ไทยแลนด์แฮร์เอ็กซ์โป 2011 ยิ่งใหญ่! กูรูช่างผมไทย ร่วมเสวนา “เมื่อช่างผมเทศบุกเมืองไทย แล้วช่างไทยจะอยู่ได้อย่างไร”

ข่าวทั่วไป Wednesday October 5, 2011 16:18 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--5 ต.ค.--พับบลิค ฮิต กูรูช่างผมแถวหน้าของเมืองไทยนัดรวมตัวเฉพาะกิจ ร่วมเสวนาในหัวข้อ “เมื่อช่างผมเทศบุกเมืองไทย แล้วช่างผมไทยจะอยู่ได้อย่างไร” ชวนช่างผมไทยเร่งพัฒนาทักษะ และเสริมความรู้ เพื่อสร้างมาตรฐานให้วงการช่างผมไทย ในโอกาสที่ประเทศไทยจะเปิดการค้าเสรีอาเซียนในอีก 3 ปีข้างหน้า ในงาน ไทยแลนด์แฮร์เอ็กซ์โป 2011 (Thailand Hair Expo 2011) ที่นิตยสารแฮร์ บริหารโดย บริษัท มีเดีย เอกซ์เพอร์ทีส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “More you learn, More you earn” (มอร์ ยู เลิร์น, มอร์ ยู เอิร์น) เมื่อวันก่อน ณ ลานพาร์ค พารากอน สยามพารากอน บรรยากาศในงาน เต็มเปี่ยมไปด้วยสาระและความรู้สำหรับเหล่าช่างผมไทย เพื่อให้สมกับคอนเซ็ปต์ More you learn, More you earn ตั้งแต่กิจกรรมการเสวนา, การประกวดแต่งหน้าและการออกแบบทรงผม, โชว์เทคนิคการทำผมจากกูรูผมชื่อดัง พร้อมบู๊ทออกร้านของแบรนด์ชั้นนำ และสถาบันเสริมสวยต่างๆ อาทิ ร้านเสริมสวยชลาชล, สถาบันเกตุวดี-แกนดินี่, สถาบันเรืองฤทธิ์ และร้าน Cut & Curl ฐิติภูมิ วงศ์เกียรติขจร ประธานกรรมการ บริษัท มีเดีย เอกซ์เพอร์ทีส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนิตยสารแฮร์ (HAIR) กล่าวถึงจุดประสงค์ของงานในครั้งนี้ว่า “การจัดงานในครั้งนี้ นิตยสารแฮร์ (HAIR) มุ่งหวังที่จะยกระดับอาชีพช่างผมไทย ซึ่งเป็นวิชาชีพชั้นสูง โดยจะต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ รวมทั้งประสบการณ์ ที่สั่งสม หลอมรวม ผสมผสานเพื่อสร้างสรรค์สไตล์อันเป็นเสน่ห์ ในการเปลี่ยนลุค เสริมบุคลิกภาพเฉพาะบุคคล จึงได้จัดงาน ไทยแลนด์แฮร์เอ็กซ์โป 2011 (Thailand Hair Expo 2011) อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 6 ปี ซึ่งสำหรับแนวคิดในการจัดงานปีนี้คือ “มอร์ ยู เลิร์น, มอร์ ยู เอิร์น (More you learn, More you earn)” ยิ่งมีความรู้มาก ยิ่งประสบความสำเร็จมาก ในโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร ช่างผมก็เป็นอีกวิชาชีพหนึ่งที่จะต้องหมั่นสรรหาความรู้ ไม่ว่าจะเป็นการอัพเดทเทรนด์ การติดตามเทคนิคการตัดผมใหม่ๆ รวมถึงความเคลื่อนไหวและพัฒนาการของผลิตภัณฑ์เส้นผม ซึ่งงานในปีนี้มีกิจกรรมความรู้ ทั้งการสนทนา การประกวดการแต่งหน้าและการออกแบบทรงผม แฟชั่นทรงผม และอัพเดทเทรนด์สีผม