บทวิเคราะห์ประจำปีเกี่ยวกับภาพรวมของเทคโนโลยี โดยบริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด

ข่าวทั่วไป Monday January 5, 2004 16:16 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--5 ม.ค.--คาร์ลบายร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์
พ.ศ. 2546 - ปีแห่งการก้าวสู่ยุคไร้สาย
ปี 2546 นับเป็นปีแห่งความจดจำเกี่ยวกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไร้สาย การอัพเกรดเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าที่ใช้มาแล้วสักสี่หรือห้าปี ระบบการประมวลผลประสิทธิภาพสูง และการที่ระบบประมวลผลกับการสื่อสารผสมผสานเข้าด้วยกันได้อย่างแท้จริงในระดับเมนสตรีม
อาจกล่าวได้ว่าปี 2546 เป็นปีแห่งการก้าวเข้าสู่ยุคแห่งโลกไร้สาย ในวงการอุตสาหกรรมนี้ได้แสดงให้เราเห็นว่าการใช้เทคโนโลยีไร้สาย (หรือที่รู้จักกันในชื่อของ มาตรฐานไว-ไฟ หรือ 802.11x) เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วสำหรับการติดตั้งภายในบ้าน สำนักงาน และในกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ยกตัวอย่างเช่น การเปิดตัว อินเทล เซนทริโน โมบายล์ เทคโนโลยี สำหรับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ก ซึ่งมีคุณสมบัติใหม่ๆ รวมถึงคุณสมบัติในการเชื่อมต่อเครือข่ายแลน ไร้สายอยู่ในตัว และคุณสมบัติในการยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ซึ่งช่วยให้คอมพิวเตอร์แบบพกพาสามารถทำงานแบบไร้สายได้สะดวกยิ่งขึ้น และยังเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนวิธีการใช้งานประมวลผลและการสื่อสารของผู้คนในยุคนี้
อุปกรณ์สำหรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายและฮอตสปอตได้เริ่มต้นเปิดตัวอย่างแท้จริงกันในปี 2546 นี้เอง ตามผลการวิจัยของบริษัท Pyramid Research ชี้ให้เห็นว่าเมื่อสิ้นปี 2546 กว่าครึ่งของฮอตสปอตที่ให้บริการไว-ไฟทั่วโลกจะอยู่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และภายในสิ้นปี 2546 อีกเช่นกันที่ฮอตสปอตตามสถานที่สาธารณะจะมีจำนวนรวมทั้งสิ้นมากกว่า 45,000 แห่งทั่วโลก เปรียบเทียบกับเมื่อปลายปี 2545 ที่มีการติดตั้งฮอตสปอตทั้งหมด 20,000 แห่ง สำหรับในปี 2546 คาดว่ามีฮอตสปอตกว่า 24,000 แห่งที่ติดตั้งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งชี้ให้เห็นว่าภูมิภาคนี้เป็นผู้นำในด้านการนำเทคโนโลยีไว-ไฟมาใช้ ส่วนในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือต่างก็มีฮอตสปอตมากกว่า 10,000 แห่งในแต่ละทวีป
การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊กทั้งที่บ้านและที่ทำงานมีอัตราการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าทึ่ง แม้ว่าเศรษฐกิจซบเซาจะทำให้ทั่วโลกประหยัดการใช้จ่ายลง โดยการ์ทเนอร์ได้ให้ความเห็นว่า ตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้กมีสัดส่วนร้อยละ 18 ของตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลโดยรวมในไตรมาสแรกของปี 2546 เมื่อเทียบกับส่วนแบ่งตลาดโน้ตบุ้กในไตรมาสเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 15 ไอดีซียังได้คาดการณ์ว่าอัตราส่วนแบ่งของการจัดส่งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลโดยรวมจะเพิ่มขึ้นโดยดูจากยอดขายคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ซึ่งคาดว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจะมีส่วนแบ่งร้อยละ 25 จากยอดขายคอมพิวเตอร์โดยรวมทั่วโลก
