาถึง 125 ปี นอกจากนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงคิดค้นอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์ใหม่ๆ อย่างไม่ขาดสาย และจะยังรักษาบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตแห่งการขับเคลื่อนที่ยั่งยืนด้วยการเป็นผู้นำนวัตกรรม โดยมุ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมยานยนต์ใน 5 ด้าน ได้แก่ ผู้นำนวัตกรรมด้านการผลิตรถยนต์ ผู้นำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยียนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ผู้นำนวัตกรรมด้านความปลอดภัย ผู้นำนวัตกรรมด้านความสะดวกสบาย และผู้นำนวัตกรรมด้านดีไซน์
ซึ่งการดีไซน์ถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญที่ทำให้รถยนต์มีความน่าสนใจ น่าหลงใหล บ่งบอกถึงรสนิยมของผู้ขับขี่ โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญกับการดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งในปัจจุบันรถยนต์ที่เป็นดีไซน์ต้นแบบทางสถาปัตยกรรมของรถที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันคือ รถยนต์เมอร์เซเดสรุ่น 35 HP ซึ่งเป็นโมเดลที่ออกวางจำหน่ายในปี 1901โดยมีตัวถังคมสวยติดตั้งเครื่องยนต์ภายในเฟรมส่วนหน้า เมอร์เซเดส 35 HP จึงเป็นรถยนต์รุ่นประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างในฐานะมอเตอร์คาร์แบบสมัยใหม่คันแรกของโลก อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ มากมายให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์
ในปี 1909 รถยนต์ซีรีส์ “ไลท์นิ่งเบนซ์” ได้ออกมาเขย่าวงการยานยนต์อีกครั้งด้วยการดีไซน์ภายใต้หลักการอากาศพลศาสตร์เป็นครั้งแรกที่ให้รูปทรงของตัวถังที่ปราดเปรียวเปี่ยมด้วยพลังแห่งการเคลื่อนไหว นอกจากนี้รถยนต์ “ไลท์นิ่งเบนซ์” ยังได้สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการที่สำคัญอีกอย่าง คือ การพัฒนาแชสซีรถเป็นโครงสร้างเดียวกันทั้งส่วนห้องโดยสารและห้องเครื่องโดยต่อมาไม่นาน ดีไซน์โครงสร้างของรถที่เป็นชิ้นเดียวทั้งคันนี้ก็กลายเป็นมาตรฐานสำหรับบริษัทผลิตยานพาหนะยี่ห้ออื่นๆ อีกด้วย
ในขณะที่ดีไซน์ของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์เน้นความแข็งแกร่งทรงพลังดั่งบุรุษเพศในช่วงทศวรรษที่ 20 ดีไซน์สำหรับโมเดลต่างๆ ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 30 จึงเปลี่ยนมาเป็นเส้นลายที่แลดูอ่อนนุ่มให้ความรู้สึกพริ้วไหว อย่างเช่นในโมเดลไฮไลท์รุ่น 500 K ที่วางตลาดในปี 1934 และรุ่น 540 K ในปี 1936 ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้เป็นการใช้นวัตกรรมแบบคัสตอมดีไซน์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและโฉมที่หรูหราระดับไฮเอ็นด์
จากนั้นเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็เข้าสู่ยุคแห่งการดีไซน์รถยนต์แบบ “โมเดิร์นเอจ” ในปี 1953 ด้วยการเปิดตัวรถรุ่น Type 180 ที่มีรูปทรงแบบ 3 กล่อง หรือที่รู้จักกันในนาม “Ponton” โดยดีไซน์แบบ Ponton นี้นอกจากจะช่วยสร้างความสมดุลย์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับการ ขับขี่แล้วยังทำให้พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางขึ้นและเป็นโฉมของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ที่แลดูทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาอีกด้วย
ถัดมาในปี 1954 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เปิดตัวรุ่น 300 SL หรือ “เบนซ์ปีกนกนางนวล (Gullwing)” สุดหรูที่ได้ชื่อว่าเป็นดีไซน์ไอคอนแห่งยุค แม้ในปัจจุบัน รถรุ่นนี้ยังเป็นที่ต้องการของสาวกเบนซ์ทั่วไปและได้รับการโหวตให้เป็น “รถสปอร์ตแห่งศตวรรษ” โดยคณะกรรมาธิการผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ในปี 1999 นอกจากนั้นหนึ่งในโมเดลที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายอย่างซีรีส์ “เบนซ์หางปลา (Fintail)” ที่ประกอบด้วยรุ่น 220, 220 S และ 220 SE ในปี 1959 เป็นซีรีส์ที่มีความโดดเด่นด้านการออกแบบส่วนหลังของรถที่ทั้งสวยงามและให้ความสะดวกเมื่อเข้าจอดในช่องจอดรถแคบๆ โดยรถยนต์ในซีรีส์ “Fintail” นี้ได้รับการออกแบบตามหลักการ “Form follows function”