โดยกิจกรรมทั้งหมดมีแขกรับเชิญคือแฮร์สไตลิสต์ชื่อดังระดับโปรจากซาลอนชั้นนำต่างๆ อาทิ ร้านเสริมสวยชลาชล, สถาบันเกตุวดี-แกนดินี่, สถาบันเรืองฤทธิ์ และ ร้าน Cut & Curl และนอกจากนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ช่างผมและบุคคลทั่วไปได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมอย่างครบครันภายในงานเดียว” กิจกรรมการเรียนรู้ครั้งนี้ ประเดิมด้วยการเสวนา ในหัวข้อ “เมื่อช่างผมเทศบุกเมืองไทย แล้วช่างผมไทยจะอยู่ได้อย่างไร” โดยได้ 6 กูรูผู้เกี่ยวข้องกับแวดวงช่างผม มาไขข้อข้องใจว่า ได้แก่ วีรศักดิ์ ลดาคม ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานและทดสอบฝีมือแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน, ดร.สมศักดิ์ ชลาชล จาก ชลาชล, พิชัย อร่ามเจริญ จาก Cut&Curl, บุษบา เปรมเจริญ เจ้าของสถาบันดูเอ้, อาจารย์ ธนากร เชื้อวิวัฒน์ จากสถาบันธนากร บาย เกตุวดี และกรธนา ชินพัฒน์ บรรณาธิการบริหาร นิตยสารแฮร์ (HAIR) โดยมีดีเจชื่อดัง สาลินี ปันยารชุน มาร่วมเป็นพิธีกรคอยซักถาม วีรศักดิ์ ลดาคม กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจร้านเสริมสวยว่า “หากเมืองไทยเปิดการค้าเสรีอาเซียนในอีก 3 ปี ข้างหน้า ประชาชนในประเทศอาเซียนหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ประเทศ จะเดินทางเข้าออกยังประเทศเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ในวงการร้านเสริมสวยเองก็จะมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน ช่างผมต่างประเทศอาจจะเข้ามาตั้งธุรกิจในบ้านเรา ส่วนช่างผมในบ้านเราเองก็จะมีโอกาสขยายธุรกิจ หรือย้ายไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ได้ด้วย ต่อจากนี้เราจะไม่ได้คำนึงแค่ว่า ลูกค้ามีแค่ 60 ล้านคน แต่ลูกค้าจะเพิ่มจำนวนถึง 600 ล้านคน ดังนั้นช่างผมไทยจึงต้องเตรียมความพร้อมทั้งทักษะความรู้ และความเป็นมาตรฐาน ซึ่งทางกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงานก็พร้อมสนับสนุนและร่วมสร้างมาตรฐานฝีมือของช่างผมให้ทัดเทียมกันทั่วประเทศ” ดร.สมศักดิ์ ชลาชล กล่าวเสริมว่า “เพื่อให้มาตรฐานของช่างผมไทย เทียบเท่ากับต่างประเทศ ผมและเหล่ากูรูทุกท่านในที่นี้ จึงวางแผนร่วมมือกันจัดตั้งสมาพันธ์ช่างผมไทยขึ้น เพื่อกำหนดบทบาทและสร้างมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงการยกระดับร้านทำผมเล็กๆ ให้มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น เพราะตั้งแต่ผมเปิดร้านทำผมมากว่า 30 ปี เรายังไม่มีคัมภีร์มาตรฐานของเราเลย ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับทางราชการ ในขณะที่ทั่วโลก มาตรฐานเขามีถึง 5 ระดับ ในอังกฤษมีถึง 8 ระดับ ดังนั้นผมจึงอยากขอความร่วมมือจากช่างผมไทยทุกคน และในส่วนของภาครัฐมาร่วมมือร่วมใจกันสร้างมาตรฐานเดียวกัน ทั้งการบริหารจัดการ มาตรฐานฝีมือ ความรู้พื้นฐาน ความสะอาด และการบริการ ให้คน 600 ล้านคน เชื่อถือมาตรฐานของเรา” พิชัย อร่ามเจริญ กล่าวถึงข้อดี-ข้อเสีย ของการเปิดการค้าเสรีอาเซียน ต่อวงการช่างผมไทยว่า “หลังจากเราสร้างมาตรฐานให้เทียบเท่าสากลแล้ว หากเปิดการค้าเสรีเมื่อไหร่ ผมเชื่อว่าจะเกิดการเคลื่อนย้ายของฝีมือแรงงานแน่นอน ช่างผมไทยอาจจะไปทำงานที่สิงคโปร์, มาเลเซีย หรือชาติอื่นๆ ก็อยากมาทำงานบ้านเรา ทำให้เกิดการแย่งอาชีพในบ้านเรา เกิดการเคลื่อนย้ายของเงินทุน ทำให้ชาวต่างชาติมาลงทุนบ้านเราได้ง่ายขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์ เราจะไม่ได้ขายผลิตภัณฑ์ให้คนแค่ 60 ล้านคนอีกต่อไป แต่จะขยายเป็น 600 ล้านคน ดังนั้นเราจึงต้องพัฒนาฝีมือให้เป็นที่ยอมรับต่อคนทั้ง 10 ประเทศ ภาษาก็สำคัญซึ่งในอนาคตเราอาจจะต้องพึ่งล่ามช่วยแปลภาษาในร้านทำผม และที่สำคัญอยากขอคนไทยสนับสนุนช่างไทยด้วย” บุษบา เปรมเจริญ แนะนำช่างผมไทยเสริมว่า “ตลาดร้านเสริมสวยจะใหญ่ขึ้นแน่นอน ในขณะที่มุมมองการศึกษาของช่างผมไทยกลับแคบลง หลายคนคิดเพียงว่า ตื่นขึ้นมาทำงาน พอร้านปิดก็จบ แต่ต่อไปเราควรวิจัยตัวเองในแต่ละวันควบคู่ไปด้วย ทั้งวิจัยเส้นผม วิจัยโปรดักส์ กล้าต่อรองกับโปรดักส์ที่เขามานำเสนอ เพราะแน่นอนว่าหากเปิดการค้าเสรีจะต้องมีโปรดักส์ใหม่ๆ มาให้เลือกเพิ่มขึ้นอีกเยอะ ดังนั้น จึงขอแนะนำให้ช่างผมเปิดใจ เปิดความคิดร่วมกันศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาธุรกิจของเราต่อไปค่ะ” ด้านอาจารย์ธนากร เชื้อวิวัฒน์ กล่าวเสริมว่า “โอกาสของร้านเสริมสวยไทย ในเวทีการค้าเสรีมี โอกาสแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่ามาตรฐานของเราสูงแค่ไหน แนะนำว่าให้มุ่งพัฒนาเรื่องภาษาให้มาก เพื่อให้สู้กับทางสิงคโปร์และมาเลเซียได้ พวกเราจึงตั้งใจและมุ่งมั่นอยากสร้างมาตรฐานให้ร้านเสริมสวยไทยไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กให้มีมาตรฐานเดียวกัน มาร่วมเป็นสมาพันธ์ช่างผมด้วย โดยขณะนี้เราขอความร่วมมือจากช่างผมให้เข้าไปสอบมาตรฐานด้านวิชาชีพที่กรมฝีมือแรงงาน ซึ่งทางกรมพัฒนาฝีมือแรงงานก็ให้การอบรมทางด้านนี้อยู่แล้ว” ปิดท้ายที่ กรธนา ชินพัฒน์ ในฐานะสื่อมวลชนก็จะสนับสนุนในทุกๆ ด้าน เพื่อให้ลูกค้าและช่างทำผมได้เรียนรู้เทรนด์ผมใหม่ เทคนิคการทำผม และช่วยเผยแพร่มาตรฐานของร้านทำผมในประเทศไทยสู่สากลด้วย นอกจากความรู้จากเวทีเสวนาแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมให้ความรู้เรื่องเทคนิคและการจัดแต่งทรงผมจากสถาบันเสริมสวยชื่อดัง อย่าง สถาบันเรืองฤทธิ์ ที่ได้ อาจารย์ บุปผา จำปา นำทีมช่างผมมาสาธิตการจัดแต่งทรงผมสุดฮิต อาทิ ทรงรวบสูงแล้วปล่อยปลายให้หยิกฟู ดูสบายๆ และทรงพับกล้วยหอม สำหรับรังสรรค์ไปร่วมงานหรู “ผมทรงแรกคล้ายทรงโมฮอร์กนี้ เพียงใช้แท่นร้อนม้วนให้หยิก แล้วรวบตึงขึ้นไปบนศีรษะ ก็เสร็จแล้ว ซึ่งสาวๆ สามารถทำเองง่ายๆ ที่บ้าน ส่วนทรงพับกล้วยหอมนั้น ในชีวิตจริง เราคงไม่ทำใหญ่ขนาดนี้ เราเพียงแต่แนะแนวทางให้ช่างผมนำไปปรับใช้กับลูกค้าเท่านั้น” อาจารย์บุปผาแนะนำ โชว์จากช่างผมในประเทศเสร็จสิ้น ก็ถึงเวลาของช่างผมระดับอินเตอร์กันบ้าง คิม จัดกินส์ โบนาดิโอ้ (Kim Judkins Bonadio) กูรูผมจาก จอยโก้ (Joico) ได้มาสาธิตศิลปะการจัดแต่งทรงผม พร้อมเทคนิคการทำผมสุดฮิต ไม่ว่าจะเป็นทรงเกล้าผมหรือการตัดสไลต์ โดยใช้ลูกเล่นของสีผมให้เกิดมิติดูสวยล้ำเทรนด์ ภายใต้ชื่อโชว์ระดับอินเตอร์ “สโมค แอนด์ มิเรอร์ส” (Smoke & Mirrors) ส่วนเรื่องเทรนด์สีผมนั้น ได้ แคร์รอล โปรเฟสชั่นแนล (Clairol Professional) มาร่วมอัพเดตเทรนด์สีใหม่ล่าสุด โดยมี อาจารย์ ธนากร เชื้อวิวัฒน์ แบรนด์แอมบาสเดอร์ มาร่วมเผยเทคนิคการทำสีให้สวยเข้ากับไลฟ์สไตล์ตัวเอง ในชื่อโชว์ “คัลเลอร์ ยัวร์ ไลฟ์สไตล์ บาย แคร์รอล โปรเฟสชั่นแนล” (Color Your Lifestyle” by Clairol Professional) อาจารย์ ธนากร กล่าวว่า “ในแต่ละเทรนด์สีสันก็จะแต่งต่างกันออกไป และเดี๋ยวนี้การทำสีผมก็เหมือนวิธีการมิกซ์แอนด์แมตช์สีสันของเสื้อผ้า คือต้องให้เทรนด์และความมีรสนิยมอยู่คู่กัน ดังนั้นยุคนี้ จึงไม่ใช่แค่สีที่จะเป็นตัวกำหนดเทรนด์แล้ว หากแต่เป็นทักษะของช่างทำผมเองด้วย ที่จะต้องว่าแต่ละสีให้ความรู้สึกแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นสีสว่าง สีเข้ม หรือสีฉูดฉาดในแบบแฟชั่น เพื่อให้เข้ากับบุคลิกของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งหากโจทย์คือสีแดง สาวเปรี้ยวก็ต้องโชว์ให้เห็นสีแดงสวยด้านบน แล้วให้สีน้ำตาลหรือสีเข้มไว้ด้านล่าง แต่หากเป็นผู้หญิงเรียบๆ ก็ต้องให้สีเข้มอยู่บนแล้วแอบซ่อนผมสีแดงไว้ข้างในให้เห็นพอเป็นลูกเล่นเป็นต้น” อาจารย์แนะนำทิ้งท้ายว่า ใครที่ทำสีผมก็ต้องรู้จักดูแลหลังการทำสีด้วย โดยเลือกใช้แชมพูและครีมนวดผมสำหรับผมทำสี ไม่ควรสระผมด้วยน้ำอุ่นเพราะความร้อนจะทำให้สีผมเปลี่ยนเร็ว