อธิบดีกรมธนารักษ์มอบแนวทางในการจัดการปัญหาน้ำท่วม

ข่าวทั่วไป Wednesday October 12, 2011 10:11 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 ต.ค.--กรมธนารักษ์ เมื่อบ่ายวานนี้ (11 ต.ค. 54) นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ ได้เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงของกรมธนารักษ์ เพื่อหาแนวทางที่ได้รับมอบหมายจากนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่มอบหมายให้กรมธนารักษ์ ในฐานะที่เป็นเจ้าของที่ราชพัสดุ 12.5 ล้านไร่ทั่วประเทศ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาน้ำท่วมของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งหลังการประชุมนายนริศ ได้เปิดเผยว่า ในการประชุมตนได้รับฟังความคิดเห็นต่างๆของเจ้าหน้าที่ในส่วนต่างๆที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการที่ราชพัสดุ และได้มอบหลักในการจัดการปัญหาน้ำท่วมให้เจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์ไปดำเนินการดังต่อไปนี้ 1. ให้มีการสำรวจว่าที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ทั้งหมด มีพื้นที่ใดที่เป็นจุดเสี่ยงที่เกิดน้ำท่วม หรืออยู่ใกล้จุดเสี่ยงที่เกิดน้ำขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้มีการรวบรวมข้อมูลสถิติย้อนหลังให้มากที่สุด เพื่อดูความน่าจะเป็นของความเสี่ยงนั้น 2. ให้มีการเก็บข้อมูลการเกิดน้ำท่วมในแต่ละจุดว่าน้ำท่วมดังกล่าวมีลักษณะใด เกิดจากสาเหตุอะไร เนื่องจากชนิดของการท่วมของน้ำ ความยาวนานของการท่วม เวลาของการท่วม ไม่เหมือนกันในแต่ละพื้นที่ 3. ศึกษาพฤติกรรมและวัฒนธรรมของชุมชนที่อาศัยอยู่ในแต่ละพื้นที่ด้วย เนื่องจากจะมีผลต่อการออกแบบนโยบายช่วยเหลือและป้องกันน้ำท่วม โดยในข้อ1-3 นี้ขอให้มีการตั้งเป็นคลังข้อมูลที่กรมธนารักษ์ เพื่อใช้ประโยชน์ในระยะยาว แม้มีการเปลี่ยนผู้รับผิดชอบ 4. ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำท่วมทั้งหมด รวมทั้งกระทรวงต่างๆ สถาบันการเงิน มูลนิธิ และหน่วยงานเอกชนทั้งหมด เพื่อให้เกิดการบูรณาการและกำหนดบทบาทที่ชัดเจนของกรมธนารักษ์และไม่ให้มีการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่คุ้มค่า ประหยัดงบประมาณของรัฐ 5. ในระยะสั้น ที่เกิดน้ำท่วมขึ้นแล้ว หรือคาดว่าจะเกิดในไม่ช้า จะเน้นมาตรการบรรเทาความเดือดร้อน โดยให้ทางกรมธนารักษ์จัดทำคู่มือให้ธนารักษ์พื้นที่ใช้เป็นแนวทาง หรือ check list ในสิ่งที่กรมธนารักษ์จะทำได้ในการให้ความช่วยเหลือราษฎร โดยเฉพาะให้มีการนำนโยบายของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ในการจัดหาพื้นที่ภายใต้การดูแลของกรมธนารักษ์เพื่อเป็นที่หลบภัย หรือ พักพิงชั่วคราว เมื่อไม่สามารถอาศัยอยู่ในที่พักพิงของตนเองได้ 6. ในระยะกลางและระยะยาว กรมธนารักษ์จะเน้นมาตรการป้องกัน เพื่อลดผลกระทบจากน้ำท่วมด้วยวิธีจัดการ 2 วิธี คือ วิธีที่หนึ่ง “การลดความรุนแรงของน้ำท่วม” และวิธีที่สอง “การลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากน้ำท่วม” 7. วิธีที่หนึ่ง “การลดความรุนแรงของน้ำท่วม” เป็นการดำเนินงานทางด้านวิศวกรรมต่างๆที่จะลดอิทธิพลของน้ำท่วมที่มีต่อประชาชน หรือกล่าวอีกในหนึ่ง เป็นการกันไม่ให้น้ำมาถึงประชาชน โดยกรมธนารักษ์มีหน้าที่ในการหาพื้นที่ราชพัสดุเพื่อรองรับการสร้างเขื่อน