กรุงเทพฯ--28 ต.ค.--สหมงคลฟิล์ม
ประเภท Romantic / Action
คำโปรย บทสรุปแห่งรักนิรันดร์ จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
กำหนดฉาย 24 พฤศจิกายน 2011
บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
อำนวยการสร้าง วิค ก๊อดเฟรย์ (Eclipse, New Moon, Twilight)
กำกับ บิล คอนดอน (Dreamgirls, Kinsey, Gods and Monsters)
เขียนบท เมลิสซ่า โรเซนเบิร์ค (Eclipse, New Moon, Twilight, Step Up)
นำแสดง โรเบิร์ต แพททินสัน (Eclipse, New Moon, Twilight, Remember Me)
คริสเต็น สจ๊วต (Eclipse, New Moon, Twilight, The Runaways)
เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ (Eclipse, New Moon, Twilight, Valentine’s Day)
ดาโกต้า แฟนนิ่ง (Eclipse, New Moon, The Runaways, I Am Sam)
แม็คกี้ เกรซ (ซีรี่ย์ Lost, Taken)
รัตติกาลดำเนินสู่จุดตัดสินการตัดสินครั้งสุดท้ายของหัวใจสงครามครั้งใหญ่ที่สุดแห่งรัตติกาลกำลังจะอุบัติ
เนื้อเรื่อง
จากแฟรนไชส์ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2008 ที่ทำรายได้รวมไปกว่า 1,800 ล้านเหรียญทั่วโลก The Twilight Saga: Breaking Dawn คือบทสรุปของมหากาพย์แวมไพร์ ทไวไลท์ ที่จะเปลี่ยนรัตติกาลให้เป็นปรากฏการณ์ครั้งสุดท้าย โดยจะถูกแบ่งเป็นสองภาคคือ The Twilight Saga: Breaking Dawn Part I ที่มีกำหนดฉายในปี 2011 และ The Twilight Saga: Breaking Dawn Part II ในปี 2012
เรื่องราวของความรักที่เป็นอมตะ การต่อสู้ระหว่างกลุ่มแวมไพร์และเผ่าพันธุ์หมาป่า ทุกอย่างถูกตัดสินในสองภาคสุดท้ายของมหากาพย์แวมไพร์ ทไวไลท์ เมื่อชีวิตคู่ของ เบลล่า (คริสเต็น สจ๊วต) และ เอ็ดเวิร์ด (โรเบิร์ต แพททินสัน) ต้องพบกับอุปสรรคสำคัญอย่าง เจคอบ (เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์) ที่ไม่ยอมให้ผู้หญิงที่เขารักถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ ในขณะเดียวกันกลุ่มแวมไพร์โวลตูรี่ ก็กำลังหาเหตุผลกำจัดครอบครัวคัลเลนให้สิ้นซาก
The Twilight Saga: Breaking Dawn Part I เริ่มต้นหลังพิธีแต่งงานของ เบลล่า และ เอ็ดเวิร์ด เดินทางไปฮันนีมูนที่กรุงริโอ เดอ จาเนโร ทั้งสองมีช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด แต่ด้วยแรงปรารถนาของ เบลล่า ในการเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ ก็กลายเป็นจุดแตกหักของครอบครัวคัลเลนและฝูงหมาป่าเผ่าควิลยูต ที่เตือนไว้ว่าถ้า เอ็ดเวิร์ด เปลี่ยน เบลล่า เป็นแวมไพร์ สงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์จะต้องอุบัติขึ้น
ไม่นานหลังจากกลับมาเมืองฟอร์คส เบลล่า พบว่าตัวเองงตั้งท้อง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างมนุษย์และแวมไพร์ การกำเนิดของ เรเนสมี ลูกครึ่งมนุษย์-แวมไพร์ ล่วงรู้ไปถึงกลุ่มแวมไพร์โวลตูรี่ ผู้ปกครองเผ่าพันธุ์แวมไพร์ทั้งหมด พวกเขาต้องการที่จะครอบครอง เรเนสมี และทำลายครอบครัวคัลเลน ทำให้ทุกคนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเตรียมตัวรับมือ โดยขอความช่วยเหลือไปยังกลุ่มแวมไพร์พันธมิตรทั่วโลก เพื่อเข้ามาช่วยสนับสนุนในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
