กรุงเทพฯ--3 พ.ย.--สหมงคลฟิล์ม
วินในเรื่องนี้ เป็นยังไงบ้าง
คาแรกเตอร์ของ วิน ในเรื่องนี้คือ เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก เอาแต่ใจตัวเอง คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำถูกที่สุด ไม่สนใจคนรอบข้าง มันก็เลยทำให้เกิดเรื่องแย่ๆ กับชีวิตขึ้นในคือการไม่สบความสำเร็จในชิ้นงานของตัวเอง จากการที่เราไม่ฟังคนอื่นไม่ให้เกียรติคนอื่น ซึ่งบทแบบนี้ยากครับ เพราะว่ามันต้องมีอาการเหวี่ยงวีนอยู่ตลอดเวลา คิ้วมันต้องขมวดมันก็ไม่ได้สร้างให้คิ้วขมวดหรอก แต่ว่าในเรื่องมันมักจะเจออะไรที่ไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา เห็นโน่นก็ไม่พอใจ เห็นนี่ก็ไม่พอใจ เห็นเด็กก็ไม่ชอบเด็ก แล้วชีวิตนี้มันจะมีความสุขได้ยังไงครับ ซึ่งในความเป็นจริงส่วนตัวผมเป็นคนมองโลกแง่บวก คาแรกเตอร์มันจะต่างกันโดยสิ้นเชิง ก็ต้องมีการปรับจูนคาแรกเตอร์กันพักนึงเหมือนกัน ช่วงแรกๆ ผู้กำกับต้องคอยบอกว่า เฮ้ย...แดน เอาคาแรกเตอร์ตัวเองออกมาน้อยๆ หน่อยตรงนี้แหละครับที่ว่ายากคงเป็นเรื่องของการสงบสติอารมณ์ คือต้องอย่าอารมณ์ดีมากเกินไป ตอนเข้าฉากต้องพยายามนึกก่อนว่า วินเขาไม่ชอบสิ่งนี้ เราอารมณ์เสีย เราต้องวีนอะไรอย่างงี้มันต้องรอ ก่อนแอคชั่นมันต้องมีก่อนนิดนึงได้หยุดคิดจะต้องตั้งสติแปปนึง ปรกติผมก็เล่นละครผมจะไม่ค่อยตั้งสติเท่าไหร่ (หัวเราะ) เพราะมันเป็นคอเมดี้สบายๆ เลยจะปล่อยไหลไปเรื่อย แต่มีเรื่องนี้ที่ต้องคุมคาแรกเตอร์ให้อยู่ให้ได้
เรื่องราวเป็นยังไง
เรื่องราวก็จะเกิดจากตัว วินที่เป็นนักดนตรี ที่ประสบความสำเร็จมากในช่วงเวลานึง แต่ด้วยความเอาแต่ใจตัวเองของเขา ความอารมณ์ร้อน ความไม่แคร์คนรอบข้าง ไม่ให้เกียรติใคร เอาตัวเองเป็นที่หลักทำให้อัลบั้มชุดต่อไปของเขาไม่ได้อย่างที่หวัง แล้วก็มีนักร้องคนใหม่ขึ้นมาแทนที่เขา ซึ่งเขารับสภาพแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้วเพราะเขาคิดว่าไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นกับเขาได้ ทำให้เขาต้องหนีออกไปอยู่ในโลกที่ไม่ต้องมีใครมาสนใจ เพื่อหนีความอายเพราะรับตัวเองไม่ได้ แต่การหนีไปครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับผู้หญิงคนนึงคือ หมอก(ฉัตร-ปริยฉัตร) หมอกเป็นผู้หญิงที่มองโลกต่างจากวินโดยสิ้นเชิง หมอกก็เลยเหมือนเป็นครูสอนชีวิตให้กับวิน ทำให้วินมองอะไรใหม่ๆทำไมคุณไม่ลองมองชีวิตแบบนี้ดูมั่งล่ะ ทำไมคุณมองโลกด้านเดียวล่ะ กลับกันดูไหมคุณลองมองโลก 2 ด้าน 3 ด้านดูบ้าง ในโลกนี้ไม่ได้มีคนที่คิดแบบคุณอย่างเดียวนะอะไรแบบนี้ วินเขาเริ่มมีมุมมองในความคิดกว้างมากขึ้น มองโลกบวกขึ้น โลกสีดำก็เริ่มเป็นสีเทา สีขาว ผู้หญิงคนหนึ่งมีความรู้สึกอบอุ่นและดีๆ ให้กับเขาที่ทำให้เขารู้สึกว่าเริ่มมีแรงบันดาลใจมาจากเธอ เริ่มทำให้รู้สึกว่าคนมันมีคุณค่ามากกว่านั้นมาทำอะไรดีๆ ให้กันเถอะ ทำให้เขาสามารถกลับมาสู้กับชีวิตของตัวเองและพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครสักคนได้
เป็นมายังไงถึงมาเล่นเรื่องนี้ บทอย่างนี้ได้
