(ต่อ1)ภาพยนตร์เรื่อง "MATCHSTICK MEN" อัจฉริยะตุ๋น...เรือพ่วง

ข่าวทั่วไป Friday August 29, 2003 09:20 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--29 ส.ค.--วอร์เนอร์บราเดอร์ส พิกเจอร์ส
Matchstick Men, ถังข้าวสาร และหมอที่แสนดี
"รอยคิดว่าเขาจำเป็นต้องหยิบเศษผงชิ้นเล็กๆออกจากพรม หรือต้องตามเช็ดรอย นิ้วมือบนกระจก ถ้าไม่งั้นแล้วเขาคงนอนไม่หลับทั้งคืน มันเป็นแบบนั้นสำหรับเขา - เท่านั้นเอง" สตาร์กี้เล่า "เขามีอาการประสาททุกชนิดเท่าที่คนจะมีได้ และคนที่จะ แสดงได้จะต้องมีไหวพริบที่จะแสดงอาการเหล่านี้ มากกว่าเพียงแสดงเพื่อเรียกเสียงหัวเราะ และนิโคลัส เคจมีสัญชาติญาณของความตลกแบบนั้น แต่ความอ่อนแอที่เขาใส่ลงไปใน ตัวละครต่างหากคือสิ่งที่คนดูจะรู้สึกไปกับเขา และผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งสำคัญของบทบาท นี้"
"การที่เราเลือกนิคนั้นเป็นข้อสรุปที่มีอยู่ก่อนแล้ว" สก็อตยืนยัน "ผมรู้เรื่องการทำ เรื่องนี้มาเป็นปีแล้ว - ซ้าย, ขวา, กลาง, เขาทำได้หมด เขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ รอบตัวอย่างน่าทึ่ง เขาสร้างมิติที่หลากหลายให้กับตัวละคร ทั้งความน่าเห็นใจ น่าสงสาร และพลังที่แข็งแกร่ง"
นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ตอบรับคำชมเป็นอย่างดี และระบุว่าหนึ่งในเหตุผล ที่เขาร่วมงานเรื่องนี้ก็คือการที่สก็อตมีส่วนร่วมอยู่ด้วย นับแต่ที่เขาได้กำกับการแสดง เป็นเรื่องแรกในหนังโรแมนติคดราม่าเรื่อง Sonny เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เคจก็ได้ให้ ความสนใจเป็นอันมากที่จะได้ "ดูการทำงานของอาจารย์" ในเรื่อง Matchstick Men และยังอ้างถึงเทคนิคการทำงานส่วนใหญ่ของสก็อต ที่เป็นแบบ "ถ้ามันไม่เสียก็อย่า ไปซ่อมมัน" และเขาจะเล่นผ่านในเพียงสองหรือสามเทค ซึ่งเป็นการสร้างความสดชื่น ในการทำงานให้กับนักแสดง เพราะมันจะรักษาพลังงานไว้ในระดับสูง เช่นระหว่างการ เข้าฉากเขาก็จะให้คำแนะนำที่ธรรมดาที่สุด ที่ทำให้ฉากนั้นมีชีวิตอย่างที่ผมไม่เคยคิดมา ก่อนได้"
เคจบรรยายถึงบทบาทที่เขาแสดงเป็นรอยว่า "เป็นงานแสดงที่สมดุลย์ ความ ประพฤติหลายอย่างของเขานั้นน่าขายหน้า และเราจะมองเป็นถึงความน่าขัน" เขาอธิบาย "แต่ในเวลาเดียวกันเราก็จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดสำหรับเขา เขาต้องมีพิธีการ แปลกๆ และกิจวัตรที่เต็มไปด้วยรายละเอียดสำหรับทุกเรื่อง แต่ในความเป็นจริงชีวิตของ เขานั้นจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย หากเขาไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาลในกับ ทุกเรื่อง ที่เขาทำ"