และเวลาจะไดร์หรือเป่าผม ควรทาครีมบำรุงผมปิดทับกันความร้อนไว้ก่อนเสมอ ปิดท้ายกิจกรรมครั้งนี้ด้วยการเฟ้นหาช่างแต่งหน้ามืออาชีพ “แกลมเมอรัส ชาร์มมิ่ง ออฟ โอเรียลทอล บิวตี้” (Glamorous Charming of Oriental Beauty) โดยเครื่องสำอาง ไลฟ์ฟอร์ด ปารีส(Lifeford Paris) ภายใต้โครงการ ไลฟ์ฟอร์ด ปารีส เมคอัพ อาร์ตติส คอนเทสต์ 2011 (Lifeford Paris Make-Up Artist Contest 2011) ในหัวข้อ “แกลมเมอรัส ชาร์มมิ่ง ออฟ โอเรียนทอล บิวตี้” (Glamorous Charming Of Oriental) โดยชิงรางวัลรวมมูลค่า 200,000 บาท ผู้ชนะเลิศได้แก่ หาญพล ไวทยกูล นำเสนอเทรนด์แต่งหน้าของเจ้าสาวยุคใหม่สไตล์นู้ด เพื่อเผยใบหน้าเนียนใส ส่วนรองชนะเลิศอันดับหนึ่งได้แก่ จักรพันธ์ หลีเจริญ, รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ธีรบุทธ์ วงศ์อรินทร์ และรางวัลป๊อปปูล่า อะวอร์ด ตกเป็นของ ดาวดี จันทร์ลา และการประกวด เบบี้ลิส โปร เดอะ พาวเวอร์ ออน สเตจ แฮร์ คอมเพททิชั่น 2011(Babyliss Pro The Power on Stage Hair Competition 2011) เพื่อเฟ้นหาสุดยอดนักออกแบบทรงผมในอุดมคติ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ไอเดียล เลดี้ อิน เดอะ วันเดอร์ เวิลด์ (Ideal Lady in the Wonder World) ภายใต้ทรงผมที่กำหนดไว้ 3 สไตล์ คือ หรูหรามีระดับ, วัฒนธรรมร่วมสมัย และสร้างสรรค์เหนือจินตนาการ โดยผู้ชนะจะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันผมแห่งเอเชีย ณ งาน คอสโมพรอฟ เอเชีย (Cosmoprof Asia) ที่ฮ่องกง พร้อมเงินรางวัลกว่า 200,000 บาท และการเข้าร่วมดูงานแฟชั่นผมโลก ณ กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ซึ่งผู้ชนะเลิศได้แก่ ธนกร ปิ่นดอนทอง ด้วยทรงผมสุดเปรี้ยวดูเข้มแข็ง แต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนหวานของการถักเปีย, รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ สหวัสต์ ฟักทอง, รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ หาญพล ไวทยกูล ปิดท้ายด้วยรางวัล ครีเอทีฟ เดอะ พาวเวอร์ ออน สเตจ แฮร์ คอมเพตติชั่น 2011 (Creative the Power on Stage Hair Competition 2011) ได้แก่ ดาวดี จันทร์ดา และนี่คือการจุดประกายและเตรียมความพร้อมให้วงการช่างผมไทย ในการที่จะฝึกทักษะและเรียนรู้เทคนิค เพื่อสร้างมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับในตลาดอาเซียน อีกไม่นานภาพช่างผมไทยไปรังสรรค์ทรงผมให้คนเวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย คงเป็นภาพที่ชินตา และชวนภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