พี่โอ๊ค (ทศพล ศรีสุคนธรัตน์ ผู้กำกับ) ติดต่อมาก่อน แล้วก็ขอนัดคุยกันสิ่งแรกที่รู้สึกได้เลยคือความตั้งใจของพี่โอ๊คที่ตั้งใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาก แล้วก็ผมชอบคนที่ตั้งใจในชิ้นงานของตัวเอง และรักในชิ้นงานของตัวเอง โดยที่เข้าใจกับงานของตัวเองอย่างถ่องแท้ คือถามตรงไหนมุมไหนสามารถอธิบายได้ ตอบคำถามได้หมดในทุกๆ เรื่อง ผมปิ๊งแววตาพี่โอ๊คฟังอาจจะออกแนวรู้สึกขนลุกนะ (หัวเราะ) แต่เรื่องจริงผมรู้สึกว่าเขามุ่งมันและรักงานนี้ ผมก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่อยากจะทำให้งานของเขาออกมาดีที่สุด แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง นอกนั้นก็เป็นเรื่องของนักแสดงคนอื่น และทีมงานทุกๆ คนแล้วสุดท้ายคือตัวของพี่โอ๊คเอง ส่วนตัวผมก็คือทำหน้าที่ส่วนของผมให้ดีที่สุด และก็หวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีคนชอบมันเยอะนะครับ อีกสิ่งนึงก็คือตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ เดอะเมโลดี้ เป็นภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่าที่มีเรื่องราวดีๆ สอดแทรกอยู่ ผมเชื่อว่าเมื่อเรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้ไปฉาย น่าจะมีส่วนทำให้คนไทยรู้สึกว่า เราควรจะมีส่วนช่วยเหลือกัน เผื่อแผ่กันแบ่งปันความรักให้กันและกัน นี่คืออีกเรื่องที่เรารู้สึกว่าอยากจะถ่ายทอดมาการเปลี่ยนคาแรกเตอร์ในการเล่นภาพยนตร์ก็เป็นอีกส่วนนึงที่ผมรับเล่นเรื่องนี้ เพราะหลังจากที่เป็นคอมเมดี้หนักๆ มา 2 เรื่องแล้ว เหนื่อยมากเหมือนกัน มาเล่นเรื่องนี้ก็ดี ได้เล่นเปียโนบ้างได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำบ้าง
รู้ไหมทำไมผู้กำกับถึงเลือกแดน
ไม่รู้เลยครับ ว่าทำไมพี่เขาถึงเลือกผม แต่เหมือนเคยได้ยินว่าเพราะครั้งแรกที่คุยกัน เขาบอกว่าผมนี่แหละวินเลย (หัวเราะ) จริงๆ คืออะไรไม่รู้คงต้องลองถามพี่เขาดู
ร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
กับภาพยนต์เรื่องแรก ผมเห็นถึงพลังในการทำงาน ความละเอียดอ่อน และละมุนละไมในการคิดงานแต่ละช็อตของเขา ความใส่ใจในทุกรายละเอียดของเขาที่สามารถจำคอนทินิวได้ด้วย เดินมาหน้าเซทบอกนักแสดงได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องถือบทอยู่ เพราะบทมันอยู่ในหัวเขาอยู่แล้ว แล้วก็บางทีก็ทุ่มเทลงทุนกลิ้งกลางถนนให้นักแสดงดู ทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้ (หัวเราะ) ผมเป็นคนที่ชอบคนที่ศัทธาในชิ้นงานของตัวเอง ตั้งใจกับงานของตัวเองเพื่อหวังว่าจะทำให้คนอื่นมีความสุขด้วยงานของเขา แล้วผมก็จะชอบมองคนที่เป็นแบบนี้ เรามองแล้วเราก็จะรู้สึกสนุกตามเขา ดูสิว่าจะทำอะไรต่อ ไหวไหม เมื่อไหร่จะหมดแรง พี่โอ๊คพลังเยอะมากขนาดแกตกบันไดขาเดี้ยงแต่ก็สามารถลุกเดินมาบอกนักแสดงเด็กๆ ในฉากนั้นว่าต้องทำอะไรยังไง ขนาดไปใส่เฝือก และมีขาหยั่งกระเพลกๆ พี่เขาก็ไม่หยุดเดินไม่หยุดที่จะทำงาน เต็มที่มากผู้ชายคนนี้นี่แหละครับความตั้งใจที่ผมเห็นในตัวเขา
การทำงานร่วมกันกับนักแสดงน้องใหม่อย่างฉัตรล่ะเป็นยังไงบ้าง
น้องฉัตรเป็นเด็กผู้หญิงตัวสูง สูงมาก มีความตั้งใจไม่เห็นและก็ไม่เคยได้ยินน้องบ่นอะไร ขนาดไปในที่หนาวสั่น ฝนตก อากาศไม่เป็นใจเลยบางครั้งก็ยังเฉย อยู่ได้ทุกที่จริงๆ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นหนังรัก แต่การถ่ายทำในแต่ละทีก็ค่อนข้างจะทรหดมาก มีการทำงานที่ต้องเดินทางตลอดเวลา ไปกลับแม่ฮ่องสอน ปางอุ๋ง ปาย ห้วยน้ำดัง ขึ้นเขาลงห้วย ต่อรถ ต่อเครื่องบิน นั่งรถนาน อากาศหนาวมาก พักผ่อนน้อย หมอกลงจัด ก็ไม่เคยเห็นน้องฉัตรบ่นสักครั้ง ถ่ายดึกแค่ไหน หรือบางทีถึงเช้าก็มีก็ไม่พูดยังมีพลังเหลือเฟือมากๆ นี่แหละครับถือว่าเป็นสปิริตนักแสดงที่ดี
แล้วตอนที่เล่นเรื่องนี้ด้วยกันใหม่ ๆ ผมยังไม่รู้ว่าน้องเขาเล่นเปียโนได้จริง อย่างเก่งก็น่าจะจับคอร์ดได้ก๊องแก๊งทำแค่พอเหมือนว่าเล่นเป็นได้...มั้ง ในเรื่องนี้ต้องเล่นเพลงคลาสิคของโชแปงอยู่ฉากนึงไง พอน้องมาก็เล่นเปียโนเลยคล่องแคล่วด้วย ก็ประทับใจ ดีใจเออ..เล่นได้จริงด้วยน้องคนนี้ ผมถือว่านี่มันทำให้หนังมีความน่าเชื่อถือขึ้นมามันมีความจริงเข้ามาว่านางเอกเราเล่นเปียโนได้จริงๆ เพราะฉะนั้นคนที่ดูเรื่องนี้ไม่ผิดหวังแน่ รับรองได้เลยว่านักแสดงในเรื่องสามารถเล่นเปียโนได้เองจริงๆ ได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ได้จริง
มีอะไรที่ต้องปรับหากันบ้างไหมในการแสดงครั้งแรกด้วยกัน
กับฉัตรเขาค่อนข้างโอเคน้องเขาเป็นคนสบายๆ แล้วช่วงแรกบทของเขายังไม่มีอะไรมากที่ต้องกังวล คงจะปรับที่ตัวผมเองนี่แหละครับ เพราะก็เล่นกันไปหลายเทคเหมือนกันตอนแรกอย่างที่บอกว่ามันยังจับคาแรกเตอร์กันไม่ถูกทั้งที่มีการเวิร์คช๊อปกันก่อนหน้านี้แล้ว พอถึงสถานที่จริงมันต้องเปลี่ยนตัวเองให้นิ่งลงเยอะมากจริงๆ เพราะว่าผู้ชายคนนี้ ตัววินเองเป็นคนมองโลกในด้านลบอย่างสิ้นเชิง อยู่กับตัวเอง ไม่เคยออกมาเจอโลกภายนอก ภาพที่เห็นข้างหน้าเป็นภาพแรกและภาพที่แปลกใหม่สำหรับตัววิน ผมเคยสงสัยในคาแรกเตอร์ของวินว่า มีด้วยเหรอคนที่ไม่เคยมาเดินถนนคนเดิน ไปเคยเดินตลาดนัด ทำไมเขาตกใจกับไอ้สิ่งของที่มันขายอยู่ข้างถนน หรือ ไม่เคยเปิดดูเสิร์ทเนท หรือตามภาพที่ระลึกดูทุ่งดอกบัวตองมั่งเลยหรอ ไม่เคยเห็นหรือว่ามันมีอย่างงี้ด้วยหรอบนโลกใบนี้ ซึ่งอยากจะบอกคนที่ชมภาพยนต์เรื่องนี้ว่า นี่แหละครับคือคาแรกเตอร์ของตัววิน เขาอยู่กับตัวเองจริงๆ ไม่มีความสนใจโลกภายนอก รู้แต่ว่าฉันจะเล่นเปียโน ฉันจะทำเพลง ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ชีวิตฉันมีแต่เปียโน หลังจากได้พบกับนางเอกจึงทำให้รู้ว่าโลกมันกว้างกว่าที่คิด และสวยงามกว่าที่คิดไว้มาก มันเลยทำให้การมารับบทในช่วงแรกของผมค่อนข้างติดขัด ปรับอารมณ์ไม่ถูกไม่รู้จะอารมณ์ไหนดี พี่โอ๊คก็ต้องมาอธิบายให้ฟังว่าตอนนี้ต้องเป็นยังไง รู้สึกยังไง
การทำงานในวันแรกของเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง
วันแรกเราถ่ายทำกันที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในตัวอำเภอไปถ่ายซีนปล่อยกระทงสวรรค์กัน ในเรื่องตัววิน และหมอกไปเที่ยวในเมืองกันเดินเล่นไปตามถนนคนเดินไฟดับเห็นดาว ก็โรแมนติกกันไป พอมาถึงหน้าวัดจองคำก็มีการปล่อยกระทงสวรรค์ตามประเพณีพื้นบ้าน ในฉากจะสวยงามมากมีลูกโป่งติดกระทงลอยขึ้นฟ้ามากมาย หลากหลายสีสัน แต่เบื้องหลังนี่ปล่อยกันไปทั้งคืน ตี 3 ก็ยังปล่อยกันอยู่ ไม่รู้ไปหากระทงจากไหนกันมาเยอะแยะ ทีมอาร์ทก็ช่างขยันเป่าส่งมาเรื่อยๆ เราก็ได้แต่ลุ้นว่าให้ทีมอาร์ทเขากระทงหมดสักทีจะได้เลิกถ่าย แต่ก็ไม่หมดสักที (หัวเราะ) พวกเณรในวัดก็ออกมาช่วยกันสูบลูกโป่งด้วย ตรงนี้ก็ขอขอบพระคุณที่ทำให้งานวันนั้นสนุกดีครับ เป็นภาพที่แปลกดีมีชาวบ้านมีเณรมาช่วยจนวันนั้นเหมือนมีงานปล่อยกระทงสวรรค์จริงๆ ประทับใจมากครับ
ได้ไปถ่ายทำกันหลายที่มาก แต่ละที่เป็นยังไงบ้าง
เราไปกันหลายที่ครับมีทุ่งดอกบัวตอง มีห้วยน้ำดัง ปางอุ๋ง ที่ทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอเราได้เห็นความอะเมซซิ่งไทยแลนด์ ที่นี่ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งครับสำหรับคนที่เคยเห็นแต่ในรูปภาพ หรือมองในรูปถ่ายและได้แต่พูดว่าสวยจัง จะสวยจริงหรือเปล่าต้องมาดูด้วยตาตัวเองครับ ผมการันตีความงามของทุ่งนี้เลย แล้วก็จริงอย่างที่ตัววินในเรื่องได้เห็นครั้งแรกถึงกับร้องออกมา เพราะมันสวยงามมาก ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนมาเที่ยวตลอดทุกช่วงเวลาเลยครับ การถ่ายทำในวันนั้นก็มีอุปสรรคบ้างทั้งคนและอากาศที่เดี๋ยวร่มเดี๋ยวแดด แล้วสีโดยรอบเป็นสีเหลืองแดดมาหรือแดดหุบสีบรรยากาศมันจะเปลี่ยนไป เช้าไปถึงนี่ก็หนาวปากสั่นเหมือนกันครับ พอแดดเริ่มออกก็เริ่มร้อน ปรับอารมณ์ไม่ถูก ก็ใช้เวลาถ่ายทำกับที่นี่ไปพักใหญ่เหมือนกัน