ในปี 2546 และร้อยละ 27 ในปี 2547 ในปี 2548 มีการคาดการณ์ว่าร้อยละ 80 ของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้กที่มีการซื้อขายทั่วโลกจะเป็นโน้ตบุ้กรุ่นที่มีคุณสมบัติการทำงานแบบไร้สาย
นอกจากนี้เรายังเห็นอีกว่า อินเทล เซนทริโน โมบายล์ เทคโนโลยี ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากทั่วโลก นับตั้งแต่ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ ผู้ให้บริการ สนามบิน โรงแรม และตามสถานที่ต่างๆ ในวันที่มีการเปิดตัวอินเทล เซนทริโน โมบายล์ เทคโนโลยี เมื่อเดือนมีนาคม 2546 นั้น มีโน้ตบุ้กที่ใช้เทคโนโลยีนี้รวมทั้งสิ้น 34 รุ่นด้วยกัน แต่ในปัจจุบันปรากฏว่าผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ทั่วโลกได้มีการจัดส่งคอมพิวเตอร์รุ่นต่างๆ ที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวรวมถึง 92 รุ่น และคาดว่าภายในสิ้นปี 2546 โน้ตบุ้กทั่วโลกที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวจะมีขายมากกว่า 130 รุ่นด้วยกัน สำหรับการตรวจสอบความสามารถในการทำงานของอินเทล เซนทริโน โมบายล์ เทคโนโลยี ตามฮอตสปอตต่างๆ นั้น อินเทลได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้วเป็นจำนวนกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 10,000 แห่งภายในสิ้นปี 2546
คอมพิวเตอร์โน้ตบุ้กช่วยให้พนักงานมีอิสระในการเชื่อมต่อได้ตลอดเวลาและใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติพิเศษของเทคโนโลยีไร้สายได้อย่างเต็มที่ ความสามารถในการทำงานแบบเคลื่อนที่ทำให้ผู้ใช้มีอิสระและยืดหยุ่นต่อการทำงานได้มากขึ้น และพึงพอใจกับประโยชน์ที่ได้รับ ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มสูงขึ้น และรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นทั้งตามที่ทำงาน โรงเรียน ที่บ้าน หรือแม้แต่ในระหว่างเดินทาง ทั้งนี้ ความสามารถในการทำงานแบบเคลื่อนที่จะยังคงครองกระแสแห่งความสำเร็จต่อไปในอนาคต
โทรศัพท์มือถือจะมียอดขายเกินห้าร้อยล้านเครื่องในปี 2547
การเติบโตของโทรศัพท์มือถือทั่วโลกในปี 2546 นั้นมีปริมาณสูงกว่า 460 ล้านเครื่อง และคาดว่าตลาดจะขยายตัวต่อไปในปี 2547 และไอดีซีได้คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนเกินกว่า 500 ล้านเครื่องเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนวตกรรมของรูปแบบสินค้า คุณสมบัติและประสิทธิภาพที่มีให้อย่างเพียบพร้อมและหลากหลาย ราคาสินค้าที่ลดลง ล้วนเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงคาดหวังกันว่าผู้บริโภคจะพากันอัพเกรดไปใช้สินค้าและอุปกรณ์ในยุคถัดไป
สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลของผู้ใช้ในปัจจุบันซึ่งปรารถนาที่จะอัพเกรดอุปกรณ์ของตน เมื่อรวมกับความต้องการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างเช่น ประเทศจีน ฟิลิปปินส์ และไทย ทำให้คาดว่าตลาดโทรศัพท์มือถือจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีหน้า ไอดีซีเชื่อว่ายอดขายโทรศัพท์มือถือจะมีอัตราการเติบโตในปี 2547 เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 8 เนื่องจากมียอดการจัดส่งโทรศัพท์มือถือในระบบ 2.5G และ 3G เพิ่มขึ้นทั่วโลก
สำหรับจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในปี 2547 นั้น คาดว่าจะมีปริมาณถึง 1,400 ล้านคนทั่วโลก
โดยไอดีซีคาดการณ์ว่าตลาดโทรศัพท์มือถือระบบ 2.5G จะมีการเติบโตปีต่อปีที่ร้อยละ 42 เนื่องจากผู้ผลิตมีการส่งมอบโทรศัพท์มือถือไปแล้วเป็นจำนวนกว่า 241 ล้านเครื่อง ในขณะที่การจัดส่งโทรศัพท์มือถือในระบบ 3จี จะมียอดรวมกว่า 48 ล้านเครื่องในปี 2547 ซึ่งแสดงว่า