เกร็ดภาพยนตร์
Breaking Dawn หนังสือเล่มที่ 4 และเป็นเล่มสุดท้ายของวรรณกรรมชุด Twilight ที่เล่าถึงเรื่องของการแต่งงานระหว่างสองเผ่าพันธุ์ การเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ การให้กำเนิดลูกที่เกือบคร่าชีวิตแม่ จุดแตกหักกับกลุ่มแวมไพร์ราชวงค์โวลตูรี่ รวมถึงฝูงหมาป่าแห่งเผ่าควิลยูต โดยถูกวางจำหน่ายในปี 2008 และขายได้ถึง 1.3 ล้านเล่ม ในเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง ซึ่งก็เป็นการเปิดตัวขายหนังสือในวันแรกที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์
ผู้กำกับที่มารับหน้าที่กำกับ Breaking Dawn ทั้งสองตอนก็คือ บิล คอนดอน มีผลงานที่การันตีคุณภาพมาโดยตลอด โดยเขาเคยได้รับรางวัลออสการ์จากการเขียนบทเรื่อง Gods and Monsters และกำกับหนังเพลงอย่าง Dreamgirls ที่เข้าชิงถึง 8 รางวัลออสการ์ โดย คอนดอน มีความเชี่ยวชาญในการผลักดันความเข้มข้นออกมาจากเรื่องราว ที่เต็มไปด้วยปมขัดแย้งมากมาย เพื่อให้สมกับเป็นบทสรุปของหนังชุดแห่งทศวรรษ
ด้วยเรื่องราวในหนังสือ Breaking Dawn มีความยาวถึง 754 หน้า มันจึงถูกแบ่งเป็นสองภาค โดยคำถามของสาวก แวมไพร์ ทไวไลท์ ทั่วโลกก็คือเรื่องราวจะถูกแบ่งตรงไหน โรเบิร์ต แพททินสัน ผู้รับบทเป็นแวมไพร์หนุ่ม เอ็ดเวิร์ด มีคำตอบให้ "พวกเราต้องการให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกของ เบลล่า ที่ต้องถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ เราจึงไม่ต้องการตัดส่วนไหนออกไปทั้งสิ้น โดยใน Part I จะครอบคลุมพิธีแต่งงาน ฮันนีมูน และการกำเนิดของ เรเนสมี และสิ้นสุดก่อนที่ เบลล่า เริ่มต้นใช้ชีวิตหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ"
คริสเตน สจ๊วต ผู้รับบทเป็น เบลล่า เล่าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน Breaking Dawn ว่า "เรื่องราวใน Breaking Dawn จะไม่ใช่การช่วงชิงหัวใจ เบลล่า ของ เอ็ดเวิร์ด หรือ เจคอบ อีกแล้ว เพราะเธอไม่ใช่ เบลล่า คนเดิมที่เรารู้จักในสองภาคแรก เพราะเธอมีความมุ่งมั่นในการตัดสินใจตั้งแต่ภาคที่แล้ว จนมาถึงสองภาคสุดท้ายที่จะเป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่และไม่มีทางหันหลังกลับได้แล้วของ เบลล่า"
ถ้าใครได้อ่าน Breaking Dawn ก็จะรู้ว่าหนังสือถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ โดยส่วนแรกและส่วนที่สามจะเป็นมุมมองของ เบลล่า ในขณะที่ส่วนที่สองจะถูกเล่าผ่านมุมมองของหมาป่าหนุ่ม โดย เทยเลอร์ เลาท์เนอร์ ผู้รับบทเป็น เจคอบ เผยว่า "พวกเราทำเหมือนในหนังสือ โดยหนังจะหยุดเล่าเรื่องจากมุมมองของ เบลล่า และใช้เวลาเฝ้าติดตาม เจคอบ เมื่อเขาต้องดิ้นรนกับสถานะของตัวเอง เกิดขึ้นเพราะเขารู้สึกเป็นห่วง เบลล่า ที่ต้องรับมือกับการตั้งครรภ์ ในขณะที่เขาก็ไม่สามารถให้อภัยได้เมื่อเธอต้องกลายเป็นแวมไพร์"