แล้วก็มีไปถ่ายทำกันในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ไปถ่ายร้านกาแฟกันเป็นร้าน บีฟอร์ซันเซท บนเนินเขา เป็นร้านกาแฟเล็กๆ ที่เห็นวิวสวยงามมาก จิบกาแฟกันไปดูพระอาทิตย์ตกดินไป แต่ตอนถ่ายทำนี่สิครับพวกเราก็กลัวว่า ซันมันจะเซทลงเร็วจนถ่ายไม่ทัน (หัวเราะ) ตอนแรกก็นั่งลุ้นกันไปครับว่าเมื่อไหร่ซันมันจะเซทลงสักที แดดมันมาเยอะเกินไปถ่ายไม่ได้ย้อนแสง ผู้กำกับพยายามจะถ่ายทำช่วงเวลาที่พระอาทิตย์มันใกล้ๆจะตก แสงมันจะสวยที่สุด บังเอิญครับลืมนึกไปว่ามันเป็นหน้าหนาว พระอาทิตย์มันจะลงเร็วมาก วูบเดียวเองครับลงหายไปเลย แสงหมดเร็วมาก ตอนนั้นทีมงานและนักแสดงเหมือนทำงานไปเต้นไปกระตือรือร้น วิ่งกันชุลมุนวุ่นวาย วันที่ถ่ายที่นั่นก็เลยจะเกิดอาการมึนงงครับ เอ๊ะ...อะไรผ่านไป เอ๊ะ...เราถ่ายอะไรไป (หัวเราะ) ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เป็นการถ่ายทำหนังโรแมนติกที่สนุกตื่นเต้นระทึกใจ เพื่อที่จะได้ถ่ายทำทันแสงสุดท้ายของวัน แต่คุ้มกับความสนุกในวันนั้นครับเพราะแสงที่ได้มา บรรยากาศที่ได้มาตรงนั้นออกมาสวยมาก ผมว่าฉากของที่นี่น่าจะเป็นบรรยากาศในฝันของใครหลายคนเลยนะครับ
แล้วก็เดินทางไปถ่ายทำที่ห้วยน้ำดัง ออกจากแม่ฮ่องสอนประมาณตี 3 พวกเรากะว่าจะไปนอนต่อในรถระหว่างทาง แต่เป็นการหลับที่ยากมาก แค่หลับในรถก็ยากอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เราต้องคอยเซทตัวเองกลับขึ้นมานั่งตรงๆ บนเบาะใหม่ตลอด (หัวเราะ) โค้งมันเยอะมาก ซ้ายทีขวาที ไม่รู้ว่าคนขับจะขัดเบาะให้ลื่นทำไม แค่โค้งอย่างเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ปรกติแกไม่ขัดเบาะนะ แต่แกคงเห่อรถใหม่วันนั้นแกขัดเบาะมาพอดี สรุปคือนอนไม่ค่อยจะหลับ มีสัปหงกบ้างตื่นมาอีกทีก็อยู่บนยอดเขาแล้ว มองไม่เห็นอะไรเลยข้างหน้ามีแต่หมอกและฝน ตกปรอยๆ แล้วก็หนักสลับกันไป จนทีมงานตัดสินใจว่าต้องถ่ายละรอไม่ได้แล้วก็ตากฝนปรอยๆ กันไปเรื่อย
ฉากนี้เป็นฉากที่วิน และหมอกมารอดูพระอาทิตย์ขึ้น ลืมตามาต้องเห็นพระอาทิตย์เลย เจ้าหน้าที่ที่ห้วยน้ำดังบอกว่าถ้าวันไหนฝนตกก่อนตอนเช้า ตรงจุดที่เราอยู่จะเป็นจุดที่เห็นหมอกสวยที่สุด พวกเราก็ดีใจกันมาก พี่โอ๊คดีใจมาก พวกเราต้องได้เห็นทะเลหมอกที่สวยที่สุดแน่เลย แต่ฝนไม่ยอมหยุดตก มันตกลงมาเรื่อยๆ 7 โมงก็แล้ว 8 โมงก็แล้ว 9 โมงพระอาทิตย์ก็ยังไม่มา สว่างไปทั่วทุกที่แล้ว สรุปพระอาทิตย์เลยจุดที่มันต้องขึ้นไปแล้ว ไม่เห็นลำแสงลย เจ้าหน้าที่มาบอกว่าวันนี้หมอกลงหนาสุดเป็นประวัติการณ์เลย จนพวกเรายอมถอดใจแล้ว ก็เก็บบรรยากาศหมอกหนาบนห้วยน้ำดังไป ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ แปลกดี
ฉากต่อไปจากห้วยน้ำดังเราก็ต้องลงมาเพื่อถ่ายฉากขับรถบนถนนสวยๆ มีการติดตั้งอุปกรณ์บนรถแต่เราไม่สามารถถ่ายทำกันได้เพราะหมอกลงหนามากมองไม่เห็นถนน มันไม่ปลอดภัยสำหรับทีมงานและผู้คนที่ใช้เส้นทางสัญจรไปมา ถนนมันแคบ โค้งเยอะ และระยะการมองเห็นเลวร้ายมาก ประมาณ 5 เมตรนี่ก็มองไม่ค่อยจะเห็นแล้ว มันเสี่ยงเกินไปบริษัทก็ไม่รู้ทำประกันให้ทีมงานหรือเปล่า (หัวเราะ) วันนั้นก็เลยเป็นอันต้องยุติการถ่าย และก็ติดหมอกอยู่บนกิ่วลมจนมืดค่ำ ไม่มีที่หลบฝน หลบลมหนาว มีแต่ร้านกาแฟเล็กๆ สี่เหลี่ยมเราก็ไปยืนออกินมาม่าและกาแฟกันไป