ในส่วนที่อธิบายไม่ได้ คือตอนที่รอยหลุดจากการอยู่ในกิจวัตรที่น่าเจ็บปวดได้ ในระหว่างการสวมบทคนลวงโลกอย่างเต็มที่ เมื่ออยู่ในหน้าที่ เขาจะเล่นไปตามบท อย่างน่าเชื่อถือ จนสามารถโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อว่าตนกำลังคุยอยู่กับ ตัวแทนขายสินค้า ที่อยู่ในโปรโมชั่นแจกรางวัล หรือเจ้าหน้าที่จากองค์การค้าส่วนกลาง สก็อตบอกว่า "เวลา เขายกหูโทรศัพท์ เราจะได้เห็นอีกด้านหนึ่งของรอย แน่ละที่เขามีปัญหากับการเว้นช่องเวลา ถอยรถเข้าจอดกับประตูหน้าบ้าน แล้วก็ต้องคอยเช็ดลูกบิดประตูทุกบาน รวมทั้งทำ ความสะอาดโทรศัพท์ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ แต่พอถึงเวลาที่เขาควบคุมตัวเองได้ตอนทำงาน การปฏิบัติตัวทั้งหมดของเขาก็จะเปลี่ยนไป" เวลาอื่นนอกจากนั้นแล้ว เขาจะหมดสภาพ "เขาผวากับการออกนอกบ้าน กลัวการ อยู่ในที่โล่งแจ้ง" สก็อตทบทวนถึงอาการวิตกจริตบางอย่างของรอย "เขาจะรู้สึกปลอดภัย หากได้ฝังตัวอยู่ในห้องส่วนตัวของบ้านนอกเมือง หรือไม่ก็ในรถของเขาที่ปิดหน้าต่างอย่าง มิดชิด ชุดชั้นในและถุงเท้าของเขาจะถูกพับและเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ เขากินทูน่า กระป๋อง เป็นอาหารหลัก และยังตักกินจากกระป๋องเพื่อจะได้ไม่ต้องทำให้จานเลอะ
"ผมมีความเป็นรอยอยู่ในตัวเยอะ" ผู้กำกับสารภาพอย่างขรึมๆ "ผมมักจะบังคับ ตัวเองให้พิถีพิถัน ถ้าผมอยู่บ้านคนเดียวและรู้สึกหิว ผมก็จะไม่ทำอาหารกินเอง เพราะมัน จะทำให้ครัวเลอะ แล้วยังต้องนั่งทำความสะอาดอีกด้วย ผมกับรอยเลยมีอะไรคล้ายๆ กัน หลายอย่าง แล้วผมก็เริ่มที่จะค้นหาตัวตนของเขาให้มากขึ้นเหมือนกับเป็นงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ตอนแรกๆ ผมรู้สึกประหลาดใจ แล้วต่อมาก็รู้สึกขำเอามากๆ"
ทั้งเคจและสก็อตต่างระมัดระวังที่จะไม่ทำสิ่งที่จะบิดเบือนเกี่ยวกับพฤติกรรมแบบ OCD (obsessive-compulsive disorder) และอาการโฟเบีย "สถานการณ์ของรอย บางครั้งไม่ได้น่าขันด้วยเนื้อหาของมันเอง แต่เราพยายามที่จะนำเสนอมันในรูปแบบที่คนดู จะสามารถเห็นอารมณ์ขันได้ นั่นหมายความว่าเราต้องทำงานอย่างปราณีต" เคจกล่าว เขายอมรับถึงสิ่งที่แจ็ค นิโคลสันได้ถ่ายทอดบทบาทของตัวละครที่คล้ายคลึงกันไว้ในเรื่อง As Good As It Gets เขายังบอกอีกว่า "เขาได้สร้างช่วงเวลาแห่งความบันเทิงโดยไม่ ต้องล้อเลียนบรรดาคนที่มีปัญหาเหล่านั้นจริงๆ เรามุ่งที่จะทำสิ่งเกียวกันในเรื่อง Matchstick Men อารมณ์ขันนั้นคือความเป็นจริง เมื่อรอยมองไปเห็นใบไม้ที่ลอยอยู่ในสระว่ายน้ำ ของเขาก็จะต้องรีบเก็บทิ้งทันที เพราะถ้าทิ้งเอาไว้ในสายตาของเขา มันจะทำให้เขารู้สึก หงุดหงิด"
