กรุงเทพฯ--15 ก.ย.--กระทรวงพาณิชย์
นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานบางกอกเจมส์แอนด์จิวเวลรี่แฟร์ ครั้งที่ 18 ว่า “กระทรวงพาณิชย์ยังมีความมั่นใจกลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีตัวเลขส่งออกเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.82 หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 6,545 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และคาดว่าในปีนี้การส่งออกกลุ่มอุตสาหกรรมนี้จะมีมูลค่าเกินกว่า 12,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ดังนั้นการจัดงานบางกอกเจมส์แอนด์จิวเวลรี่แฟร์ครั้งนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่ด้วยความต้องการสินค้าของตลาดโลกจึงทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบ แต่กลับทำให้อุตสาหกรรมนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องวางกรอบกลยุทธในการทำตลาดอัญมณีและเครื่องประดับ เพราะถือว่าเป็นการสร้างมูลค่าและการนำรายได้เข้าประเทศในแต่ละปีจำนวนมหาศาล ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเดินหน้าเร่งหาตลาดทั้งตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยเฉพาะตลาดอาเซียน ที่มีแนวโน้มอัตราการเติบโตตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลจะผลักดันให้อุตสาหกรรมการค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย ก้าวสู่ความเป็นหนึ่งในระดับสากล ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ผลักดันให้อัญมณีไทยมีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะพลอยไทย” โดยไทยถือว่าเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าประเภทนี้ในอันดับที่ 11 ของโลก ซึ่งการจัดงานครั้งนี้จะมีขึ้นตั้งแต่ 14-18 ก.ย.นี้ เป็นระยะเวลา 5 วันที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพคเมืองทองธานี
ด้านนายสมชาย พรจินดารักษ์ นายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ ตั้งเป้าส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับทั้งปี 2554 ให้เติบโตกว่าปีที่ผ่านมาให้ได้ร้อยละ 10 มูลค่ากว่า 400,000 ล้านบาท จากปัจจัยราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งนี้สมาคมจะทำงานร่วมกับรัฐบาลในฐานะที่ปรึกษากลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออกอัญมณีของโลก แต่ยังมีกฎหมายหลายฉบับที่ต้องแก้ไข เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ เช่น ภาษีนำเข้าสร้อยขด ที่ผู้ประกอบการยังต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 20 ซึ่งต้องได้รับการแก้ไข ส่วนเป้าส่งออกปีหน้ายังไม่สามารถประเมินได้ เพราะต้องรอประเมินผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง แต่สมาคมก็จะเร่งหาตลาดใหม่เพิ่มเติม โดยเน้นตลาดเอเชียและอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะจีน และอินเดีย