ในเรื่องนี้เราก็เดินทางไปที่ปางอุ๋งกันด้วย ปางอุ๋งก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เดินทางกันจนอยากจะอาเจียนโค้งมาก เพราะโค้งมันเยอะจริงๆ แต่พอไปถึงแล้วมันหายเหนื่อยเราได้เจอกับโลเคชั่นที่มันสวยงามจริงๆ เขาบอกว่าปางอุ๋งเหมือนเมืองในเทพนิยายมีคนเขาเปรียบเทียบเอาไว้อย่างนั้น เพราะมันมีทั้งทะเลสาป ต้นสน ต้นไม้ต่างๆ มีหงส์ลอยคออยู่ ทุกอย่างถูกจัดวางเอาไว้อย่างลงตัว แล้วก็มีหมู่บ้านที่เขายังรักษาขนบธรรมเนียมของพวกเขาเอาไว้ได้อยู่ ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาได้สัมผัสกับวิถีชีวิตแบบนั้นได้อย่างแท้จริง วันนั้นที่ไปถ่ายทำก็เป็นฉากที่ วินกับหมอกลงไปนั่งเล่นแพในทะเลสาป ดื่มด่ำกับบรรยากาศโรแมนติก ในใจผมก็คิดว่าทริปนี้สบายละ ชิวๆนั่งชมวิวไปง่ายๆ แต่ทีมงานรีบกันใหญ่เพราะต้องการแสงแรกของวัน ตอนเช้ามืดเราถ่ายทำฉากที่นอนอยู่นอกเต้นท์กันสองคนระหว่างนางเอกกับพระเอก แล้วก็ต้องรอว่าเช้ามาไปนั่งแพเล่นต่อ ผมก็ชิวมากและก็นั่งลุ้นว่าทีมงานจะถ่ายทำกันทันแสงเช้าอีกไหม (หัวเราะ) สนุกดีครับ ตอนไปนั่งแพก็อากาศดีมาก อากาเศเย็นสบายบนสายน้ำสวยๆ จนผมไม่อยากขึ้นมาเลย แทบจะเคลิ้มหลับตรงนั้น
แสดงว่ามีอุปสรรคในการถ่ายทำที่นั่นตลอด?
ผมคิดว่าทีมงานเตรียมตัวกันมาค่อนข้างดีนะครับ การที่เราจะไปถ่ายทำในสถานที่ที่มันยากลำบาก มันก็ต้องมีการวางแผนมาดีแล้ว เพราะมันมีขึ้นขาลงห้วย ต่อรถต่อเครื่องบิน ผมว่าทุกคนก็ทำให้ทุกฉากที่เราต้องการได้ ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี
เป็นคนชอบเที่ยวอยู่แล้วหรือเปล่า
จริงๆ ผมเป็นคนชอบท่องเที่ยวครับ ความใผ่ฝันสูงสุดก็คือเมื่อทำงานตรงนี้แล้วก็ดูแลคุณพ่อคุณแม่มีเงินดูแลเขาดูแลครอบครัวได้ แล้วอยากใช้ขีวิตด้วยการเที่ยวรอบโลกเลยครับ ผมว่าการเดินทางมันสร้างประสบการณ์มันทำให้เราได้โลกมันกว้างอย่างที่ตัววินเองได้เห็นแล้วว่า การที่คุณออกมาเดินทางมันสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราได้ สร้างความหวัง สร้างโลกใหม่ให้กับเราให้มันสวยขึ้นได้ ซึ่งเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมเดินทางมาหลายประเทศแล้ว ผมรู้สึกว่าแต่ละที่มันมีเสน่ห์อะไรบางอย่างทำให้เรากลับมาคิดและสร้างแรงบันดาลใจกับก้าวใหม่ๆ ให้กับชีวิตของเราได้ แต่ก็ขอเลือกประเทศที่โค้งมันน้อยกว่านี้หน่อยนะครับ (หัวเราะ)
เรื่องนี้ต้องถ่ายทำกับเด็กๆ ด้วยเป็นอย่างไรบ้าง
ใช่ครับ ผมไม่เคยเล่นละคร หรือภาพยนตร์ที่ต้องเล่นกับเด็กเยอะขนาดนี้ ส่วนตัวแล้วผมโอเคกับเด็กอยู่แล้ว ทีมงานอาจจะเหนื่อยหน่อยที่ต้องดูแลเด็ก คือพอคัททีนึงก็ต้องเอาขนมไปป้อนทีนึง ดูแลเด็กอย่าให้เด็กร้อนอย่าให้เด็กเหนื่อย อย่าให้เด็กหิว อย่าให้อะไรอย่างงี้ ซึ่งน้องๆ ก็เก่งก็น่ารักกัน แต่จังหวะหมดแกหมดจริงๆ คือเด็กเนี่ยเวลาแกหมดอย่าไปจูนแก ปล่อยแกนอน หรือไม่ก็ยกแกออกจากที่ตรงนั้น ไม่งั้นแกจะยืนบิด แล้วแกจะไม่เอาบท จะบิดอะไรอย่างงี้ ก็เป็นอีกหนึ่งครั้งเหมือนกันที่ผมเองก็มีความสุขในความทุกข์ของทีมงาน ผมก็นั่งดูเด็กด้วยความเพลิดเพลินดูเด็กร้องไห้ แต่ทีมงานนั่งเครียด ผมก็มีความสุข รู้สึกว่ามันส์ดี (หัวเราะ)
ฉากไหนยากสุดตั้งแต่ที่ถ่ายทำกันมาในเรื่องนี้สำหรับแดน