ในส่วนลึกแล้ว เคจลงความเห็นว่าตัวละครนี้เป็น "ชายที่โดดเดี่ยว ลาออกจากงาน เป็นนักต้มตุ๋น ผ่านการหย่าร้างมานานถึง 14 ปี และไม่มีความสัมพันธ์ที่โรแมนติคกับใคร เลย ตั้งแต่นั้นมา มีกิจวัตรประจำวันที่ซ้ำซาก ขี้โกง หลอกเอาเงินจากคนแก่ หรือคู่แต่งงาน ที่ฝันลมๆ แล้งๆ หรือคนโดดเดี่ยวเหมือนกับเขาคนอื่นๆ เขารู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น และอื่นๆ อีกมากที่เป็นเชื้อไฟของโรควิตกจริต"
หุ้นส่วนอาชญากรรมของรอย - แฟรงค์ เมอร์เซอร์ ซึ่งรับบทโดยแซม ร็อคเวล กลับไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องเหล่านี้ เขานับว่าเป็นนักต้มตุ๋นอย่างแท้จริง ทั้งคล่องแคล่ว มีเสน่ห์ รู้ทันคน และเต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมแพรวพราว เริ่มทำงานตามสายตั้งแต่เช้าทุกวัน ก่อนที่รอยจะเข้ามาถึงออฟฟิซด้วยซ้ำ แฟรงค์เป็นหนี้รอยกับการฝึกสอนที่มีคุณค่า แต่เห็น ได้ชัดว่ารอยเป็นหนี้แฟรงค์ที่ทำให้เขามีสมาธิ โดยเฉพาะเวลาที่เขาตกอยู่ในความครอบงำ ของภวังค์แห่งความหวาดกลัว และต้องการความช่วยเหลือในบ้านของตัวเอง ทั้งสองเป็น เพื่อนและหุ้นส่วนที่ดีต่อกัน
"ผมคิดว่ารอยค้นพบแฟรงค์" เคจจินตนาการ "เขาชอบความเป็นแฟรงค์ มองเห็น ความเป็นไปได้และสอนทุกอย่างที่เขารู้ให้ และภูมิใจที่ได้เห็นความก้าวหน้าของแฟรงค์ ทั้งสองผูกพันกันโดยมีรอยเป็นอาจารย์"
"แฟรงค์เป็นเครื่องกลของเรื่อง" เบย์ลีย์ตั้งข้อสังเกตุ "เขาเปี่ยมไปด้วยความคิด ใหม่ๆ แซม ร็อคเวลทำให้บทบาทนี้สมบูรณ์อย่างยิ่ง - นับเป็นความสนุกสนานทุกครั้งที่ เขาปรากฎตัวบนจอ ยิ่งกับรอยแล้วเห็นได้ชัดถึงความสำเร็จของเขา ในขณะเดียวกับที่ แฟรงค์รู้สึกเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาดูน่ารัก; เขาเป็นตัวอย่างที่ดี ในการสนุกกับการทำงาน เขารักที่จะใช้ชีวิตด้วยไหวพริบและเป็นอิสระ นี่คือชายที่จะก้าว เดินต่อไปข้างหน้าในโลก ด้วยพลังแห่งบุคลิกภาพของตน"
"แน่นอน" สตาร์กี้สอดอย่างสนุกสนานว่า "นักตุ๋นทุกคนต้องปกปิดอาชีพของตน เองไว้ด้วยบุคลิกเจ้าเสน่ห์… เช่นเดียวกับพวกผู้สร้างหนัง"
ร็อคเวล เพิ่งได้รับเสียงชื่นชมและวิจารณ์จากบทบาท ชัค แบร์ริส ผู้บุกเบิกแห่ง วงการโทรทัศน์ จากเรื่อง Confessions of a Dangerous Mind สนุกสนานเป็นที่ยิ่งกับ การรับบท แฟรงค์ "คนที่มีไฟกว่าอีกคน" และมองเห็นเขาในรูปแบบที่เป็นพี่เลี้ยงแสนดี ของรอยว่า "แฟรงค์มีความสำคัญต่อรอยมาก - เขาเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่มีบทบาทต่อ ชีวิตของรอยในเวลาหลายปีที่ผ่านมา"