ในปี 1963 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เปิดตัว รุ่น 230 SL ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่แปลกแตกต่างจากรถที่มีการดีไซน์อื่นๆ ทั่วไป โดยมีหลังคาทรงที่เรียกกันว่าพาโกด้า เป็นหลังคาแข็งที่สามารถเปิดปิดได้ ไม่เพียงแต่ดูสวยงามแล้วยังให้ความสวยงามรวมทั้งความปลอดภัยด้วย จากนั้นในปี 1969 เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เปิดตัวคอนเซ็ปต์คาร์รุ่น C 111 ซึ่งเป็นการพลิกโฉมการดีไซน์ยนตรกรรมแก่วงการยานยนต์ของโลก โดยส่วนที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของ C 111 ที่ยังคงถ่ายทอดมาสู่รถยนต์ปัจจุบันคือ ประตูปีกนกนางนวลที่อยู่ในเมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น SLS AMG ปี 2009
ในปี 1971 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เปิดตัวรถสไตล์สปอร์ตรุ่น 350 SL ตามมาด้วยรุ่น S-Class ในปี 1972 ซึ่งเป็นการรวบรวมรูปลักษณ์ต่างๆ ที่สื่อถึงความชัดเจน ความปลอดภัยที่สามารถจับต้องได้ โดยมีอิทธิพลต่อรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นต่อไปของเมอร์เซเดส-เบนซ์
หลังจากนั้นในปี 1982 เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เปิดตัวคอมแพ็คคาร์รุ่น 190 E ซึ่งเป็นดีไซน์ใหม่ของรถรุ่นนี้ และเป็นต้นแบบให้แก่รถรุ่นแรกของรุ่น C-Class ในปัจจุบัน จนกระทั่งในช่วงปี 1996 -1997 เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้สรรค์สร้างนวัตกรรมด้านการดีไซน์ใหม่ๆ อาทิ รุ่น SLK, CLK, A-Class และ M-Class
ในปี 2003 คอนเซ็ปต์คาร์ Vision CLS ได้รับการตอบรับจากงานมอเตอร์โชว์ในเมืองแฟรงค์เฟิร์ต โดยเป็นรถคูเป้สี่ประตูที่น่าหลงใหล เร้าใจ จนได้นำต้นแบบเข้าสู่กระบวนการผลิตจริงในปี 2004 โดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรถต้นแบบเดิมเลย จนกระทั่งในปี 2010 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เปิดตัว F 800 Style ซึ่งเป็นรถคอนเซ็ปต์คาร์ที่ทางดีไซน์เนอร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ต้องการสื่อถึงวิสัยทัศน์ในการออกแบบสำหรับอนาคต
สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ดีไซน์ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ดีไซน์ถือเป็นปัจจัยในการจำกัดนิยามของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ดีไซน์ คือ ดีเอ็นเอของแบรนด์ที่แสดงออกผ่านทางสัญลักษณ์ดาวสามแฉก อีกทั้งยังเป็นสิ่งสะท้อนถึงการตีความหมายในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นสปอร์ต สไตล์ พลังแห่งนวัตกรรม ไปจนถึงความปลอดภัย ความสบาย และคุณภาพ นอกจากนี้ดีไซน์ยังเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงมรดกตกทอดอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่สืบสานมานานจวบจนปัจจุบันของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยอดีตหัวหน้าฝ่ายออกแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ บรูโน่ ซัคโค่ ซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลในเรื่องการออกแบบในช่วงปี 1975 - 1999 ได้สร้างนิยามแห่งการดีไซน์ให้กับบริษัท โดยปรัชญาของเขากล่าวไว้ว่า “รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกคันจะต้องเป็นที่จดจำได้อย่างแม่นยำจากสมาชิกในสังคมทั่วไปไม่ว่าจะอยู่ในวัฒนธรรมใดๆ ก็ตามในโลกนี้” ซึ่งปรัชญานี้ยังคงเป็นหลักปฏิบัติสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :
ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด คมกริช, เยาวเรศ, ศิริพรโทรศัพท์ 02 614-8810-12
หรือ PR Agency เวิรฟ พรทิภา, เบญจพร โทรศัพท์, 02 204 8078, 02 204 8551
ท่านสามารถดาวน์โหลดข่าวประชาสัมพันธ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ที่ www.mercedes-benz.co.th