อย่างที่บอกไปตอนต้นคือความยากของเรื่องนี้คือมันยากที่คาแรกเตอร์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทั้งเรื่องมีมวลของความยากทั้งเรื่องอยู่แล้วทั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคาแรกเตอร์ของตัวพระเอก เรื่องของมุมมองความรัก ที่รักกันแต่ไม่รู้ว่ารัก ใช่ไม่ใช่ รักหรือเปล่า มันเล่นยากครับ มันมีชั้นของความเป็นดราม่าอยู่ที่ทำให้เล่นยาก ต่อไปอุปสรรคของความสามารถในเรื่องเปียโน มีอยู่วันนึงเป็นวันที่ต้องเล่นเปียโน และคุยกับนางเอกไปด้วย คือผมเองไม่เคยเล่นเพลงคลาสิคมาก่อน ต้องมาเล่นเพลงคลาสิคในเรื่องนี้ด้วย ก็มีต้องไปซ้อมกันมาก่อนในช่วงเวลาที่มันบีบรัด แต่ไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนี้ พอถึงเวลาถ่ายทำจริงมันสั่น ไม่ได้สั่นเขินนางเอกเล่นนะ แต่สั่นต่อไปมันโน๊ตอะไรหว่า ผมเคยคุยกับพี่โอ๊คว่าขอเล่นอย่างเดียวไม่พูดบทได้ไหม เล่นก่อนแล้วค่อยมาพูดบทอีกทีนึง พี่โอ๊คก็บอกว่าไม่ได้มันต้องเล่นไปคุยไปมองไปอะไรอย่างงี้ครับ ต้องดูเป็นโปรเฟชชั่นนอล (หัวเราะ) สรุปฉากนั้นก็หลายเทคมากนานมาก จนแบบหลอนไปเลย หลอนกับเพลงๆ นี้ไปเลย แต่มันออกมาได้เราก็ดีใจที่เราทำมันได้สำเร็จอะไรอย่างงี้ครับ
แล้วมีฉากไหนประทับใจเป็นพิเศษบ้างไหม
ผมว่าแทบจะทุกซีนที่ผมไปถ่ายทำ มันเป็นเรื่องของประทับใจเกี่ยวกับโลเกชั่น โลเกชั่นที่ได้เดินทางมาภาคเหนือ คือผมไปผมแทบไม่ได้ถ่ายรูปตัวเองเก็บไว้เลย ผมจะปล่อยให้หนังเรื่องนี้เป็นการรวมภาพประทับใจของผมเอง ที่ผมไม่ต้องมีรูปภาพ แต่ผมมี DVD บลูเลย์ 3D ทำหรือเปล่า (หัวเราะ) มีทุ่งบัวตองลอยมาที่หน้าเก็บเอาไว้แค่นั้นก็พอนะครับ เพราะแต่ละที่มันโดดเด่นที่ตัวมันเอง และการถ่ายทำส่วนใหญ่ถึงจะมีอุปสรรคแต่ก็เป็นอุปสรรคที่เรียกความประทับใจ รอยยิ้มได้ ทุกคนกังวลแต่ไม่มีใครเครียดกับมันจนเกินเหตุ ติดหมอกติดฝนก็ยังหาอย่างอื่นมาคุยมาทำกันจนมันผ่านทุกอย่างไปด้วยดี
พอเล่นไปสักพักแล้ว รู้สึกว่าบทแบบนี้เหมาะกับเราไหม
คงเป็นเรื่องของการตัดสินของผู้ชมครับ แต่โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้วครับโรแมนติกหรือคอเมดี้ เพราะว่ามันถ่ายง่าย มันไม่เหนื่อย ไม่หนัก ไม่ร้อนมาก ไม่ต้องขึ้นสลิง ไม่ต้องต่อยตีกับใคร จริงๆ นะ ชอบมาก ติดต่อมารีบรับเลยโรแมนติกคอเมดี้เนี่ย (หัวเราะ)
แสดงว่าก็ต้องชอบดูภาพยนตร์แนวนี้ด้วยเหมือนกันหรือเปล่า?
ใช่ครับ จริงๆผมเป็นคนที่ชอบเรื่องราวมุมมองของความรัก แล้วการทำงานหรือภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดออกมาจากมุมมองความรัก ผมว่ามันมีค่าเพราะว่าความรักเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่เป็นความรักของเพื่อน พ่อแม่ ครอบครัว หรือหนุ่มสาวก็ตาม ผมจะชอบดูเรื่องราวแบบนี้ ดูแล้วมีความสุขที่ได้เห็นคนมีความรักให้กันและกัน มีเรื่องของคนที่ทะเลาะกันแล้วคืนดีกัน ผมรู้สึกว่าผมชอบดูหนังที่โรแมนติก หรือแบบฟีลกู๊ด เรื่องที่มีความรักดีๆ ประทับใจให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
มุมมองความรักของแดนเป็นยังไง
คือถ้าเป็นนิยามของความรัก ผมจะมองว่าความรักมันคือความเข้าใจนะครับ ผมแค่รู้สึกว่าคนเราถ้ารักกันแล้ว เราเข้าใจกันทุกอย่างมันไม่มีปัญหาเลย มันเข้าใจว่าแฟนเราเป็นคนนิสัยยังไง เป็นคนแบบนี้นะ ชอบพูดเสียงดังในเวลาหิว ขี้โวยวาย ขี้งอนนะ พอรู้แบบนี้เราก็จะไม่โกรธกัน ไม่ทะเลาะกัน แฟนเรานอนกรนสำเนียงแปลกๆ เราก็จะเข้าใจว่าเขาเป็นแบบนี้ เราจะไม่รู้สึกหยึย หรือรังเกียจหรือรับไม่ได้ นี่แหละครับผมว่าความรักคือความเข้าใจกัน ถ้าทุกคนเข้าใจกันทุกอย่างมันจะดีเอง