ร็อคเวลกล่าวถึงคู่หูในจอของเขาว่า "นิครักความเป็นธรรมชาติ ในเวลาแบบนั้น จะทำให้เราแหย่และเล่นหัวกันได้ ไดอาล็อคของเรื่องนี้เยอะมาก แต่เราไม่ต้องออกนอกบท เพราะเรามีอิสระในการสอดใส่ความเป็นตัวของเราลงไปได้อย่างแยบคาย การที่นำ นักแสดงไม่ธรรมดามารับบทตัวละครที่แปลกประหลาด ทำให้ดูสมจริงและน่าสนใจ"
"แฟรงค์เป็นตัวสมดุลย์ของรอย ไม่เพียงแต่ในชีวิตเท่านั้น แต่ยังในด้านดี/เลวของ บทบาทต้มตุ๋นที่พวกเขาแสดงไว้มากมาย" สก็อตอธิบาย "แซมทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ฝ่ากฎ, ขรึม, โฉ่งฉ่าง, ขี้โมโห - พูดมาเลย ภาพแรกที่เราเห็นทั้งคู่กำลังทำงานต้มตุ๋น ก็คือ พวกเขากำลังเดินออกมาจากประตู ดูเหมือนกับเป็นผู้เผยแพร่คำสอนของพระเยซูเจ้า"
สก็อตกล่าวว่า ก้นบึ้งของมันก็คือ "คนเหล่านี้เรียกตัวเองว่าเป็น ศิลปิน ไม่ใช่นักตุ๋น หรืออาชญากร โดยเฉพาะรอย ผู้ซึ่งเห็นว่าพรสวรรค์ของเขานั้นเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง" ปรัชญาของพวกเขาก็คือ บรรดาเหยื่อต่างเต็มไปด้วยความโลภ และไขว่คว้าหาสิ่งที่เกินตัว "เราไม่ได้เอาเงินเขา ; เขาให้เรามาเอง" รอยมักให้ความเห็นอย่างนี้ ซึ่งเป็นการขีดเส้น กันตนเองออกจากบรรดาพวกที่เขาเรียกว่าเป็นหัวขโมยทั่วไป พวกเขาไม่ใช้กำลังและไม่ งัดบ้านใคร จึงเรียกได้ว่าไม่ใช่การขโมย คนที่ไม่เห็นด้วยกับมุมมองนี้ น่าจะเป็นมหาเศรษฐีตัวแสบอย่าง ชัค เฟรทเช็ท ซึ่งรับบทโดย บรูซ แมกกิล ซึ่งมาร่วมทีมของ Matchstick Men หลังจากเสร็จงาน แสดงในบท ผู้ประกาศของ CNN - ปีเตอร์ อาร์เน็ตต์ ในสารคดีดราม่าที่ได้รับรางวัลของ HBO Live From Baghdad
เฟรทเช็ท ผู้มากด้วยความโลภ แต่ไม่ค่อยมีมันสมอง ไม่เคยเจอะเจอกับข้อเสนอ พิลึกที่เขาไม่ชอบใจ และกำลังจะเป็นผู้ที่จ่ายบำเหน็จเกษียณก้อนโตให้กับรอย - ถ้าไม่มี อะไรผิดพลาดไปเสียก่อน ร็อคเวลเคยร่วมงานกับแมคกิลในปี 1997 ในดราม่าเรื่อง Lawn Dogs พูดถึงตัวละครที่ร่าเริงคนนี้ด้วยประโยคที่ว่า : "เฟรทเช็ทร่ำราย หัวสูงอย่างงี่เง่า และเผ้าคอยลาภก้อนใหญ่" เมื่อแม็คกิลได้อ่านสคริปท์เรื่องนี้ เขารู้สึกประทับใจเป็นอันมากกับการเดินเรื่อง ที่มีอารมณ์ขันอย่างเป็นธรรมชาติ "โดยไม่ต้องพึ่งเรื่องโจ๊ก ใน Matchstick Men" เขาบอกว่า "มันเป็นมนตร์แห่งพฤติกรรมของมนุษย์ที่สร้างความบันเทิงให้เรา การได้เห็นการตอบโต้ ของตัวละคร ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในร้านอาหาร แล้วพบว่าตัวเองกำลังตะแคงหูฟัง เรื่องที่คนในโต๊ะข้างๆ นั่งคุยกันอยู่"