ในปี 2546 ตลาดเติบโตถึงร้อยละ 140 สิ่งที่ช่วยผลักดันให้ตลาดโทรศัพท์มือถือเติบโตอย่างมาก ได้แก่ การเกิดโทรศัพท์มือถือติดกล้องที่มีเทคโนโลยีจับภาพดิจิตอลในตัว โดยตลาดในส่วนนี้จะเติบโตร้อยละ 64 ในปี 2547 ซึ่งจะมีจำนวนถึง 100 ล้านเครื่อง ในขณะเดียวกันไอดีซีได้คาดการณ์ว่า สมาร์ทโฟนจะขายได้ถึง 30 ล้านเครื่องในปี 2547 หรือเติบโตถึงร้อยละ 111
พีดีเอได้รับความนิยมเช่นกัน
พีดีเอได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมในตลาดเมนสตรีมเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้กและโทรศัพท์มือถือ ตามรายงานที่ตีพิมพ์โดย Instat/MDR คาดว่ายอดขายพีดีเอในปี 2546 จะมีเพิ่มขึ้น โดยบริษัทวิจัยดังกล่าวคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตประจำปีโดยรวม (ซีเอจีอาร์) ระหว่างช่วงปี 2545 -2550 จะอยู่ที่ร้อยละ 18.3 โดยคาดว่าอัตราการเติบโตสูงสุดน่าจะอยู่ในปี 2546 การจัดส่งพีดีเอจะเพิ่มจาก 11 ล้านเครื่องในปี 2545 เป็น 13.9 ล้านเครื่องในปี 2546 ทั้งนี้เป็นเพราะราคาเครื่องที่ค่อนข้างถูก ระบบการทำงานที่ทันสมัย รวมถึงฟังก์ชั่นต่างๆ ทั้งมัลติมีเดียและไร้สายที่ใส่เข้าไปในพีดีเอ
รายงานดังกล่าวยังได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของโปรเซสเซอร์ที่มีสมรรถนะสูงกว่าเดิมและหน่วยความจำที่มีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานด้านมัลติมีเดียและไร้สายมีมากขึ้น เทคโนโลยีไร้สายที่ใช้มาตรฐาน 802.11 และบลูทูธ จะยังคงมีอยู่ในพีดีเอต่อไปในอีกห้าปีข้างหน้า ในปี 2546 อินเทลได้จัดส่งโปรเซสเซอร์สำหรับโทรศัพท์มือถือรุ่น Intel PXA800F และ Intel PXA800EF ซึ่งนับเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มแรกในอุตสาหกรรมนี้ที่มีการรวมโซลูชั่นเบสแบนด์ จีเอสเอ็ม/จีพีอาร์เอส (เทคโนโลยียี EDGE สำหรับ PXA800EF) เข้ากับโปรเซสเซอร์แอพพลิเคชั่นประสิทธิภาพสูงและแฟลชเม็มโมรี่ไว้เสร็จสรรพในชิปเพียงตัวเดียว การป้อนโปรเซสเซอร์ที่มีระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายไม่กินเนื้อที่อยู่ในชิปเพียงตัวเดียวสำหรับพีดีเอและโทรศัพท์มือถือให้แก่ผู้ผลิต ทำให้ผู้ผลิตสามารถเพิ่มความสามารถให้กับสินค้าของตนได้มากขึ้นและยังช่วยผลักดันให้ตลาดไร้สายมุ่งไปเน้นที่แอพพลิเคชั่นได้เร็วกว่าที่ผ่านมา
การตอบสนองความต้องการด้านไอที
ในปี 2546 อุตสาหกรรมมองเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวเนื่องจากหลายบริษัทได้เริ่มมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ปรับปรุงการดำเนินธุรกิจและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน
นอกจากนี้อุตสาหกรรมยังเล็งเห็นถึงความต้องการของพนักงานเกี่ยวกับการทำงานที่ไม่ต้องอยู่กับที่ตลอดเวลา เนื่องจากลักษณะการทำงานแบบเคลื่อนที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งยังช่วยประหยัดต้นทุนให้แก่องค์กรอีกด้วย จากรายงานของการ์ทเนอร์ระบุว่าองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ้กน้อยกว่าร้อยละ 35 นั้นพนักงานจะไม่ได้ทำงานให้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จากการศึกษาของระบบธุรกิจของซีเมนส์พบว่าบริษัทหลายแห่งมีอายุการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเฉลี่ยแล้วประมาณ