เชื่อในรักแท้ไหม
รักแท้มีจริงครับผมว่า แต่อาจจะน้อยลงสมัยนี้ พรหมลิขิตก็คงมีแต่อันนี้ไม่กล้ายืนยันเพราะว่าไม่รู้มันเรียกว่าอะไรกันแน่ ไม่รู้ว่าพรหมลิขิตหรือความบังเอิญ แล้วอีกอย่างที่อยากจะพูดคือวัยรุ่นยุคหลังๆ มองเห็นความรักเป็นเรื่องฉาบฉวยครับ จะพูดคำว่ารักบางทีมันง่ายมาก บางทีไม่มองหน้ากันก็บอกรักกันได้แบบพอรู้จักกันก็ฉันรักคุณแล้ว บีบีหากัน ส่งเมล์เล่นเอ็มต่างๆ นานา รักกันโดยยังไม่เห็นหน้า มันเลยทำให้ทุกอย่างมันดูมีคุณค่าน้อยลงสำหรับเด็กยุคนี้ ซึ่งมันควรจะมีหนังที่เพิ่มมุมมองสร้างคุณค่าของความรักให้เด็กยุคนี้ได้เยอะๆ มันก็คงจะดี เด็กสมัยนี้จับมือกันง่าย ผู้หญิงผู้ชายถูกตัวกันเป็นเรื่องปรกติ ความอยากรู้อยากลองของเด็ก รสนิยมหรือว่าความคิดของเด็กมันเปลี่ยนไป เมื่อก่อนกว่าจะสัมผัสร่างกายกันได้บางคนอาจต้องแต่งงานกันก่อนด้วยซ้ำ หรือการรักนวลสงวนตัวของคนสมัยก่อนเป็นเรื่องที่ถูกอบรมกันมา มันไม่ต้องเคร่งครัดกันจนเกินไปแบบสมัยก่อนก็ได้ แต่สมัยนี้โลกมันเปลี่ยนไป ถ้าใครยังรักนวลสงวนตัวอยู่จะรู้สึกว่า อี๋ ซึ่งมันไม่ถูก คิดแบบเก่ากันเหอะ มันทำให้ตัวเองดูมีคุณค่าขึ้นนะ ในมุมมองของผมจากที่เราพูดเรื่องความรักกันมา ก็ไม่ได้ตั้งใจจะโยงเข้าประเด็นของภาพยนต์ แต่นี่คืออีกเหตุผลนึงที่ผมรับเล่นภาพยนต์เรื่องนี้ เพราะว่านี่แหละครับมันเป็นการถ่ายทอดมุมมองความรักที่มันควรจะเป็น ให้กับวัยรุ่นยุคนี้ได้รับรู้กันว่า ความรักมันควรจะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ศึกษากัน ทำความเข้าใจ ทำความรู้จักมุมมองต่างๆ ของเขา สิ่งแวดล้อมของเขา ก่อนที่จะตัดสินใจบอกรักเขาไป หรือว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับเขานานๆ แล้วภาพยนต์เรื่องนี้เป็นแบบนั้น เขาใช้เวลาศึกษากันทำความเข้าใจกัน จนเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกัน วินและหมอกเขาก็ใช้เวลาด้วยกันก่อนที่จะพูดคำว่ารักกันออกมา
เรื่องเพลงบ้างทำไมถึงหันมาสนใจการแต่งเพลงภาพยนตร์เรื่องนี้?
ในเรื่องวินต้องเป็นคนเขียนเพลงนี้ขึ้นมา ซึ่งผมอยากให้คนดูได้รับรู้ว่า มันเกิดจากตัวนักแสดงคนนึงที่รู้สึกอย่างนั้นที่ถ่ายทอดออกมาจริงๆ ในเมื่อเปียโนเราก็เล่นกันเอง เพราะฉะนั้นการถ่ายทอดอะไรดีๆ ของเรื่องนี้อย่างเพลงประกอบภาพยนต์มันน่าจะเป็นเรา ซึ่งผมก็ได้โจทย์นี้มานานแล้ว กับเพลงที่ชื่อว่า “เพลงรักที่ไม่มีคำว่ารัก” ได้โจทย์มานานแล้วแต่ไม่แต่งสักที ไม่ใช่ว่าต้องรอฟิลอะไรนะครับแต่ว่ามันอยากจะรอให้ตัวเองได้ซึมซับกับความรู้สึกของภาพยนต์ ของสถานที่ต่างๆ ที่เราได้ไป ให้เรารู้สึกเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้มีคุณค่ากับชีวิตเรา เราเริ่มรู้สีกดีกับเขา เริ่มรู้สึกกับสิ่งต่างๆ ผมถึงเริ่มลงมือเขียน ตอนนั้นก็เริ่มต้นจากการเขียนท่อนฮุคก่อนเพราะแต่งต่อตอนนั้นเลยก็ไม่ได้ คิดไม่ออก ตอนแรกก็คิดไว้ว่าจะรอให้หนังจบก่อนแล้วจะคิดต่อ แต่เพราะว่าต้องมีฉากคอนเสิร์ตแล้วเราต้องเล่นเพลงนี้จริง แต่จะไม่เขียนเดี๋ยวนั้นที่ได้โจทย์มา ก็ต้องรอให้เรารู้สึกกับสิ่งต่างๆ จริงก่อนอย่างที่บอก มันจะได้ถ่ายทอดมาได้อย่างเข้าใจจริงๆอย่างอินโทรเพลงนี้ผมก็นั่งคิดตอนที่นั่งเล่นเปียโนอยู่ที่ปายกับฉัตร แล้วอยู่ๆ อินโทรนี้ก็ผ่านเข้ามาในหัว ผมก็เล่นอินโทรขึ้นมาแล้วก็ถามพี่โอ๊คว่าโอเคกับอินโทรอันนี้ไหม ถ้าโอเคผมก็อัดเอาไว้ พี่โอ๊คบอกเอาชอบ
วางแผนอะไรไว้กับวงการภาพยนต์และวงการเพลงไว้บ้าง...