ทีมผู้สร้างได้ทาบทามให้ บรูซ อัลท์แมน (Changing Lanes) มาเป็นผู้รับบท จิตแพทย์ใจดี - ดร. ไคลน์ ซึ่งก้าวเข้ามาในชีวิตของรอยในตอนที่หมอคนเดิมย้ายไปเมืองอื่น เขาไม่ได้รักษาด้วยวิธีเดียวกับหมอคนแรก ซึ่งให้แต่ยารับประทานกับรอย แต่ไคลน์ยัง คะยั้นคะยอให้ใช้วิธีบำบัดจิตร่วมด้วยเล็กน้อย พร้อมทั้งกระตุ้นให้คนไข้ที่ปิดปากและ แผลชีวิตเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ให้ย้อนมองตนเองก่อน
ในการพูดถึงบรรดาความหวาดกลัวและอาการกระตุกที่นับไม่ถ้วนของรอย อัลท์แมนพูดอย่างพิศวงถึง "อาการตอบโต้ของร่างกาย และการที่เราพยายามควบคุมมันไว้ ในส่วนลึกแล้ว จอมต้มตุ๋นจะฝ่าฝันไปด้วยความมั่นใจ เช่นเดียวกับสัญชาติญาณของพวกเขา พวกเขาทำอาชีพที่ต้องคุมตัวเองไว้เป็นอย่างดี และเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่อาจควบคุมได้ ก็คือการเคลื่อนไหวของร่างกายตนเอง มันเป็นเรื่องที่คลาสสิค เราทุกคนต้องเคยผ่าน ประสบการณ์นี้ เมื่อเจอกับงานใหญ่ที่จู่ๆ ก็ก้าวขาไม่ออกเสียอย่างนั้น"
การโน้มน้าวอย่างนุ่มนวลของไคลน์ ทำให้รอยเปิดเผยตนเองในที่สุดว่าเขาเคย แต่งงานมาก่อน และภรรยาผู้สงสัยว่ามีครรภ์ของเขาได้เดินออกไปจากชีวิต ทิ้งให้เขา อยู่กับคำถามมาเป็นเวลา 15 ปี ว่าเขามีลูกอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่เคยรวบรวมความกล้าพอ ที่ติดต่อไปยังคนที่เป็นอดีตของเขา รอยบอกกับไคลน์ว่าจะทำเพื่อเขา และกลับได้พบ - ท่ามกลางความยินดีและหวาดหวั่นของเขา - ว่าเขามีลูกสาวที่เต็มใจจะพบกับเขาอยู่หนึ่งคน
เซอร์ไพรซ์วัย 14
หลังจากที่พึ่งไคลน์ให้เป็นผู้โทร. ไปหาเป็นครั้งแรก คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวของรอย เอง ที่จะได้พบกับลูกสาวที่เพิ่งรู้ว่ามีของเขา แอนเจล่า เป็นเด็กสาววัย 14 ที่ฉลาด และร่าเริง ซึ่งรับบทโดย อลิสา โลห์แมน ซึ่งได้รับตำแหน่งดาราดาวรุ่งเมื่อปีกลาย จากภาพยนตร์ ดราม่าเรื่อง White Oleander และแร็พเก้ท้าวความว่า "ตอนที่ชื่อของเธอถูกนำเสนอถึง ความเป็นไปได้ ผมบอกกับแร็พเก้ว่า 'คุณต้องดูหนังเรื่อง White Oleander นะ; เธอเหลือเชื่อมาก' เธอสามารถรับบทได้ตั้งแต่เป็นเด็กจนผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่เหมาะ- เจาะที่มีในตัวแอนเจล่า"
"อลิสันยอดเยี่ยมมาก" เคจกล่าวชมอย่างจริงใจ "ผมไม่เคยเห็นการแสดงของเธอ มาก่อน เธอลื่นไหลและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และน่าทึ่งที่ได้ชม เธอมีความสามารถที่จะใชั พลังอารมณ์ของตน และจะสร้างผลงานที่สมจริงออกมาได้ทุกครั้ง"