สามปี และควรมีการเปลี่ยนเครื่องใหม่ในปีที่สี่เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ซึ่งต้องการพลังความสามารถด้านการประมวลผลที่สูงขึ้น รวมถึงการใช้บริการผ่านเว็บจากคอมพิวเตอร์แบบเดสก์ท้อปและการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ รายงานของการ์ทเนอร์ยังประมาณไว้ด้วยว่า คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ้กมีอัตราการการทำงานที่ล้มเหลวหรือการชำรุดของเครื่องตามปกติในช่วงของการใช้งานในปีที่สามอยู่ประมาณร้อยละ 20 แต่หากยืดเวลาการใช้งานของเครื่องออกไปอีกหนึ่งปีอัตราดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50
คอมพิวเตอร์เดสก์ท้อปเองก็เช่นกัน บริษัทวิจัย Meta Group มีความเห็นว่า การยืดอายุการใช้งานของคอมพิวเตอร์เดสก์ท้อปจากสามเป็นสี่ปี จะทำให้องค์กรต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 350 เหรียญสหรัฐต่อผู้ใช้หนึ่งคนต่อปี คุณคงนึกภาพออกว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าไหร่สำหรับธุรกิจที่ยังใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดิมเป็นเวลาสี่หรือห้าปีตามการติดตั้งครั้งใหญ่ก่อนช่วงวายทูเค ดังนั้น จึงนับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาทางด้านการเงินว่าเหตุใดผู้บริหารจึงหันมาเอาจริงเอาจังกับการอัพเกรดเครื่องกันนัก
นอกจากนี้ บริษัทต่างๆ ยังมองหาวิธีการที่จะเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขัน เนื่องจากทุกวันนี้ธุรกิจต่างๆ ล้วนตระหนักดีถึงความต้องการในเรื่องของความเร็ว เพื่อให้ผู้ใช้ทำงานได้มากกว่าเดิมโดยใช้เวลาน้อยลง ประสิทธิผลที่เพิ่มขึ้นทำให้พนักงานสามารถมุ่งเน้นความสนใจไปที่งานหลักของตน โดยไม่ต้องมัวแต่กังวลใจอยู่กับการเชื่อมต่อระบบหรือประสิทธิภาพการทำงานของเทคโนโลยี นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงมองเห็นถึงความต้องการที่มีอยู่มากสำหรับอินเทลƒ เพนเทียมƒ โฟร์ โปรเซสเซอร์ ที่มีเทคโนโลยีไฮเปอร์-เธรดดิ้ง และมีฟรอนท์ไซด์บัส 800 เมกะเฮิร์ตซ ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ด้วยการช่วยให้งานหลายๆ อย่างสามารถเสร็จสมบูรณ์ได้ภายในเวลาที่กำหนด
สนับสนุนการทำงานประสิทธิภาพสูงในระบบแบ็ค-เอ็นด์
อินเทล ไอเทเนียม ทู เป็นโปรเซสเซอร์ที่ช่วยนำเราไปสู่ยุคแห่งการทำงานที่มีความสำคัญและคุ้มค่าสำหรับตลาดเซิร์ฟเวอร์องค์กรในระบบแบ็คเอนด์ หากนับจำนวนคอมพิวเตอร์ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดทั้งหมดในโลกนี้จะพบว่า จำนวนเครื่องมากกว่าหนึ่งในสามใช้โปรเซสเซอร์ของอินเทลและมีการนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ ประสิทธิภาพและมาตรฐานที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับราคาที่ลดต่ำลงนั้น เป็นเพียงปัจจัยบางประการที่ผลักดันให้เกิดวิวัฒนาการที่ครอบคลุมไปไกลกว่าการนำเครื่องมาใช้เพียงแค่ในงานวิจัยเชิงวิชาการ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์อย่างเคยเป็นมาในระยะแรกๆ หากแต่จะขยายไปสู่แอพพลิเคชั่นธุรกิจที่นิยมใช้กันในระดับเมนสตรีม ซึ่งรวมไปถึงแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้องทางด้านการผลิต การเงิน พลังงาน วิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิต และสื่อดิจิตอล