คงไม่มีแผนอะไรที่แน่ชัดและตายตัว แต่คงชัดตรงที่ว่าเราทำในสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกดีรู้สึกว่าตัวเองทำแล้วมีความสุขในช่วงเวลานั้น แล้วก็น่าจะสร้างความสุขให้กับคนในช่วงเวลานั้นได้ ผมคงไม่วางว่าปีนึงจะเล่นหนังเรื่องนึงหรือว่าปีละเรื่อง หรือทำเพลงอัลบั้มนึงปีนึงอะไรแบบนี้ คือแค่อยากรู้สึกว่าเจอบทที่มันใช่ อาจจะ 3 ปีแล้วเจอบทๆนึง แต่เรารู้สึกว่ามันมีความสุขแล้วคนน่าจะชอบเราเล่นแบบนี้ผมถึงจะเล่น เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะต้องยอมว่าอาจจะมีกินน้อยหน่อย (หัวเราะ) แต่เราต้องมั่นใจว่าเราจะถ่ายทอดมันออกมาได้ดีกว่า
ไม่คิดจะเป็นนักแต่งเพลงภาพยนตร์กับเขาบ้างหรอ
ยังไม่คิดครับ เรายังไม่มีเวลาอยู่กับชิ้นงานใดมากๆ เพราะการแต่งเพลงเพลงนึงมันใช้สมองเยอะ ถ้าจะให้ดีเราต้องเข้าไปซึมซับกับนักแสดงกับตัวบทภาพยนตร์มันถึงจะออกมาภาพชัดที่สุด ซึ่งเราคงไม่มีเวลามากขนาดนั้น ผมขอทำเป็นงานอดิเรกดีกว่า
อยู่ในวงการมานาน อยากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในวงการเราบ้าง
เมื่อหลายปีมาแล้ว หนังไทยสามารถฝ่าวิกฤตมาได้ จนคนไทยเริ่มยอมรับการดูภาพยนตร์ไทยขึ้นมาเยอะมาก เพราะฉะนั้นเมื่อเราเริ่มสร้างศัทธาให้กับคนไทยได้ อย่าให้คนดูเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย...กลับไปดูหนังฝรั่ง หนังเกาหลีอย่างเดิมดีกว่า เพราะว่าคนไทยเริ่มคิดน้อยลง ไม่ได้พาดพิงถึงใครเลยนะครับ ผมแค่อยากจะบอกผู้กำกับหรือว่าทีมงานหลายๆท่านว่า เมื่อคุณมีโอกาสที่จะสร้างสรรค์ผลงานเต็มที่กับมันนะ ตั้งใจกับมันละเอียดกับมันเลือกมุมมองที่ดีๆ ที่คิดว่าสร้างสรรค์ให้กับคนดูได้จริงๆ ละเอียดกับมันนิดนึง สร้างศรัทธาให้กับแฟนภาพยนตร์อีกครั้ง แล้ววงการภาพยนตร์ไทยมันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่าพยายามปล่อยชิ้นงานที่ทำให้คนดูผิดหวัง ทำมันให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าทำให้เวลาและงบประมาณมันมาบีบคั้นมาก ส่วนมุมมองที่อยากจะบอกคนดู แค่อยากจะบอกให้คนดูเลิกเปรียบเทียบระหว่างภาพยนตร์ไทยและภาพยนตร์ฝรั่ง คืออย่างภาพยนตร์แอ็คชั่นหรืออะไรก็ตาม ที่เขาบอกว่าทำไมทำซีจีได้แค่นี้ ต้องเข้าใจก่อนว่าภาพยนตร์ไทยมันมีงบประมาณมากสุด 100 ล้าน หรือ 50-60 ล้าน สำหรับการทำคอมพิวเตอร์เอฟเฟคต่อเรื่องนึง แต่ต่างประเทศเขามีเป็นพันๆ ล้าน ซึ่งแน่นอนมันไม่มีทางเทียบเท่ากันได้ เราก็ดูที่ความตั้งใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกันดีกว่า เมื่อเราให้กำลังใจกันแล้ว เมื่อวงการเรามันพัฒนาไปมากขึ้นรับรองว่าคุณจะได้ดูหนังที่มันมีโปรดักชั่นเทียบเท่าสักที ก็ฝากเอาไว้ด้วย เป็นกำลังใจให้กับคนทำภาพยนตร์ และดูหนังทุกคน
ส่วนวงการเพลงเราคงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก เพราะเราก็คงห้ามเรื่อง CD เถื่อนไม่ได้อยู่แล้ว ช่างแข็งแกร่งมากจริงๆ เราขอคารวะท่าน แต่วันนี้เราสะใจมากที่ CD เถื่อนโดนดาวน์โหลดเข้าไป จ๋อยเลยครับ CD เถื่อนโดนก๊อป CD เพลงออริจินัล โดนซีดีเถื่อนก๊อป บิทเทอเรนก๊อปซีดีเถื่อน ขายกันแบบว่าขาดทุนกันยับ นี่ไงรู้ซะบ้างว่ามันเป็นยังไงก็คงไม่ต้องพูดอะไรมาก มันก็อยู่ที่วิจารณาณของผู้บริโภคงานแหละว่าจะให้ศิลปินอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน
มีอะไรอยากฝากกับคนดูกับผลงานภาพยนตร์ในครั้งนี้บ้าง
อยากจะฝากผลงานเรื่องเดอะเมโลดี้ รักทำนองนี้ไว้ด้วยครับ เหตุผลที่ต้องเข้าไปดูในฐานะนักแสดงคนนึง ในมุมมองของผมอยากจะบอกว่าคุณเข้าไปจะได้รับรู้เรื่องราวดีๆ ได้รับรู้และซึมซับกับความรักที่บริสุทธิ์ทั้งของพระเอกนางเอก และเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถ้าใครที่เป็นคนชอบหนังภาพสวย ค่อนข้างมั่นใจว่าคุณจะได้เห็นสิ่งนั้น ไปฟังเพลงกันเพราะๆ กัน นี่เป็นอีกเรื่องนึงที่ภาพยนตร์มีเพลงที่มีความหมายดีๆ ความหมายที่สร้างสรรค์ให้คนหันมารักกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาแบบนี้ที่ต้องการให้คนไทยทุกคนรักกันมากๆ เพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้กันต่อๆ ไป ก็หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับภาพยนตร์เรื่องเดอะเมโลดี้ รักทำนองนี้กันทุกๆ คนครับ