ฝายกั้นน้ำ อ่างเก็บน้ำ ตลอดจนการดำเนินการขุดลอกห้วย หนอง คลอง บึงที่เป็นที่ของกรมธนารักษ์ และการปรับปรุงแหล่งกักขังน้ำตามธรรมชาติ และหาพื้นที่ทำเป็นแก้มลิง โดยวิธีการนี้นายนริศ กล่าวว่าเป็น “วิธีผันน้ำหนีคน” 8. วิธีการที่สอง “การลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากน้ำท่วม” มีสองมาตรการ โดย มาตรการแรก เป็นวิธีที่นายวิรุฬ ได้ให้ความคิดเห็นไว้ คือ การสร้างระบบการทำนายน้ำท่วมที่แม่นยำและการเตือนภัยในระยะเวลาเหมาะสม ซึ่งทางกระทรวงการคลังยินดีที่จะสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งระดับประเทศและระดับพื้นที่มีเทคโนโลยีการคาดการณ์น้ำท่วมที่แม่นยำ ซึ่งเทคโนโลยีน้ำต้องสามารถเชื่อมโยงกับระบบเตือนภัยที่ทันท่วงที มาตรการต่อมา คือ การจัดทำโซนน้ำท่วม ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่มอบให้เจ้าหน้าที่ไปศึกษาว่า ถ้าพื้นที่ไหน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ มีโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมยั่งยืนหรือยากที่จะแก้ไข อาจมีข้อจำกัดไม่ให้ใช้พื้นที่นั้น เพื่อลดต้นทุนของรัฐบาลที่มีภาระต้องเข้ามาช่วยเหลือ หรือถ้าจำเป็นต้องใช้พื้นที่นั้น จะต้องมีการออกข้อกำหนดเพื่อลดภาระของรัฐ เช่น ถ้าใช้พื้นที่เป็นที่อยู่อาศัยต้องมีการกำหนดรูปแบบและวิธีปลูกสร้างอาคารที่สามารถรองรับเหตุการณ์น้ำท่วมได้ หรือถ้าเป็นพื้นที่เกษตรกรรม อาจกำหนดให้เกษตรกรที่ใช้พื้นที่ดังกล่าว ซื้อประกันภัยพืชผลอันเกิดจากอุทกภัย เป็นต้น ซึ่งวิธีการที่สองนี้นายนริศ เรียกรวมว่าเป็น “วิธีผันคนหนีน้ำ” 9. ในการดำเนินนโยบายข้างต้นที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด จะต้องให้มีการบูรณาการหรือปรึกษาหารือระหว่างธนารักษ์พื้นที่ต่างๆด้วยกันอย่างใกล้ชิด เพราะการแก้ความสำเร็จในการแก้ปัญหาในพื้นที่หนึ่งอาจสร้างปัญหาให้กับพื้นที่ใกล้เคียงได้ ซึ่งแนวทางนี้อธิบดีกรมธนารักษ์เชื่อว่าได้มีการดำเนินการแล้วในระดับหนึ่งผ่านระบบ cluster ของกรมธนารักษ์ 10. สิ่งที่สำคัญมากในการดำเนินโครงการจัดการน้ำท่วมให้สำเร็จ คงไม่อาจพึ่งพาหน่วยงานอย่างกรมธนารักษ์หรือความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอกได้อย่างเดียว แต่ต้องพึ่งท้องถิ่นทั้งในแง่ภูมิปัญญาในการแก้ปัญหาของตนเอง และในแง่ทรัพยากรและงบประมาณต่างๆ ที่องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นมีศักยภาพ ดังนั้น อธิบดีกรมธนารักษ์จึงเน้นให้เจ้าหน้าที่ธนารักษ์ทุกคนพยายามหาวิธีประสานเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายของกรม และศักยภาพที่เป็นจริงในท้องถิ่น ทั้งในแง่ความรู้ ทรัพยากรและความร่วมมือของคนพื้นที่ เพื่อให้บริหารจัดการน้ำท่วมของกรมธนารักษ์เกิดประโยชน์สูงสุด สุดท้ายอธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวว่า ด้วยแนวทางที่กล่าวมาทั้งหมด 10 ประการนี้ จะช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบทบาทของกรมธนารักษ์ จากการเน้น “การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบปัญหาเมื่อเกิดน้ำท่วม” มาเป็น “การป้องกันและลดผลกระทบของการเกิดน้ำท่วมในอนาคต”ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในที่สุด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