กรุงเทพฯ--11 ต.ค.--กรมสรรพากร
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่11ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้การบริจาคเงินหรือทรัพย์สิน ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2554 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ผู้บริจาคสามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้ 1.5 เท่าของจำนวนเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาค โดยครอบคลุมผู้รับบริจาคดังนี้
(1) ส่วนราชการ
(2) กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี
(3) องค์การหรือสถานสาธารณกุศล
(4) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ที่เป็นตัวแทนรับเงินหรือทรัพย์สินที่บริจาคเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ทั้งนี้ผู้บริจาคหากเป็นบุคคลธรรมดาเฉพาะที่บริจาคเป็น “เงิน”เท่านั้น ที่สามารถนำไปหักลดหย่อนในการคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ แต่ทั้งนี้เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อน ส่วนนิติบุคคลสามารถบริจาคได้ทั้ง “เงินและทรัพย์สิน” แต่ทั้งนี้เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์แล้วต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า“มาตรการดังกล่าวนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนในทุกภาคส่วน รวมทั้งบริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วประเทศ ได้ร่วมกันบริจาคเงินหรือสิ่งของ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยสามารถบริจาคให้แก่ส่วนราชการ กองทุนของส่วนราชการ มูลนิธิ สมาคม รวมทั้งการบริจาคผ่านตัวแทนต่างๆ ได้”
ดร. สาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ที่ประสงค์จะเป็นตัวแทนรับบริจาคองค์กรดังกล่าวจะต้องมาแจ้งชื่อต่อกรมสรรพากร เพื่อแสดงว่าเป็นผู้ทำหน้าที่ดำเนินการในลักษณะเป็นสื่อกลางในการเป็นตัวแทนรับเงิน ทรัพย์สิน หรือสินค้าดังกล่าว ทั้งนี้ จะต้องแจ้งระหว่างเกิดเหตุอุทกภัยหรือแจ้งภายใน 1 เดือนนับถัดจากวันที่เหตุอุทกภัยนั้นได้สิ้นสุดลงแล้วก็ได้”
สำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร
โทร. 0 2272 9479