เนื่องจากการพัฒนาโปรเซสเซอร์ของเซิร์ฟเวอร์ได้ขยายไปถึงส่วนที่เกี่ยวข้องในเชิงพาณิชย์ในระดับเมนสตรีม เราจึงพบว่าองค์กรต่างๆ ได้ให้การตอบรับไอเทเนียม ทู โปรเซสเซอร์ อย่างมากจากกลุ่มผู้ใช้ระบบการประมวลผลประสิทธิภาพสูงในปี 2546 ในปัจจุบันมีการริเริ่มด้านวิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิตและชีวะ-เทคโนโลยีสารสนเทศหลายสิบแห่งทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ใช้คลัสเตอร์และเซิร์ฟเวอร์การประมวลผลประสิทธิภาพสูงที่นำเทคโนโลยีอินเทลมาใช้ ซึ่งนับเป็นผลโดยตรงจากการที่ทั่วโลกได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้แพล็ตฟอร์มเทคโนโลยีที่คุ้มค่าและได้มาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีระบบการประมวลผลประสิทธิภาพสูงแบบใหม่ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อเร่งการค้นพบด้านชีวะ-เทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยและสถาบันต่างๆ เหล่านี้ได้แก่ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น มูลนิธิควีนส์แลนด์ พาราเลล ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (ออสเตรเลีย) มหาวิทยาลัย เอชเค บัพติสท์ มหาวิทยาลัยเอชเค (ฮ่องกง) สถาบันไบโออินฟอร์เมติกส์และเทคโนโลยีชีวภาพประยุกต์ ศูนย์วิจัยการศึกษาการทำงานด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ประจำสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติอินเดีย สถาบันเทคโนโลยีและศูนย์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งอินเดีย (อินเดีย) มหาวิทยาลัยซิงหัว (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน) สถาบันชีวสารสนเทศ สถาบันจีโนมแห่งสิงคโปร์ หนานหยางโพลีเทคนิค สถาบันชีวสารสนเทศ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์แผนกซูเปอร์คอมพิวเตอร์และการทำวิชวล และพันธมิตรเอ็มไอทีแห่งสิงคโปร์ (สิงคโปร์) และไบโอ-อินฟอร์เมติกส์ กริดของ เทศบาลนครเกาเซี่ยง (ไต้หวัน)
การเติบโตอย่างต่อเนื่องในเอเชียแปซิฟิก
เอเชียแปซิฟิกมีความสำคัญต่อบริษัทหลายแห่ง กับอินเทลเองก็เช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้อินเทลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้สร้างสถิติใหม่ด้านรายได้โดยมีรายได้มากกว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรก รายได้ในไตรมาสสามของปี 2546 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสสองของปีเดียวกัน
ร้อยละ 18 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จากช่วงเดียวกันของปี 2545 โดยมีแรงกระตุ้นจากการเติบโตในการบริโภคของตลาดเกิดใหม่ควบคู่ไปกับการเติบโตทั่วโลกสำหรับความต้องการมาเธอร์บอร์ด ประเทศจีน ไต้หวัน และอินเดียต่างก็สร้างสถิติใหม่เรื่องรายได้ เราเห็นการบริโภคที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดสำหรับสายผลิตภัณฑ์ทุกตัวของเราเนื่องจากมีโครงการด้านการออกแบบและการผลิตเพิ่มมากขึ้นในประเทศจีนและทั่วทั้งภูมิภาค
กิจกรรมที่โดดเด่นของอินเทลซึ่งเกิดขึ้นมากมายแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของอินเทลต่อนวัตกรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาทิเช่น การลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อสร้างโรงงานทดสอบและประกอบชิ้นส่วนที่เมืองเฉิงตูทางตะวันตกของจีน โดยมีเงินทุนขั้นแรก 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับเป็นโรงงานแห่งที่สองในลักษณะเดียวกันนี้ที่อินเทลได้ดำเนินการในประเทศจีน นอกจากนี้ อินเทลยังได้เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งแรกในไต้หวันเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารเครือข่ายโดยร่วมมือกับรัฐบาล นักวิชาการ และผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารในไต้หวัน อีกด้วย
