พีดีเฮ้าส์ ฮึดสู้น้ำท่วม ปรับทัพลุยตลาดตจว.กวาดยอดขาย 700 ล้าน

ข่าวอสังหา Wednesday October 26, 2011 15:16 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 ต.ค.--พีดีเฮ้าส์ พีดีเฮ้าส์ ปรับทัพเร่งกู้วิกฤติน้ำท่วม หลังสนง.ใหญ่จมน้ำพรัอมกับสาขารวม 4 แห่ง ได้แก่ นครสวรรค์ อยุธยา ปทุมธานี และรังสิต เผย 3 แผนสำรองสั่งย้ายสำนักงานใหญ่หนีน้ำไปยังสาขาตลิ่งชัน นครปฐม ระยอง พร้อมเตรียมแผนกู้สาขาน้ำท่วมกลับมาเปิดทันทีหลังน้ำลด ชี้สาขาในต่างจังหวัดทั้งภาคใต้และอีสานยังโกยยอดขายต่อเนื่อง ยังมั่นใจชดเชยยอดขายสาขาที่ถูกน้ำท่วม ส่งผลปี 54 กวาดยอดขายเข้าเป้า 700 ล้านบาท แนะหลังน้ำลดปัญหาแรงงานขาดแคลนจะรุนแรง รวมถึงต้นทุนก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจส่งผลให้ตลาดรับสร้างบ้านในกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึมยาว 3-6 เดือน นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า มหาวาตภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นครั้งนี้กินพื้นที่เป็นวงกว้างทั่วภาคกลาง รวมถึงพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยส่งผลกระทบต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมหาศาล และหลังจากภัยน้ำท่วมครั้งนี้ผ่านพ้นไปรัฐบาลและภาคเอกชนจะต้องมีการเยียวยาและฟื้นฟูประเทศกันขนานใหญ่ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของทุกฝ่ายให้กลับคืนมา และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าต่อไป โดยภาคอุสาหกรรมได้รับความสียหายอย่างหนัก ซึ่งภาครัฐจะต้องมีบทบาทในการเร่งฟื้นฟูโดยเร็ว รวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่โดนผลกระทบน้ำท่วมส่วนใหญ่ตกอยู่ในสภาพหมดตัว สำหรับ พีดีเฮ้าส์ เองก็ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมครั้งนี้รุนแรงเช่นกัน โดยเฉพาะสำนักงานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่คลองสอง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศูนย์กลางประสานการปฏิบัติงานกับ 24 สาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศ ได้ถูกน้ำท่วมขังโดยรอบสำนักงานและถนนหนทางก็ไม่สามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรได้ปกติ เนื่องจากมีน้ำท่วมสูงมาระยะหนึ่งแล้ว รวมถึงในส่วนของธนาคารพาณิชย์ในพื้นที่ก็ปิดทำการ จนไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ จึงทำให้บริษัทฯ ต้องปิดทำการสำนักงานใหญ่และเตรียมย้ายพนักงานไปปฏิบัติงานสาขาแห่งอื่นแทน โดยในเบื้องต้นมีแผนสำรองไว้ 3 แนวทางด้วยกันคือ ย้ายศูนย์ปฏิบัติงานไปปฏิบัติงานที่ 1.สำนักงานสาขากาญจนาภิเษก ถนนบางเชือกหนัง เขตตลิ่งชัน 2.สำนักงานสาขานครปฐม ถนนเพชรเกษม อำเภอเมืองนครปฐม และ 3.สำนักงานสาขาระยอง ถนนสุขุมวิท อำเภอเมืองระยอง ซึ่งสำนักงานทั้ง 3 แห่งไม่ได้จัดอยู่ในโซนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และบริษัทฯ จะสามารถดำเนินงานได้เป็นปกติ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของสาขาต่างจังหวัดเกือบ 20 สาขาต่อไป สถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบกับยอดขายบ้านในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น พื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง แต่สำหรับพื้นที่ต่างจังหวัดที่มิได้ถูกน้ำท่วมนั้น บริษัทฯ ยังคงมีลูกค้าและยอดขายเป็นปกติ เช่นสาขาในพื้นภาคใต้ได้แก่ ภูเก็ต หาดใหญ่ และสุราฎร์ธานีที่เพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้ก็มียอดขายแล้วเกือบ 20 ล้านบาท ในส่วนยอดขายในพื้นที่ภาคอีสานนั้น สาขานครราชสีมาและขอนแก่น ยังคงมียอดขายทุกเดือนเป็นปกติและทั้ง 2 สาขามียอดขายรวมปีนี้ทะลุ 100 ล้านบาทไปแล้ว ซึ่งทำให้ยอดขายรวมของบริษัทฯ ไม่ได้หยุดชะงักทั้งหมด หรือแค่ยอดขายลดลงเฉพาะสาขาที่อยู่ในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมเท่านั้น หากเปรียบเทียบกับบริษัทรับสร้างบ้านรายอื่น ที่มีสำนักงานหรือสาขาตั้งอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล นั้นคาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักแน่ เพราะจากนี้ไปอีก 3-6 เดือนกำลังซื้อหรือยอดขายหดตัวรุนแรงแน่นอน ฉะนั้นหากรายใดสายป่านไม่ยาวพอก็จะรอดวิกฤติครั้งนี้ไปได้ยาก อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้ปรับเป้ายอดขายในปี 2554 นี้ลงจากเดิม 1,000 ล้านบาทเหลือเพียง 700 ล้านบาทเศษ โดยปัจจุบันมียอดขายทุกสาขารวม 500 ล้านบาทเศษ ดังนั้นคาดว่าช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 เดือนเศษ สาขาที่มีอยู่ในต่างจังหวัดเกือบ 20 แห่ง เชื่อว่าจะสามารถทำยอดขายได้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ สำหรับสิ่งที่บริษัทฯ เป็นกังวลมิใช่ยอดขาย แต่เป็นการปรับตัวของต้นทุนค่าก่อสร้าง อันเนื่องมาจากผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างขาดแคลนวัตถุดิบ และค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะต้องเปลี่ยนเส้นทางสัญจรและขนส่งไกลขึ้นกว่าปกติ รวมถึงแรงงานก่อสร้างที่คาดว่าจะขาดแคลนอย่างมาก เพราะเมื่อน้ำที่ท่วมลดลงอาคารและบ้านเรือนต่างๆ ก็ต้องมีการปรับปรุงซ่อมแซมโดยเร็ว ดังนั้นการแย่งชิงแรงงานและยอมจ่ายเพิ่มค่าจ้างแรงงานอาจจะสูงขึ้นกว่าเท่าตัว โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องเร่งฟื้นฟูและกลับมาเดินเครื่องผลิตให้เร็วที่สุด ซึ่งปัญหาขาดแคลนแรงงานจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจรับสร้างบ้านแน่ๆ เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่อาจแบกต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นพร้อมๆ กันทั้งวัสดุและค่าแรง โดยเฉพาะรายที่เน้นขายบ้านราคาต่ำและจ่ายค่าแรงต่ำ อาจไม่มีแรงงานทำงานอยู่ด้วยในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของสิทธิ์และผู้บริหารแฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันแฟรนไชส์พีดีเฮ้าส์ ที่เปิดดำเนินการแล้วมีจำนวน 24 สาขา โดยถูกผลกระทบน้ำท่วมหนักมีจำนวน 4 แห่งด้วยกันคือ สาขานครสวรรค์, อยุธยา, รังสิต-ปทุมธานี และสำนักงานใหญ่รังสิต-นครนายก (คลองสอง) ทำให้ต้องปิดทำการสำนักงานมาระยะหนึ่งแล้ว นอกจากนี้บ้านที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและถูกน้ำท่วมจนต้องหยุดก่อสร้างมีจำนวน 9-10 หลังจากจำนวน 160 หลัง แต่ยังถือว่ามีสัดส่วนไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนทั้งหมด ซึ่งระหว่างนี้บริษัทฯ เตรียมแผนสำรองไว้ช่วยเหลือสาขาที่ถูกน้ำท่วมแล้ว เพื่อให้สามารถกลับมาเริ่มดำเนินการใหม่ได้ทันทีเมื่อน้ำลดลง รวมทั้งหาทางช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ลดค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ การจัดหาวัสดุเร่งด่วน การซ่อมแซมสำนักงาน ฯลฯ เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการสนับสนุนบางส่วนจากคู่ค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่เป็นพันธมิตรธุรกิจเสนอให้ความช่วยเหลือมา สะท้อนให้เห็นว่าระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ มิใช่เป็นแค่กลยุทธ์การสร้างเครือข่ายในการรุกขยายตลาดด้านเดียวเท่านั้น แต่อีกด้านหนึ่งจะพบว่ามีผลต่อการรับมือกับวิกฤติที่เกิดขึ้น ด้วยวิธีการช่วยเหลือจากเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์และเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจ ที่ผ่านมา 2 ปีเศษแฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ยังเป็นที่เคลือบแคลงใจของคนในวงการรับสร้างบ้านว่าจะไปรอดได้จริงหรือ ฉะนั้นวิกฤติน้ำท่วมใหญ่และผลกระทบต่อภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านครั้งนี้ จึงน่าจะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ครั้งสำคัญว่า พีดีเฮ้าส์ จะฝ่าวิกฤติไปได้อย่างไร และแตกต่างจากผู้เล่นในตลาดรับสร้างบ้านนี้อย่างไร โดยส่วนตัวมั่นใจว่าผ่านฉลุย ภายใต้แผนรับมือของบริษัทฯ ที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว นายพิศาลกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