กรุงเทพฯ--13 ต.ค.--ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน
จากปรากฎการณ์ภาวะโลกร้อนที่นับวันจะทวีความรุนแรงส่งผลให้ทั่วโลกมีการตื่นตัวมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลทั่วโลกได้รับทราบถึงข้อตกลงในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน สำหรับภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ ได้มีการหันมาลดน้ำหนักของยานพาหนะโดยเลือกใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาแทนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างสูงสุด โดยจากการวิจัยพบว่าหากน้ำหนักของพาหนะลดลงร้อยละ 10 จะทำให้สามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ประมาณร้อยละ 5-7 (mpg)
จากผลการวิเคราะห์ของ บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน องค์กรให้คำปรึกษาและวิจัยระดับโลก เรื่อง “Prevalent Substitution Trends within Materials and Chemicals in Automotive Lightweighting” พบว่า ตลาดนี้น่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 38 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2553 เป็นประมาณ 95.34 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2560
สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ในทวีปยุโรป การนำวัสดุที่มีน้ำหนักเบามาใช้มากขึ้นจะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจาก ปัจจุบันที่ 160 กรัม / กม. มาเป็น 130 กรัม / กม. ได้ภายในปี 2555 — 2558 ในขณะที่ฝั่งอเมริกา ผู้ผลิตรถยนต์ในอเมริกาได้มีการตั้งค่าเพื่อเป็นมาตรฐานไว้อยู่ที่ 35-39 mpg (miles per gallon) ในปี 2559
มร. ซันดีพาน มอนดาล นักวิเคราะห์จากฟรอสต์แอนด์ซัลลิแวน กล่าวว่า “นอกจากกฎหมายเหล่านี้จะถูกบังคับใช้เพื่อช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว มันยังเป็นการท้าทายผู้ผลิตรถยนต์ในการแสวงหานวัตกรรมใหม่ๆมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับข้อกฎหมาย ในขณะที่ยังคงต้องทำกำไรให้แก่บริษัทได้อีกด้วย”
วัสดุที่มีน้ำหนักเบาจะช่วยลดน้ำหนักโดยรวมและปริมาณการปล่อยก๊าซ แต่ก็ยังเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจของผู้ผลิต ดังนั้น ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้ ทั้งผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์ต่างก็ไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะเปลี่ยนจากการใช้วัสดุที่มีโลหะเป็นพื้นฐานไปเป็นวัสดุทางเลือกอื่นเท่าใดนัก
“จากกฎระเบียบข้อบังคับมากมายเกี่ยวกับการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพต่างๆในทุกวันนี้ ส่งผลให้มันยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่น่าจับตามองในวันนี้และอีกสิบปีถัดไปข้างหน้า ในขณะที่การนำพลาสติกมาใช้ในส่วนโครงสร้างที่ต้องการคุณสมบัติทนต่อแรงกระแทกลดลง ผู้ผลิตยังคงต้องหาวัสดุอื่นๆมาเพื่อทดแทนต่อไป” มร. มอนดาล กล่าวทิ้งท้าย