แอนเจล่าได้พบกับบิดาจอมประสาทของเธอครั้งแรกในสวนสาธารณะ โดยไม่มี ส่วนประกอบอื่นใด นอกจากตัวเขาเอง "ในตอนแรกเธอรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยปกติ จากเสื้อผ้า และอาการกระพริบตาถี่ๆ ของเขา ; เธอไม่ค่อยแน่ใจว่าจะทำตัวอย่างไรดี" โลห์แมนกล่าว "แต่เมื่อใช้เวลากับเขามากขึ้นก็ชอบเขามากขึ้นเรื่อยๆ ฉันว่าเธอถูกใจเขาตรงที่เขาทำให้เธอ หัวเราะได้"
นิสัยอันแปลกประหลาดที่หลากหลายของรอย ทำให้เขาเป็นที่รักของสูกสาว นอกเหนือจากการใช้ชีวิตที่อึมครึมของเขา โลห์แมนเชื่อว่าแอนเจล่าชื่นชมในความ "ซื่อสัตย์ของรอย เขาเป็นตัวเอง และไม่พยายามที่จะซ่อนเร้นสิ่งใด และฉันเชื่อว่า นั่นคือสิ่งพื้นฐานที่เด็กๆ ต้องการจะได้รับจากพ่อแม่ ในตัวตนที่แท้จริง"
"แอนเจล่ายังเด็กและกำลังเบื่อ" เธออธิบาย "ตอนนั้นเป็นช่วงปิดภาคฤดูร้อน เธอพบว่ามีพ่ออยู่ใกล้ๆ จึงรีบตะครุบโอกาสที่จะได้เจอกับเขา เธออยากรู้ว่าเขาเป็นยังไง และเมื่อได้รู้ว่าเขาเป็นศิลปินต้มตุ๋น จึงเหมือนได้รับโบนัส มันดึงดูดความพยศในตัวของ เธอ แน่ละ เธออยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน"
"ในเวลาเดียวกัน รอยก็พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะปรับเปลี่ยนชีวิตการทำงานของเขา เพื่อให้กับองค์ประกอบใหม่ๆ ในชีวิตส่วนตัวของเขา" เท็ด กริฟฟิน เสนอความคิดเห็น "ความพยายามที่จะเป็นทั้งพ่อ และอาชญากรในเวลาเดียวกัน โดยไม่ทำให้บทบาททั้งสอง อย่างกระทบกระเทือนซึ่งกันและกัน….ซึ่ง แน่ละ มันต้องกระเทือน"
ความไม่เคร่งเครียดกับการใช้ชีวิตของแอนเจล่านั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามโดยสิ้นเชิง กับ ความจุกจิกของพ่อ ซึ่งสัมผัสได้นับแต่ก้าวแรกที่เธอเหยียบย่างเข้าไปในบ้าน และย่ำไป บนพรมที่แสนสะอาดบริสุทธิ์ของเขาโดยไม่ได้ถอดรองเท้าออกก่อน ตอนที่เธอยืดเวลา ค้างกับพ่อออกไปนั้น รอยต้องกลับมาพบกับกล่องพิซซ่า กับสมบัติจุกจิกส่วนตัวของลูกสาว ที่ทิ้งกระจายเอาไว้ทั่วบ้าน และตัวเธอเองก็กำลังสนุกสนานอยู่ในสระว่ายน้ำ นับเป็น ครั้งแรกที่สระว่ายน้ำถูกใช้งาน นอกเหนือจากการเป็นเงาสะท้อนนับแต่รอยย้ายเข้ามาอยู่ บ้านนี้
"การเข้ามาสู่ชีวิตรอยของแอนเจล่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการบุกรุก - จากมุมมองของเขา" สก็อตกล่าวพร้อมกับหัวเราะ "ความยุ่งเหยิง ยุ่งเหยิงอย่างร้ายกาจ! ความเป็นส่วนตัวภายในใจของเขานั้นถูกรบกวนเป็นอย่างมาก" โลฟ์แมนกล่าว "เหมือนกับ ใครปล่อยลูกหมาให้เข้ามาวิ่งทั่วบ้าน"
แต่จะยุ่งเหยิงหรือไม่ รอยก็ยังใคร่จะเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์กับเด็กสาว และเล่น บทพ่ออย่างที่ไม่เคยคุ้นมาก่อน ด้วยความเคร่งครัดเหมือนที่เขาเป็นกับเรื่องอื่นๆ
เคจอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ว่า "ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อรอยค้นพบว่าตัวเอง มีลูกสาวที่เกิดจากชีวิตแต่งงานที่ล้มเหลว ตอนแรกเขาไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก็ตื่นเต้นและ ประสาท จู่ๆ เราจะกลายเป็นพ่อของเด็กวัยรุ่นสักคนได้ยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราลำบากพออยู่แล้วที่ต้องดูแลตัวเอง? แต่หนึ่งในหลายสิ่งที่ทำให้รอยเป็นคนน่ารัก ก็คือเขายอมรับมัน เขารักเธอในทันทีที่ได้พบ และพร้อมที่จะรับผิดชอบ แม้ว่าตัวเอง จะไม่สมบูรณ์ปานนั้นก็เถิด
"หลังจากการมาถึงของแอนเจล่า ชีวิตของรอยก็เปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อย" เคจ กล่าวต่อ "เขาพยายามที่จะออกไปนอกบ้านมากขึ้น และทักทายกับคนอื่นอย่างง่ายๆ เราได้ เห็นว่ารอยมีชีวิชีวาขึ้นหน่อย" แต่ไม่ใช่เฉพาะรอยหรอกที่ เปลี่ยนไปจากความสัมพันธ์นั้น "เด็กทุกคนมีความอยากลักเล็กขโมยน้อยอยู่ในตัว" สตาร์กี้กล่าว "พอแอนเจล่า ได้รู้ว่าพ่อของเธอเป็นนักต้มตุ๋นนั้น นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เหมือนที่เด็กทุกคน ฝันเอาไว้ น่าตื่นเต้น เหมือนที่เคยดูในหนัง และเธอก็ตื้อไม่เลิก - 'โอ พ่อขา ให้หนูร่วม ขบวนการด้วยนะ ทำให้ดูหน่อยซี เอาแบบง่ายๆ ก็ได้ นะคะ นะคะ น่าสนุกออก' ใช่ ในหนังละก็สนุกอยู่หรอก แต่ในชีวิตจริงมันยากกว่านั้นนะ แล้วรอยก็ไม่อยากให้เธอ เกี่ยวข้องด้วย แต่เธอช่างหัวรั้นเหลือเกิน จนเขาต้องยอมแพ้ บวกกับสิ่งที่ฉันคิดว่าเป็น ความภูมิใจ แม้ว่ามันจะขัดกับความรู้สึกในการทำงานของตัวเอง ความจริงก็คือเขาเก่ง และอยากจะแสดงให้ลูกเห็นว่าเขาทำอะไรได้บ้าง
"แน่นอน" ผู้อำนวยการสร้างสรุป "เขาเสียใจนะ" "ผลสะท้อนของสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อ/ลูกสาว ก็คือ ความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ อาจแปรเปลี่ยนไปเป็นความสัมพันธ์อันตรายได้" เท็ด กริฟฟินกล่าวเตือน -ไม่ใช่เพียงทั้งคู่ แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์ฉันท์หุ้นส่วนอันยาวนานระหว่างเขาและแฟรงค์อีกด้วย
"แฟรงค์กังวลว่าเธอจะทำให้พวกเขาเดือดร้อน เขาไม่อยากได้บุคคลที่สาม โดย เฉพาะพวกมือสมัครเล่น" สก็อตอธิบายถึงความระแวงระไวของเมอร์เซอร์ ในการต้อนรับ เด็กสาว "เขาและรอยเข้าขากันได้ดี และในความคิดของแฟรงค์ สองดีกว่าสาม หากเพิ่มตัว เล่นเข้าไป ก็เหมือนเพิ่มความเสี่ยงที่จะผิดพลาดด้วย"
(ยังมีต่อ)
-รก-

แท็ก ภาพยนตร์  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