อินเทล แคปปิตอล ซึ่งเป็นโครงการลงทุนด้านกลยุทธ์ของอินเทลและหนึ่งในโครงการร่วมลงทุนขององค์กรที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ลงทุนด้านเทคโนโลยี ได้ลงทุนในบริษัทที่สนับสนุนคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อและภารกิจในการประสานกันในเอเชียแปซิฟิก รวมถึงบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โซลูชั่นด้านเนื้อหา เซิร์ฟเวอร์ และการสร้างเครือข่าย
ลาที 2546 สวัสดี 2547
บริษัทหลายแห่งกำลังทำงานร่วมกับอินเทลเพื่อกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมและความก้าวหน้าทั่วโลก โดยได้ช่วยผลักดันมาตรฐาน การลงทุนในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ และสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ให้มีคุณสมบัติที่ดียิ่งขึ้น วิธีการดังกล่าวทำให้อุตสาหกรรมตระหนักถึงประโยชน์ที่ได้รับอย่างเต็มที่ของการผสมผสานเทคโนโลยีในตลาดทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั่วโลกกว่า 12 เดือนที่ผ่านมาอุตสาหกรรมมุ่งเป้าหมายที่อุปกรณ์เคลื่อนที่และการผสมผสานกันระหว่างการประมวลผลและการสื่อสาร ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์ทุกชนิด อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ พีดีเอและคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ก สามารถสื่อสารกับเครื่องมืออื่นๆ ได้อย่างง่ายดายและราบรื่น เรามองเห็นลักษณะการผสมผสานเทคโนโลยีซึ่งเกิดขึ้นสองแบบ คือ การผสมผสานแบบจุลภาค และการผสมผสานแบบมหัพภาค การผสมผสานแบบจุลภาคคือการลด นำสิ่งต่างๆ ที่มีขนาดเล็กที่สุดเข้ามารวมกัน ตัวอย่างเช่น อินเทลย้ายเทคโนโลยีการผลิตซิลิคอนจากขนาด 130 นาโนเมตร ไปเป็น 90 นาโนเมตร ทำให้เราสามารถใส่ทรานซิสเตอร์ในชิ้นซิลิคอนได้มากขึ้น เมื่อเราทำการผสมผสานในระดับมหัพภาค ต้นทุนของอุปกรณ์จะลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงสามารถผลิตได้ในจุดกำหนดราคาขายที่ต่ำกว่าในขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพใหม่ๆ ทุกประเภทเข้าไป
ในปี 2547 และในปีต่อๆ ไปนั้น กระแสของการใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่และการอัพเกรดเครื่องคอมพิวเตอร์จะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้จะยิ่งมีความเกี่ยวข้องมากขึ้นดังจะเห็นได้จากการที่ผู้คนต่างก็เฝ้ามองดูและเราจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีอย่างไรเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่กำลังเติบโต การที่จะก้าวต่อไปข้างหน้านั้น อินเทลยังคงใช้กลยุทธ์เช่นเดิม กล่าวคือ มุ่งลงทุนเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพในระดับชั้นนำ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม และมุ่งเติบโตในตลาดเอเชียและทั่วโลก
เทคโนโลยีอินเทลสำหรับปี 2547
อินเทลกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นมากมายสำหรับปี 2547 ซึ่งจะช่วยเร่งให้การผสมผสานระหว่างการประมวลผลและการสื่อสารเกิดได้เร็วยิ่งขึ้น
- โปรเซสเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Intel XScale (อินเทล เอ็กซ์สเกล) รุ่นใหม่ ที่มีชื่อรหัสว่า Bulverde ได้รับการคาดหมายว่าจะมีการทำงานด้านมัลติมีเดียที่สูงยิ่งขึ้น ยืดอายุแบตเตอรี่ และเทคโนโลยีที่ช่วยในการจับภาพดิจิตอลคุณภาพสูงสำหรับโทรศัพท์มือถือและพีดีเอ ที่รวมเอาคุณสมบัติของกล้องและการประชุมทางไกลผ่านจอภาพเข้าไว้ด้วยกัน
- อินเทล เพนเทียม โฟร์ โปรเซสเซอร์ รุ่นที่ขณะนี้ใช้ชื่อรหัสว่า Prescott ได้รับการพัฒนาบนแผ่นเวเฟอร์ขนาด 300 มม. และใช้เทคโนโลยีกระบวนการผลิตแบบ 90 นาโนเมตร โปรเซสเซอร์รุ่นนี้จะมีคุณสมบัติที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับเทคโนโลยีไฮเปอร์-เธรดดิ้ง มีคุณสมบัติในการประมวลผลมัลติมีเดียในระดับสู ประกอบด้วยแคช L2 ขนาด 1 เมกะไบต์ และมีฟรอนท์ไซด์บัสขนาด 800 เมกะเฮิร์ตซ คุณสมบัติที่โดดเด่นต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลโดยรวมสูงขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
- สำหรับเทคโนโลยีถัดจากอินเทล เซนทริโน โมบายล์ เทคโนโลยี ซึ่งขณะนี้ใช้ชื่อรหัสว่า Dothan และจะมีการเปิดตัวในปี 2547 เช่นกันนั้น มีจุดเด่นอยู่ที่ขนาดที่บางเฉียบและน้ำหนักเบา สำหรับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้กรุ่นที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เทคโนโลยี Dothan จะใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 90 นาโนเมตร ซึ่งจะทำให้สามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ลงในชิปแต่ละตัวได้มากขึ้นและยังสามารถใส่แคช L2 ได้ถึงสองตัวลงในชิปแต่ละตัว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้นสำหรับระบบการประมวลผลในโน้ตบุ้กเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีรุ่นเดิม
การวิจัยและพัฒนาของอินเทลที่โดดเด่นในปี 2547
ในระหว่างที่อินเทลได้เริ่มทำนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ให้เป็นรูปเป็นร่างสำหรับปี 2547 นั้น อินเทลยังได้ลงทุนด้านการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดและถือเป็นนวัตกรรมที่อินเทลกำลังค้นคว้าอยู่ ซึ่งนวัตกรรมที่โดเด่นได้แก่
- Micro-electro mechanic systems (MEMS) เทคโนโลยีที่สร้างความสามารถให้แก่ระบบอิเล็กโทร-แม็กคานิเคิลที่เล็กกว่าเดิมซึ่งสามารถใส่รวมเข้าไว้ในแผงวงจรรวมได้ เทคโนโลยีนี้จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ของอินเทลและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะมีตามออกมา
- Terahertz transistor เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยเสริมสร้างความสามารถให้กับแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ที่ทรงพลังอย่างเช่น การจดจำเสียงและหน้าแบบเรียล-ไทม์ การประมวลผลโดยไม่ใช้คีย์บอร์ด และอุปกรณ์ประมวลผลที่มีขนาดเล็กกว่าเดิมแต่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น ตลอดจนการปรับปรุงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้ยาวนานขึ้นด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้นและลดความร้อนให้มีน้อยลง
- Radio Free Intel วิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีในการรวมคุณสมบัติของสัญญาณวิทยุที่มีราคาไม่แพงและการใช้งานที่ยืดหยุ่นเข้ากับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากซิลิคอนทุกชิ้นของอินเทล จะเป็นประโยชน์สำหรับการผลิตได้มากในแง่ของการลดต้นทุน ประสิทธิภาพการทำงาน และวางตลาด ได้รวดเร็ว
- LaGrande Technology เทคโนโลยี LaGrande ซึ่งอินเทลจะนำมาใส่ไว้ในโปรเซสเซอร์ในอนาคต จะเป็นเทคโนโลยีสำหรับฮาร์ดแวร์หลักที่จะทำให้การประมวลผลมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น สำหรับการทำธุรกิจแบบอี-บิซิเนส ตลอดจนช่วยเสริมสร้างให้ระบบการทำงาน ความจำ และการเก็บข้อมูลมีความปลอดภัยสูงขึ้นอีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
อรวรรณ ชื่นวิรัชสกุล
บริษัท คาร์ลบายร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์
โทรศัพท์ 02-627 3501 ต่อ 212
e-Mail: ochuenwiratsakul@carlbyoir.com
--จบ--
-รก-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