กรุงเทพฯ--14 ต.ค.--กสท โทรคมนาคม
จากสถานการณ์อุทกภัยที่หลายๆ พื้นที่ในประเทศไทยได้ประสบอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนและองค์กรธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเขตพื้นที่ภาคกลางในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งมีระดับน้ำสูงจนไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้นิคมอุตสาหกรรมหลายๆ แห่งได้รับผลกระทบจนไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้ส่งผลกระทบกับระบบโครงข่ายการให้บริการวงจรสื่อสารข้อมูลของ CAT
โดยล่าสุด CAT ได้ลงพื้นที่สำรวจ เตรียมความพร้อมตั้งรับกับสถานการณ์วิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้น เบื้องต้นได้จัดทีมปฏิบัติการรองรับเหตุฉุกเฉิน ณ บริเวณอาคาร CAT Tower บางรัก และศูนย์โทรคมนาคมนนทบุรี ซึ่งเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมหลัก โดยได้มีมาตรการดูแลเคร่งครัดในส่วนของสาธารณูปโภค อาทิ ระบบไฟฟ้าสำรอง, พนังกั้นน้ำรอบอาคาร ฯลฯ พร้อมจัดเตรียมเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชม. รวมถึงมอนิเตอร์ตรวจสอบระบบโทรคมนาคมในพื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม เพื่อเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที
“ขณะนี้มีพื้นที่ที่ต้องปิดการให้บริการในส่วนของนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ, สหรัตนนคร, ไฮเทค พื้นที่อำเภอนครหลวง และพื้นที่เดชาวุธ ในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขระบบโดยเร่งด่วน โดยมีพื้นที่เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดในพื้นที่ทีมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็น นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน อยุธยา นิคมอุตสาหกรรมบางกระดีและนวนคร ปทุมธานี รวมถึง ชุมสายที่อยู่ในเขตพื้นที่ลาดหลุมแก้ว คลองหก บ้านอารีย์ บ้านปทุม และบ้านโสภิตา ซึ่งขอให้ผู้ใช้บริการของ CAT ทุกท่านมั่นใจได้ว่าเราได้เตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีที่สุด เพื่อป้องกันให้ส่งผลกระทบกับผู้ใช้บริการให้น้อยที่สุด” นายสมพล จันทร์ประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจบรอดแบนด์ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าว
ปัจจุบัน CAT เป็นผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมในและระหว่างประเทศที่มีโครงข่ายเชื่อมโยงทั้งภาคพื้นดิน ทางดาวเทียม และระบบเคเบิ้ลใต้น้ำระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการให้บริการได้ทั่วโลก โดยทุกระบบจะมีเส้นทางสำรองเพื่อลดปัญหาระบบล่มเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน และภัยธรรมชาติ รวมทั้งเส้นทางระบบเคเบิ้ลใต้น้ำที่ CATเป็นผู้ลงทุน ได้ถูกออกแบบให้หลีกเลี่ยงแนวพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำให้สามารถลดปัจจัยความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมลงไปได้