MOVIE: แวมไพร์ ทไวไลท์ The Twilight Saga : Breaking Dawn #1

ข่าวบันเทิง Thursday November 3, 2011 16:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--3 พ.ย.--สหมงคลฟิล์ม ประเภท Romantic / Action คำโปรย Forever is Only the Beginning กำหนดฉาย 24 พฤศจิกายน 2011 บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง วิค ก็อดฟรีย์ (Eclipse, New Moon, Twilight) กำกับ บิล คอนดอน (Dreamgirls, Kinsey, Gods and Monsters) เขียนบท เมลิสซ่า โรเซนเบิร์ค (Eclipse, New Moon, Twilight, Step Up) นำแสดง โรเบิร์ต แพททินสัน (Eclipse, New Moon, Twilight, Remember Me) คริสเต็น สจ๊วต (Eclipse, New Moon, Twilight, The Runaways) เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ (Eclipse, New Moon, Twilight, Valentine’s Day) จูเลีย โจนส์ (Eclipse, Hell Ride, Black Cloud) แม็คกี้ เกรซ (ซีรี่ย์ Lost, Taken) รัตติกาลดำเนินสู่จุดตัดสินการตัดสินครั้งสุดท้ายของหัวใจสงครามครั้งใหญ่ที่สุดแห่งรัตติกาลกำลังจะอุบัติ เนื้อเรื่อง รักนิรันดร์จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น... มหากาพย์ แวมไพร์ ทไวไลท์ ที่ทุกคนรอคอยกลับมาอีกครั้งกับ The Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 1 ที่จะสร้างปรากฏการณ์แห่งความรักที่สะกดใจผู้ชมทั่วโลกอีกครั้ง ในภาคนี้ เบลล่า (คริสเต็น สจ๊วต) และ เอ็ดเวิร์ด (โรเบิร์ต แพททินสัน) และครอบครัวที่พวกเขารัก ต้องรับมือกับผลกระทบของการตัดสินใจที่จะรวมกันเป็นหนึ่ง จากการแต่งงาน สู่ฮันนีมูนอันแสนงดงาม จนถึงการตั้งท้อง ที่นำมาซึ่งอันตรายและหัวใจที่แตกสลายของหมาป่าหนุ่ม เจคอบ (เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์) ด้วยความโรแมนติก แรงใจ ความมุ่งมั่น ความกล้า และการต่อสู้ จากที่ผ่านมาทั้งสามภาค The Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 1 ถือเป็นบทแรกของ แวมไพร์ ทไวไลท์ ภาคสุดท้าย ที่จะถ่ายทอดถึงเรื่องราวของรักแท้ มิตรภาพที่ไม่มีจุดสิ้นสุด การเสียสละ การยอมรับ และการค้นหาตัวตน จากวรรณกรรมชุดของ สเตฟานี่ เมเยอร์ ที่จำหน่ายไปกว่า 50 ประเทศ ขายไปได้มากกว่า 116 ล้านก้อปปี้ทั่วโลก และยังอยู่ในตารางหนังสือขายดีของ นิวยอร์ค ไทมส์ ถึง 302 สัปดาห์จนถึงปัจจุบัน The Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 1 กำกับโดยผู้กำกับรางวัลออสการ์ บิล คอนดอน (Dreamgirls, Gods and Monsters) จากบทภาพยนตร์ของ เมลิสซ่า โรเซนเบิร์ค (Twilight, New Moon, Eclipse) นำแสดงโดย คริสเต็น สจ๊วต, โรเบิร์ต แพททินสัน, เทยเลอร์ เลาท์เนอร์ และทีมนักแสดงชุดเดิมจากทั้งสามภาค จุดเริ่มต้นของบทสุดท้ายแห่งปรากฏการณ์ แวมไพร์ ทไวไลท์ ที่นำแสดงโดย คริสเต็น สจ๊วต, โรเบิร์ต แพททินสัน และ เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ เล่าเรื่องของ เบลล่า วัยรุ่นสาววัย 17 ที่ย้ายมาอยู่กับพ่อของเธอในเมืองฟอร์คส เธอกลายเป็นจุดสนใจของ เอ็ดเวิร์ด เพื่อนร่วมชั้นเรียนลึกลับที่พยายามไม่เข้าใกล้เธอ แต่ทั้งสองก็ไม่สามารถหักห้ามความรู้สึกได้ จนกระทั่งเขาได้บอกความจริงกับเธอว่าตัวเองและครอบครัวเป็นแวมไพร์ และทำให้เรื่องยุ่งยากไปกว่านั้น เมื่อเพื่อนสนิทของ เบลล่า อย่าง เจคอบ ก็เป็นหมาป่า ที่ถือเป็นศัตรูคู่อาฆาตของแวมไพร์ ภาพยนตร์ภาคแรก Twilight เข้าฉายในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2008 ซึ่งก็กลายเป็นหนังบล็อคบัสเตอร์ที่หลายคนคาดไม่ถึง ทำให้ผู้สร้างไฟเขียวสร้างภาคต่อออกมาอย่าง The Twilight Saga: New Moon เข้าฉายวันที่ 20 พฤศจิกายน 2009 และภาคสาม The Twilight Saga: Eclipse เข้าฉายวันที่ 30 มิถุนายน 2010 โดยทั้งสามภาคทำรายได้รวมไปกว่า 1.8 พันล้านเหรียญทั่วโลก ในหนังสือ The Twilight Saga: Breaking Dawn — Part 1 ติดตามการเดินทางของตัวละครหลักทั้งสามคนสู่การเป็นผู้ใหญ่ ทุกอย่างเริ่มต้นในวันสุดท้ายก่อนงานแต่งงานระหว่าง เบลล่า และ เอ็ดเวิร์ด โดยผู้อำนวยการสร้าง วิค ก็อดฟรีย์ เล่าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภาคนี้ว่า "ตอนสุดท้ายของ Eclipse พวกเราปล่อยให้ เบลล่า และ เอ็ดเวิร์ด อยู่ในทุ่งหญ้าพูดถึงการแต่งงาน เราจึงเริ่มต้นภาคนี้ด้วยฉากที่ทุกคนได้รับการ์ดเชิญ ซึ่งนำไปสู่พิธีแต่งงานที่ทั้งโลกรอคอย ก่อนที่เราจะมุ่งหน้าไปบราซิลเพื่อถ่ายฉากฮันนีมูน แต่จากนั้นปัญหาก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อการตั้งท้องของ เบลล่า เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง" เรื่องราวในภาคนี้ได้ลงไปสำรวจประเด็นที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทั้งเรื่องของการแต่งงาน การเป็นครอบครัว และการทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่คุณรัก สเตฟานี่ เมเยอร์ ผู้แต่งวรรณกรรมอธิบายว่า "ฉันชอบเรื่องราวที่ตัวละครมีพื้นที่ในการเติบโต ฉันไม่อยากให้พวกเขาเป็นเหมือนเดิมตลอดเวลา ทุกอย่างต้องมีพัฒนาการ ฉันอยากพาเรื่องราวของ Twilight ไปจากรุ่นสู่รุ่น จากวัยรุ่นก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ" เมเยอร์ ถือเป็นคนสำคัญที่ทีมงาน Twilight ขาดไม่ได้ โดยสามภาคที่ผ่านมาเธอก็มักจะอยู่ในกองถ่าย ก็อดฟรีย์ เล่าว่า "เมื่อใดก็ตามที่เรามีคำถามเกี่ยวกับโลกของ Twilight ไม่ว่าเธอจะอยู่ตรงนั้นหรือไม่ เราก็จะติดต่อหาเธอ เธอได้ดูสิ่งที่เราถ่ายทำทั้งหมด สเตฟานี่ เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับนักแสดง ที่บางทีอาจมีคำถามเกี่ยวกับแรงจูงใจ และอีกอย่างก็คือเธอเข้าใจในกระบวนการหนังมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ทำให้พวกเราทำงานด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดในภาคนี้" ด้วยความที่หนังสือ Breaking Dawn ที่ถูกแบ่งออกเป็นมุมมองของ เบลล่า และ เจคอบ มีความยาวถึง 754 หน้า ทำให้ทีมสร้างไม่มีทางเลือกนอกจากต้องแบ่งหนังออกเป็นสองภาค เพื่อที่จะได้เก็บรายละเอียดได้อย่างครบถ้วน เมลิสซ่า โรเซนเบิร์ก ผู้เขียนบทจากทั้งสามภาค อธิบายว่าถึงการแบ่งว่า "เมื่อฉันได้อ่านหนังสือ ช่วงเวลาที่ดวงตาของ เบลล่า เปลี่ยนเป็นสีแดงทำให้ฉันรู้สึกเลยว่า นี่แหละคือจุดที่พวกเราจะแบ่งเรื่องราวออกเป็นสองภาค นั้นคือชีวิตของ เบลล่า ในฐานะมนุษย์ และชีวิตของเธอในฐานะแวมไพร์ มันคือโลกที่แตกต่างกันสำหรับเธอ" โรเซนเบิร์ก เล่าต่อว่า "The Twilight Saga: Breaking Dawn — Part 1 ให้ความสำคัญตรง เบลล่า ในการสร้างครอบครัว และใน Part 2 ก็เป็นเรื่องของการปกป้องสิ่งนั้น Part 1 เกี่ยวกับการออกจากบ้าน การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การเป็นภรรยา การเป็นแม่ และการยืนหยัดด้วยตัวเอง Part 1 จะจบลงในช่วงเวลาที่ เบลล่า ตื่นขึ้นมาเป็นแวมไพร์ Part 2 จะเป็นผลกระทบจากการตัดสินใจของเธอ" เป็นธรรมเนียมของ Twiligt Saga เมื่อแต่ละภาคก็จะมีผู้กำกับใหม่เข้ามาใส่ลายเซ็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น แคทธาลีน ฮาร์ดวิค จาก Twilight, คริว ไวซ์ จาก New Moon และ เดวิด สเลด จาก Eclipse โดยใน Breaking Dawn ก็ได้ผู้กำกับมือรางวัลออสการ์ บิล คอนดอน เข้ามารับหน้าที่ในสองภาคสุดท้าย ก็อดฟรีย์ พูดถึงการเลือกผู้กำกับว่า "สำหรับ Breaking Dawn พวกเราโชคดีที่มีผู้กำกับชื่อดังมากมาย เสนอตัวเข้ามากำกับสองภาคสุดท้าย พวกเราเคยติดต่อไปหา บิล คอนดอน ให้มาทำทั้ง New Moon และ Eclipse ดังนั้นเมื่อเราเริ่มเตรียมงาน Breaking Dawn โชคดีที่เขาว่างและให้ความสนใจที่จะได้เข้ามากำกับ เขาบอกกับเราว่าตัวเอง imprint กับโลกของ Twilight แล้วจากทุกภาคที่ผ่านมา ซึ่งนั้นก็เป็นคำเปรียบเทียบที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเหมาะกับหน้าที่นี้ที่สุด" คอนดอน พูดถึงสาเหตุที่เขาต้องการเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องว่า "สิ่งที่ทำให้ผมสนใจก็คือ แต่ละภาคล้วนมีอารมณ์ที่แตกต่างกัน ผู้กำกับแต่ละคนด้นำแนวทางของตัวเองเข้ามาใส่ในหนัง ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะติดต่อกันเป็นเรื่องยาว แต่พวกเขาก็มีอิสระในการนำความรู้สึกของตัวเองเข้ามา ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ในภาคนี้จะแตกต่างออกไปจากทุกภาค ในขณะเดียวกัน Part 2 ก็ยังมีความแตกต่างออกไปจากภาคนี้ นี่จึงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับผม" คอนดอน ได้พูดถึงความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นในภาคนี้ว่า "ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่การแต่งงาน การฮันนีมูน ทุกอย่างถูกสั่งสมมาจนถึงองค์สุดท้าย มันจะสร้างความรู้สึกที่น่าพอใจ เหมือนกับหนังของ วินเซนต์ มิเนลลี่ เหมือนกับหนังโรแมนติสุดคลาสสิกของฮอลลิวู้ด ที่ถูกผสมผสานเจ้ากับหนังระทึกขวัญที่น่าตื่นเต้น ไอเดียของทั้งสองสิ่งเข้ามาผสมผสานกันในตอนสุดท้าย และเปลี่ยนเป็นอะไรบางอย่างที่พิเศษ และนั้นก็เป็นเพียงแค่ครึ่งนึงของ Breaking Dawn" ก็อดฟรีย์ ได้เสริมในสิ่งที่ผู้กำกับพูดว่า "ในภาคนี้อันตรายหลักไม่ได้มาจากเพียงแค่สิ่งที่อยู่ในท้องของ เบลล่า แต่ยังรวมถึงฝูงหมาป่าแห่งควิลยูต ที่มุ่งหน้ามาที่บ้านของคัลเลนเพื่อจัดการกับเด็ก เมื่อการกำเนิดของเด็กคนนี้จะถือเป็นการทำลายสัญญาที่ทำไว้ระหว่างแวมไพร์และหมาป่า พวกเขาต้องรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นในฟอร์คส ก่อนที่ภาคสองนั้นทุกคนก็จะต้องรับมือกับกลุ่มแวมไพร์โวลตูรี่" ในบรรดาผู้กำกับที่เข้ามาทำ Twilight บิล คอนดอน ถือเป็นคนที่มีผลงานที่น่าประทับใจที่สุด เขาเคยได้รางวัลออสการ์มาแล้วจาก God and Monster และเคยกำกับ Dreamgirl ที่เข้าชิงออสการ์มาแล้วถึง 8 สาขา ก็อดฟรีย์ พูดถึงการทำงานของเขาว่า "ความสามารถของ บิล นั้นไม่ต้องพิสูจน์แล้ว เขาหาแนวทางที่งดงามในการถ่ายทอดตัวละครของเรา ทั้ง คริสเต็น, ร็อบ, เทย์เลอร์ และทุกคนต่างก็อยู่กับหนังเรื่องนี้มานานกว่า 3 ปีแล้ว แต่ บิล ก็ยังสามารถหาแง่มุมที่พวกเขาคิดไม่ถึงมาก่อนเข้ามาใส่ในตัวละครได้" คริสเต็น สจ๊วต ที่รับบทเป็น เบลล่า พูดถึงผู้กำกับว่า "ขอบคุณพระเจ้าสำหรับ บิล คอนดอน เมื่อคุณต้องการใครสักคนที่เข้าใจในรายละเอียด ที่คุณไม่ต้องทำความเข้าใจแต่ปล่อยให้รู้สึกไปกับมัน การได้ทำงานกับผู้กำกับแต่ละคนเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม มันเหมือนกับคุณได้มิตรภาพเพิ่มขึ้นมา บิล ไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่เขาก็ยังเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถที่สุดอีกด้วย" โรเบิร์ต แพททินสัน ที่รับบทเป็น เอ็ดเวิร์ด คัลเลน ก็เห็นด้วยกับ สจ๊วต "บิล ยอดเยี่ยมมาก เขามีภาระหน้าที่ที่หนัก ในการเข้ามาสานต่อเรื่องราว รวมถึงตารางการถ่ายทำที่ทรหด แต่เขาก็ยังใจเย็น เป็นกันเอง และเข้าใจความรู้สึกของนักแสดง ผมคิดว่าเขาเป็นผู้กำกับที่มีพรสวรรค์ที่สุด และยังมีแรงใจกับสิ่งที่ทำอีกด้วย" เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ ที่รับบทเป็นหมาป่าหนุ่ม เจคอบ ได้พูดถึงตัวผู้กำกับว่า "ความสำคัญอันดับหนึ่งของ บิล ก็คือตัวละคร มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นใน Breaking Dawn และเราก็ต้องการใครสักคนที่เข้ามาถ่ายทอดมันออกมาได้ มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ตัวละครของพวกเราเติบโตขึ้นอย่างมาก มันเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่ง เพราะว่าพวกเราใช้ชีวิตร่วมกันมานานกว่า 4 ปีกับตัวละครนี้" เมเยอร์ ได้พูดถึงความคาดหวังของแฟนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งงานแห่งศตวรรษที่จะเกิดขึ้นในภาคนี้ "ฉันหวังว่าใน Part 1 สาวกทไวไลท์จะรู้สึกว่างานแต่งงานนั้นงดงามตามที่จินตนาการไว้ ฉันหวังว่าทุกคนจะมีอารมณ์ร่วมไปกับความรักของ เบลล่า และ เอ็ดเวิร์ด และรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นแขกร่วมงานแต่ง ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นความรู้สึกที่ดี" --------------เบลล่า, เอ็ดเวิร์ด และ เจคอบ สถานภาพความรักที่เปลี่ยนแปลง-------------- คริสเต็น สจ๊วต, โรเบิร์ต แพททินสัน และ เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ กลับมารับบทเป็น เบลล่า, เอ็ดเวิร์ด และ เจคอบ ที่สร้างชื่อให้กับพวกเขาอีกครั้ง โดยผู้กำกับ บิล คอนดอน ก็พบว่ามันเป็นงานที่ท้าทายในการแนกนำแนวทางให้กับทั้งสาม "แน่นอนว่าพวกเขามีความรู้เรื่องตัวละครมากกว่าผม แต่ผมก็รู้สึกดีใจที่พวกเขามีความเป็นมืออาชีพและเปิดรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาเสมอ นี่ถือเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่พวกเราจะเข้ามารับบทนี้ ผมก็เลยอยากทำให้ทุกอย่างถูกต้อง" คริสเต็น สจ๊วต พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภาคนี้ว่า "มันเป็นช่วงเวลาที่แฟนๆ Twilight ทุกคนรอคอย นั้นคืองานแต่งงาน ฮันนีมูน และการให้กำเนิด สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันรู้สึกกังวล ไม่ใช่เพียงแค่การถ่ายทอดสภาพจิตใจของ เบลล่า แต่ก็ยังรวมถึงตัวฉันเองด้วย โดยเฉพาะการเตรียมงานแต่งก็ทำให้ฉันรู้สึกกระวนกระวายที่สุด มันเป็นคนเป็นเรื่องยากในการทำให้ทุกคนพอใจ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นโอกาสเดียวที่ฉันจะได้ทำอะไรแบบนี้" สจ๊วต พูดถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในภาคนี้ว่า "ในที่สุด เบลล่า และ เอ็ดเวิร์ด ก็มีความสุขไปชั่วกาลนาน (หัวเราะ) โดยแต่ละภาคพวกเขาอาจมีความสุข แต่ก็มีบางอย่างเข้ามาทำลายทุกครั้ง ในภาคนี้พวกเราต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่หนักกว่าเดิม แต่มันก็เป็นครั้งแรกที่คุณจะไม่มีคำถามว่า เบลล่า และ เอ็ดเวิร์ด เหมาะที่จะอยู่ด้วยกันหรือไม่" โรเบิร์ต แพททินสัน เล่าถึงช่วงเวลาสำคัญที่ทุกคนรอคอยใน Part 1 ว่า "ฉากงานแต่งถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดใน Twilight Saga ผมคิดว่า เอ็ดเวิร์ด ขอเธอแต่งงานไปซักห้าสิบครั้งแล้ว (หัวเราะ) ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสั่งสมมาเพื่อช่วงเวลานี้ เอ็ดเวิร์ด รู้สึกตื่นเต้น ผมคิดว่านี่คือจุดแรกที่สร้างความเข้มแข็งให้กับความสัมพันธ์ของ เบลล่า และ เอ็ดเวิร์ด" ฉากแต่งงานถือเป็นช่วงเวลาที่สร้างอารมณ์ประทับใจให้กับทุกคน สจ๊วต พูดถึงความรู้สึกว่า "ทุกอย่างเหมือนจริงมาก ครั้งแรกที่ฉันเดินเข้าสู่แท่นพิธี ก่อนที่ตัวเองจะสวมชุดแต่งงาน ฉันเห็นนักแสดงทุกคนนั่งอยู่ในม้านั่งร่วมพิธี ฉันแทบอยากเดินไปขอบคุณพวกเขาที่มางานแต่งของฉันเลย (หัวเราะ)" ในขณะเดียวกัน เจคอบ ที่ต้องหัวใจสลายเมื่อผู้หญิงที่เขารักกำลังจะแต่งงาน เขาไม่ได้เข้ามาร่วมในพิธีการ แต่ตัดสินใจโผล่มาในช่วงหลัง เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ อธิบายว่า "หลังจากที่ได้การ์ดเชิญเขาก็เข้าไปอยู่ในป่า เบลล่า ไม่รู้ว่า เจคอบ อยู่ที่ไหน จนกระทั่งเขาปรากฏตัวในช่วงเวลาหลังพิธีแต่ง เขามาขอเต้นรำและต้องการบอกลาเธอ เพราะเขาคิดว่าเธอจะเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ในคืนนั้น แต่เมื่อเขารู้ว่าเธอไปจะฮันนีมูนในฐานะมนุษย์นั้นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกโกรธ และเมื่อ เอ็ดเวิร์ด เข้ามาแทรกทั้งสองก็ต้องต่อสู้กันอีกครั้ง" สเตฟานี่ เมเยอร์ ผู้แต่งหนังสือ แวมไพร์ ทไวไลท์ เล่าถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้ เจคอบ โกรธว่า "เบลล่า วางแผนที่จะไปฮันนีมูนกับ เอ็ดเวิร์ด ในร่างของมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายเพราะเขาแข็งแรงกว่าเธอมาก ดังนั้นการทำอะไรผิดพลาดนิดเดียวก็อาจทำให้เธอบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เจคอบ เข้าใจและรู้สึกโกรธที่เธอต้องการที่จะเสี่ยงแบบนั้น" อย่างไรก็ตามนี่คือการตัดสินใจของ เบลล่า และ เอ็ดเวิร์ด พวกเขาเตรียมตัวไปฮันนีมูนกันที่ เอสเม่ เกาะส่วนตัวของตระกูลคัลเลนในประเทศบราซิล แต่การตัดสินใจที่จะรวมกันเป็นหนึ่ง กลับกลายชนวนของปัญหาที่เกิดขึ้นตามมา เมื่อ เบลล่า พบว่าตัวเองตั้งครรภ์ และเด็กในครรภ์ก็ทำให้ชีวิตของ เบลล่า ตกอยู่ในอันตราย โรเบิร์ต แพททินสัน เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ว่า "พวกเขารีบกลับมายังบ้านคัลเลน เมื่อเขารู้สึกวิตกเกี่ยวกับการตั้งท้องระหว่างแวมไพร์และมนุษย์ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่มีใครเคยพบกับปรากฏการณ์แบบนี้ มันเป็นไปไม่ได้ และ เอ็ดเวิร์ด ก็ไม่สามารถโน้มน้าวใจ เบลล่า ให้ทำสิ่งที่น่าจะเป็นทางออกทีดีที่สุด ความสัมพันธ์ของพวกเขามาถึงจุดที่ตึงเครียดที่สุด" สจ๊วต อธิบายต่อว่า "เอ็ดเวิร์ด คิดว่านี่คือคำสาป ในขณะที่ เบลล่า คิดว่านี่คือปาฏิหาริย์ พวกเขามีความรู้สึกแตกต่างกัน เขาคิดว่าสิ่งนี้จะคร่าชีวิตของผู้หญิงที่เขารัก แต่เธอก็มั่นใจว่าตัวเองแข็งแรงพอที่จะมีลูกคนนี้ ฉันคิดว่า เบลล่า ต้องตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ผู้หญิงในวัยนี้ไม่ค่อยเจอกันนัก แต่ฉันก็รู้จักพ่อแม่วัยรุ่นหลายคน ดังนั้นฉันจึงเข้าใจถึงความรู้สึกนี้ ฉันเข้าใจถึงความรู้สึกของการต่อสู้เพื่อชีวิตที่จะเกิดขึ้น คุณจะปล่อยให้สิ่งคุณทุ่มเทแรงใจออกไปได้ยังไง" อันตรายจากการตั้งครรภ์ที่ไม่ปกติของ เบลล่า ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง เอ็ดเวิร์ด และ เจคอบ เปลี่ยนไป เมื่อทั้งสองต้องร่วมมือกันเพื่อโน้มน้าวใจของ เบลล่า โดย แพททินสัน เล่าว่า "จริงๆแล้วทั้ง เอ็ดเวิร์ด และ เจคอบ ไม่ต้องการเป็นเพื่อนกัน แต่พวกเขาต่างก็ต้องการให้ เบลล่า ปลอดภัย และคิดว่าเธอเสียสติไปแล้วที่ตัดสินใจอย่างนั้น เจคอบ ต้องการให้ เบลล่า สละเด็กคนนี้พอๆกับที่ เอ็ดเวิร์ด ต้องการ" แล้วเรื่องการตั้งท้องนี้เอง ก็เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ แซม และฝูงหมาป่าแห่งควิลยูต พุ่งเป้าหมายมายังครอบครัวคัลเลน อย่างไรก็ตาม เจคอบ ก็ไม่ได้นิ่งเฉย เลาท์เนอร์ เล่าว่า "เจคอบ เป็นสมาชิกของวูล์ฟแพ็คที่นำโดย แซม แต่การตัดสินใจของหัวหน้าฝูงทำให้ เจคอบ ต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้อง เจคอบ ต้องเติบโตขึ้นและเป็นนายของตัวเอง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สนับสนุนกับการตัดสินใจของ เบลล่า แต่เพื่อไม่ให้ แซม และสมาชิกคนอื่นเข้ามาทำร้ายเธอ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแยกตัวของมา" เจคอบ ตัดสินใจตั้งวูล์ฟแพ็คใหม่ พร้อมกับสองพี่น้องเคลียร์วอเตอร์อย่าง เซธ และ ลีอาห์ เพื่อที่จะได้รับมือกับฝูงหมาป่าของ แซม โดย เลาท์เนอร์ เล่าต่อว่า "ผมกลายเป็นเพื่อนกับครอบครัวของคัลเลน รวมถึงสองคนที่ไม่ชอบหน้าผมมากที่สุดอย่าง เอ็ดเวิร์ด และ โรซาลี (หัวเราะ) มันอาจใช้เวลาสักพักแต่เราก็กลายเป็นพันธมิตรกัน มันน่าทึ่งที่ได้เห็น เจคอบ เติบโตขึ้นจากการใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เขาได้กลายเป็นพวกคัลเลนและอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวที่แข็งแรง ผมคิดว่าภาคนี้ให้ความสำคัญไปที่พัฒนาการของตัวละครมากที่สุด" สำหรับฉากการคลอด บิล คอนดอน ก็ได้พูดถึงแนวทางในการถ่ายทำว่า "ตั้งแต่แรกเลย ผมต้องการถ่ายทำจากแค่มุมมองของ เบลล่า พวกเราจะไม่ให้เห็นอะไรไปมากกว่าสิ่งที่ เบลล่า เห็นในช่วงเวลานั้น เอ็ดเวิร์ด จะออกไปนอกเฟรมและคุณอาจได้ยินอะไรบางอย่าง จากนั้นเขากลับมสเข้าเฟรมพร้อมกับเลือดเต็มตัว ถ้าคุณอ่านหนังสือก็จะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่ได้อ่านคุณก็จะอยากรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ผมหวังว่าพวกเราคงถ่ายทอดออกมาอย่างเที่ยงตรง" สจ๊วต พูดถึงสองฉากที่เธอรู้สึกว่าท้าทายที่สุดในภาคนี้ "ฉากแต่งงานและฉากกำเนิด เรเนสมี สองช่วงเวลานี้แทบทำให้ฉันแยกออกไปเสี่ยงๆ เมื่อทุกอย่างมันจบไปแล้ว ฉันอธิบายไม่ถูกเลยว่ารู้สึกโล่งใจแค่ไหน ฉันสามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้เลยเมื่อคิดถึงมัน (หัวเราะ) มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่ได้ทำสิ่งที่สร้างอารมณ์ร่วมมากที่สุดในภาคนี้" ผู้อำนวยการสร้าง ก็อดฟรีย์ รู้สึกตื่นเต้นแทนสาวกที่จะได้เห็นตอบจบของ Part 1 ที่จะทำให้พวกเขาตั้งตารอ Part 2 อย่างใจจดใจจ่อ "ในช่วงสุดท้ายของ Part 1 มันจะเกิดสองเหตุการณ์อันตรายพร้อมกัน ในขณะที่ เบลล่า กำลังจะตายจากการคลอด ขณะเดียวกันฝูงหมาป่าก็บุกมาถึงบ้านคัลเลน ทั้ง เจคอบ และ เอ็ดเวิร์ด ต่างพยายามที่จะช่วยชีวิต เบลล่า ทั้งจากภายในและอันตรายนอกบ้าน พวกเราคิดว่ามันเป็นไคลแม๊กซ์ที่จะทำให้คนดูนั่งไม่ติด และต้องการติดตามต่อในภาคสุดท้ายอย่างแน่นอน" เลาท์เนอร์ ก็เห็นด้วยกับ วิค "ในช่วงเวลาที่ เบลล่า เจ็บท้องคลอด ทุกอย่างก็กลายเป็นความโกลาหล มันมีการต่อสู้ระหว่างแวมไพร์และหมาป่าบริเวณบ้าน ในขณะที่ เบลล่า ก็ต้องต่อสู้กับเด็กในท้องของเธอ ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดในแฟรนไชส์ Twilight และก็ยังมีตอบจบที่ทำให้ทุกคนต้องการดู Part 2 ต่อทันที" ครอบครัวคัลเลน จุดศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมด สมาชิกครอบครัวคัลเลน ต่างก็ได้ทีมนักแสดงหน้าเดิมกลับมา ไม่ว่าจะเป็น ปีเตอร์ ฟาซิเนลลี รับบทเป็น คาร์ไลล์, อลิซาเบ็ธ รีซเซอร์ รับบทเป็น เอสเม่, นิคกี้ รีด รับบทเป็น โรซาลี, เคลแลน ลัทส์ รับบทเป็น เอ็มเม็ต, แอชลี่ย์ กรีน รับบทเป็น อลิซ และ แจ็คสัน รัทซ์โบน รับบทเป็น แจสเปอร์ ในภาคนี้ อลิซ เป็นผู้รับหน้าที่ในการเตรียมงานแต่ง โดย เอ็ดเวิร์ด และ เบลล่า อนุญาตให้เธอจัดการทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพิธีการ กิจกรรมหลังงาน รวมถึงแขกที่เชิญ ผู้อำนวยการสร้าง วิค ก็อดฟรีย์ เล่าว่า "ในขณะที่ เบลล่า เป็นเจ้าสาวในงานนี้ แต่ชุดเจ้าสาวรวมถึงการเตรียมงานทุกอย่างจัดการโดย อลิซ ซึ่งจะออกมางดงามและอลังการที่สุดตามสไตล์ของเธอ" แอชลี่ย์ กรีน พูดถึง อลิซ ที่ตื่นเต้นกับงานแต่งจนเผลอๆจะมากกว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเสียอีก "อลิซ ต้องการให้งานแต่งออกมาน่าประทับใจที่สุด เหมือนกับงานใน A Midsummer's Night Dream ของ วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ เธอเตรียมทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ชุดที่ เบลล่า จะใส่ไปฮันนีมูน ทุกคนรู้ว่า อลิซ เป็นคนชอบวางแผน แต่ในที่สุดเราก็จะเห็น อลิซ ได้ลงมือทำทุกอย่างตามแผนซะที" ในขณะเดียวกันแม่ของครอบครัวคัลเลนอย่าง เอสเม่ ก็เป็นคนช่วยเหลือด้วย อลิซาเบ็ธ รีซเซอร์ ที่เป็นคนรับบทเล่าว่า "เอสเม่ วางแผนร่วมกับ อลิซ เพื่อให้พิธีเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่สุด มันเป็นครั้งแรกที่ เอสเม่ ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ในขณะที่เธอปล่อยให้ อลิซ ทำหน้าที่หลัก เอสเม่ ก็จัดการในเรื่องสถานที่จัดงาน โดยบริเวณข้างบ้านของคัลเลนก็มีสวนและแม่น้ำที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการจัดงาน" ในขณะที่ อลิซ เป็นแม่งาน แจสเปอร์ คนรักของเธอก็พร้อมทำทุกอย่างที่เธอต้องการ โดย แจ็คสัน รัทซ์โบน เล่าว่า "ถึงแม้ แจสเปอร์ จะไม่เข้าใจในทุกสิ่งที่ อลิซ กำลังทำ แต่เขาก็พร้อมสนับสนุนเธอเต็มร้อย ด้านที่น่ารักของ แจสเปอร์ ก็คือความรู้สึกที่เขามอบให้กับคนที่รัก ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เขาพร้อมที่จะสู้จนตายเพื่อครอบครัวของเขา และในฉากงานแต่งคุณก็จะได้เห็นด้านที่สนุกของเขามากขึ้น" ในการเตรียมงาน อลิซ ก็ได้ใช้พลังของ เอมเม็ต ในการเตรียมงาน แม้กระทั่ง โรซาลี เองก็ยังเข้ามาช่วยด้วย นิกกี้ รีด เล่าว่า "ถึงแม้ โรซาลี จะไม่เคยเห็นด้วยกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าถ้ามันทำให้ เอ็ดเวิร์ด มีความสุขเธอก็จะช่วย และอีกประการก็คือ โรซาลี ชอบงานแต่งอยู่แล้ว เพราะเธอก็เคยมีความหลังเกี่ยวกับงานแต่ง" ในขณะเดียวกัน โรซาลี ที่เป็นปฏิปักษ์กับ เบลล่า มาโดยตลอด ก็กลับเป็นคนให้กำลังใจเธอ ในช่วงเวลาที่ เบลล่า ตั้งท้องหลังจากกลับมาจากฮันนีมูน ก็อดฟรีย์ เล่าว่า "โรซาลี สนับสนุน เบลล่า ที่จะเก็บเด็กในท้องเอาไว้ เนื่องจากเธอรู้สึกเสียใจที่ตัวเองไม่เคยมีลูกมาก่อน มันใช้เวลาถึงสี่เล่มกว่าที่ โรซาลี และ เบลล่า เข้าใจกัน เพราะตลอดเวลา โรซาลี ไม่เข้าใจว่าทำไมถึง เบลล่า ถึงอยากสละสิ่งที่ตัวเองเป็นขนาดนั้น ตอนนี้เธอเข้าใจและก็ต้องการสนับสนุนทางเลือกของ เบลล่า เพราะเธอเข้าใจถึงความรักแบบนี้" ในขณะเดียวกันคนรักของ โรซาลี อย่าง เอ็มเม็ต ก็สนับสนุนกับการตัดสินใจของเธอ เคลแลน ลัทส์ เล่าว่า "เอ็มเม็ต ทำทุกอย่างตามที่ โรซาลี ต้องการ เขาเองก็ต้องการทำให้ผู้หญิงที่เขารักมีความสุข มันยอดเยี่ยมที่ได้เห็น นิกกี้ แสดงแง่มุมของความเป็นแม่ในตัว โรซาลี ออกมา" แต่สิ่งที่อยู่ในครรภ์ ทำให้ เอสเม่ และ คาร์ไลล์ ต้องสืบลึกเข้าไปในตำนานแวมไพร์ พยายามหาข้อมูลถึงสิ่งที่อยู่ในท้องของ เบลล่า โดย ปีเตอร์ ฟาซิเนลลี่ ที่รับบทเป็น คาร์ไลล์ เล่าว่า "การตั้งครรภ์ของ เบลล่า ทำให้ คาร์ไลล์ รู้สึกตกใจ เพราะเขาไม่เคยพบกับปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อน เขาไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในท้องของเธอ เครื่องมือแพทย์ชนิดต่างๆก็ไม่สามารถบอกได้คืออะไร ซึ่งการไม่รู้อะไรก็ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นระหว่าง เอ็ดเวิร์ด และ เบลล่า" หลังจาก เจคอบ แยกตัวออกมาจากฝูง นี่จึงเป็นโอกาสที่ทำให้เขามีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวคัลเลนมากขึ้น เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ เล่าว่า "ในสามภาคที่ผ่านมา ผมไม่มีโอกาสร่วมฉากกับพวกคัลเลนมากเท่าไหร่นัก แต่ในภาคนี้ผมมีกับทั้ง แอชลี่ย์, นิกกี้, แจ็คสัน, เคลแลน, ปีเตอร์ และ อลิซาเบธ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยอดเยี่ยม ผมใกล้ชิดพวกเขามากขึ้น คุณจะไม่เคยเห็น เจคอบ ในด้านนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องเยี่ยมที่ได้เห็นเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว" ฟาซิเนลลี่ ก็เห็นด้วยกับ เลาท์เนอร์ "เจคอบ กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา คาร์ไลล์ ไม่เคยมีปัญหากับ เจคอบ แต่สมาชิกคนอื่นอาจเคยมี แต่ในภาคนี้เราต้องร่วมมือเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน เหมือนกับศัตรูทางสายพันธุ์ ที่ต้องมาร่วมมือเพื่อเป้าหมายหนึ่งเดียว และสุดท้ายมันก็ทำให้การเป็นศัตรูกันจางหายไป" ครอบครัวคัลเลนต้องอยู่ในบ้านเพื่อปกป้อง เบลล่า โดยมีฝูงหมาป่าที่ต้องการทำร้ายเธออยู่ภายนอก ซึ่งสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการต่อสู้ของสองเผ่าพันธุ์อีกครั้ง รัทซ์โบน เล่าว่า "ผมรู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้ถ่ายทำฉากต่อสู้ ผมเข้ามาแสดงเป็น แจสเปอร์ เพื่อที่จะแสดงในฉากสงครามแวมไพร์ที่อยู่ใน Eclipse ฉากต่อสู้ถือเป็นสิ่งที่ผมรอคอยมาโดยตลอด เพราะเขาเกิดมาเป็นทหาร ภาคนี้คุณก็จะได้เห็นเขาสู้อีกครั้งกับหมาป่าตัวใหญ่ ผมชอบที่ได้แสดงด้านที่ดุดันของ แจสเปอร์" นักแสดงที่รับบทเป็นสมาชิกครอบครัวคัลเลน ต่างก็มั่นใจในฝีมือของผู้กำกับ นิคกี้ รีด เล่าว่า "ผู้กำกับแต่ละคนมีความชัดเจนในแนวทางของตัวเอง แต่ บิล คอนดอน ถือว่าเป็นอีกระดับหนึ่งเลย ไม่เพียงแต่เขาจะยอดเยี่ยมเมื่อได้ร่วมงานด้วย เขายังเข้าใจและตอบคำถามของคุณได้ทุกข้อ เขามีทัศนคติที่ดีและพลังงานที่ทำให้พวกเราตื่นเต้นกับการแสดง" ลัทส์ ก็พูดถึงสไตล์การทำงานของ คอนดอน ว่า "ครั้งแรกที่เราซ้อมบทกับ บิล เขาให้ผมพูดถึงตัวละคร เพราะว่าพวกเรารับบทเป็นตัวละครนี้มาสามครั้งแล้ว เขาจึงอยากรู้ว่าเราเห็นอะไรในตัวละครของตัวเองบ้าง และอยากทำอะไรกับพวกเขาในภาคนี้ บิล มีไอเดียที่น่าสนใจและก็นำเข้ามาปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ" แอชลี่ย์ กรีน ก็กล่าวชื่นชมในตัวผู้กำกับว่า "การทำงานร่วมกับเขายอดเยี่ยมมาก บิล เป็นคนมีความอดทน ใจดี และก็มีพรสวรรค์ นี่เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดที่เราทำงานใน Twilight ฉันอยากร่วมงานกับเขาในโปรเจ็คอื่น เพราะว่าเมื่อคุณเข้ามาในกองถ่าย เขาก็จะเป็นคนที่ทำงานหนักที่สุด และคุณจะรู้สึกได้เลยว่าเขารักในสิ่งที่ตัวเองทำ" แอชลี่ย์ กรีน พูดถึงการร่วมงานกับทีมนักแสดงทั้งหมดว่า "พวกเราอยู่ด้วยกันมายาวนาน และรู็สึกเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน เรามีสิ่งที่เชื่อมถึงกันซึ่งทำให้ความรู้สึกห่วงใย เบลล่า ในภาคนี้เข้าถึงได้มากขึ้น" รัซท์โบน เสริมว่า "ในภาคแรกพวกเราทั้งหมดมาจากพื้นเพที่ต่างกัน แต่ความแตกต่างก็เป็นสิ่งที่เชื่อมเราเข้าด้วยกัน ผมรู้สึกภูมิใจในทีมนักแสดงนี้ และสิ่งที่พวกเขาได้ทำเพื่อตัวเองและคนอื่น ผมก็รู้สึกโชคดีที่ได้อยู่กับคนกลุ่มนี้" ฟาซิเนลลี่ สรุปว่า "มันไม่เคยมีความรู้สึกว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เพราะพวกเรามีความทรงจำที่ดีระหว่างการถ่ายทำ พวกเราถ่ายทำทั้ง 5 ภาคในระยะเวลา 3-4 ปี มันเหมือนกับว่าเราต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา และทำให้คุณได้พบกับเพื่อนที่ดี ผมเชื่อว่าแม้จะเวลาจะผ่านไปแค่ไหนทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนเดิม" --------------------หมาป่าแห่งควิลยูต ฝูงเก่าเพื่อทำลาย ฝูงใหม่เพื่อปกป้อง------------------- ทีมนักแสดงที่รับบทเป็นฝูงหมาป่าแห่งควิลยูตจาก New Moon และ Eclipse กลับมารับบทอย่างพร้อมหน้า ไม่ว่าจะเป็น แชสเก้ สเปนเซอร์ รับบทเป็น แซม หัวหน้าฝูง, อเล็ก มาราซ เป็น พอล, คิโอว่า กอร์ดอน เป็น เอมบรี้, บรอนสัน เพลเลอเทียร์ เป็น จาเร็ด, ไทสัน เฮ้าส์แมน เป็น คลิล รวมถึง จูเลีย โจนส์ และ บูบู สจ๊วต ที่รับบทเป็น เซธ และ ลีอาห์ เคลียร์วอเตอร์ ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทใน Eclipse และกลายเป็นสมาชิกสองคนที่แยกตัวออกมาพร้อมกับ เจคอบ แชสเก้ สเปนเซอร์ ที่รับบทเป็น แซม ได้เล่าถึงพลังขับเคลื่อนภายในกลุ่มว่า "แซม เป็นอัลฟ่า แต่เขาก็ไม่ควรเป็น เพราะว่า เจคอบ คือผู้สืบทอดที่แท้จริง แต่ แซม เองก็ไม่ต้องการตำแหน่งนี้ เขาแค่ต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเผ่าของตัวเอง ถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงการทำร้ายคนอื่นก็ตาม" เมื่อ เบลล่า กลับมาหลังจากพบว่าตั้งท้องกับแวมไพร์ พันธสัญญาระหว่างสองเผ่าพันธุ์ก็ถึงจุดสิ้นสุด กอร์ดอน ที่รับบทเป็น เอมบรี้ เล่าถึงเหตุการณ์ว่า "พวกเขากลัวว่าเด็กที่เกิดมาจะเป็นอันตราย เนื่องจากเธอเป็นมนุษย์และเขาเป็นแวมไพร์ พวกเราจึงต้องหาทางแก้ปัญหา และทางออก ของ แซม ก็คือจัดการกับต้นเหตุ เจคอบ ไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้เพราะเขารักยัง เบลล่า อยู่ และนั้นก็คือจุดแตกหักระหว่างเขากับ แซม" เมื่อ เจคอบ แยกออกจากฝูง ทั้ง เซธ และ ลีอาห์ ก็ตัดสินใจตามมาด้วย จูเลีย โจนส์ ที่รับบทเป็น ลีอาห์ เล่าว่า "ลีอาห์ เป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าสงสารที่สุดใน Twilight เพราะนอกจากเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่กลายร่างได้ เธอยังอกหักจาก แซม และรู้สึกโกรธตลอดเวลา ใน Breaking Dawn เธอมีช่วงเวลาให้พักหายใจ เพราะอย่างน้อยเธอก็ได้อยู่ห่างจาก แซม" ผู้กำกับ บิล คอนดอน ก็พูดถึงตัวละครของ โจนส์ ว่า "ลีอาห์ เป็นตัวละครที่น่าสนใจและก็ยังน่าเห็นใจ เธอไม่ได้รู้สึกเห็นด้วยกับการกระทำของ เจคอบ แต่ความรู้สึกของการสูญเสียคนรักนั้นเธอเชื่อมถึงได้ นั้นทำให้เธอตัดสินใจตามเขาออกมา ผมคิดว่าทั้ง เลาท์เนอร์ และ โจนส์ สามารถจับความรู้สึกตรงนี้และถ่ายทอดออกมาได้ พวกเขาเป็นนักแสดงที่มีความเข้าใจในตัวละครที่สุด" สมาชิกตระกูลเคลียร์วอเตอร์อีกคน ที่เข้าร่วมฝูงหมาป่าของ เจคอบ ก็คือ เซธ น้องชายของ ลีอาห์ โดย โจนส์ เล่าว่า "เซธ เป็นทุกอย่างที่ตรงข้ามกับ ลีอาห์ (หัวเราะ) เขามีความสุขตลอดเวลา และมีนิสัยเหมือนเด็ก เขายังสนิทสนมกับคัลเลนมากกว่าทุกคนในเผ่าควิลยูต ทุกสิ่งทุกอย่างจะลงเอยด้วยดีในความคิดของ เซธ" บูบู สจ๊วต ที่รับบทเป็น เซธ ได้เล่าถึงสาเหตุที่เขาตัดสินใจแยกตัวออกมาด้วยว่า "เซธ เป็นพวกที่มองโลกในแง่ดี และอยากให้ทุกคนเข้ากันได้ เซธ มอง เจคอบ เป็นเหมือนไอด้อล เขาต้องการเดินตามเส้นทางของ เจคอบ และเขาก็ยังรักพี่สาวอย่าง ลีอาห์ เขาต้องการทำให้แน่ใจว่าเธอจะไม่เป็นอะไร" บูบู สจ๊วต ยังเล่าถึงความสนุกในการร่วมงานกับ โจนส์ ว่า "จูเลีย เป็นผู้หญิงที่น่ารักและสนุก เธอมีการเตรียมตัวและตั้งใจทำงาน เธอถ่ายทำเพียงเทคเดียวหรือสองเทคเท่านั้น และนิสัยของเธอก็ไม่เหมือนกับตัวละครที่รับบทเลย เพราะ ลีอาห์ เป็นคนที่ฉุนเฉียวตลอดเวลา ในขณะที่ จูเลีย เป็นคนตลกและเป็นกันเองมาก" ในขณะเดียวกันทีมนักแสดงที่รับบทเป็นฝูงหมาป่า ก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับใหม่ จูเลีย โจนส์ เล่าว่า "ตั้งแต่นาทีแรกที่ฉันได้พบ บิล ฉันก็รู้สึกถึงความเป็นคนอ่อนโยนและใจเย็นเขามีออร่าที่คอยบอกคุณเสมอว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ฉันรู้สึกได้ว่าคนอื่นก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน" กิล เบอร์มิงแฮม ที่รับบทเป็นพ่อของ เจคอบ ก็พูดถึงผู้กำกับว่า "บิล คอนดอน เป็นผู้กำกับที่ผมชอบที่สุดในทุกภาค แต่คุณอย่าไปบอกใครนะ (หัวเราะ) ผู้กำกับทุกคนต่างก็มีวิสัยทัศน์ แต่ บิล มีความเป็นธรรมชาติที่สุด เขามาที่ห้องพักของนักแสดงทุกคนเพื่อแนะนำตัว ผมรู้สึกถึงความจริงใจ เขามอบพื้นที่ทางความคิดสร้างสรรค์ให้กับนักแสดง คอยฟังไอเดียและแนวทางที่พวกเรานำเสนอ" จูเลีย โจนส์ พูดถึงสิ่งที่ทำให้เธอได้รับจากการแสดงในหนังเรื่องนี้ว่า "ฉันรู้สึกว่าพวกเราเหมือนกับเป็นชนเผ่าเล็กๆ คุณจะได้เห็นคนที่อายุไล่เลี่ยกันเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กัน ทุกคนต่างรักในสิ่งที่ทำ และมันก็เป็นเรื่องเยี่ยมในการได้เป็นส่วนหนึ่งของแฟรนไชส์ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้" อเล็ก มาราซ ที่รับบทเป็นรองหัวหน้าฝูง พอล เสริมว่า "มันเป็นช่วงเวลา 2 ปีที่สนุกที่สุด พวกเราติดต่อกันตลอดระหว่างช่วงที่พักถ่ายทำ สิ่งหนึ่งที่เราได้รับจากประสบการณ์นี้คือการได้เพื่อนเพิ่มขึ้น มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผม ผมได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลก ได้พบกับคนมากหน้าหลายตา" สเปนเซอร์ กล่าวสรุปว่า "ผมรู้สึกซาบซึ้งที่แฟนๆ Twilight ต่างให้การสนับสนุน และหวังว่าพวกเขาจะสนุกกับทุกภาคที่ผ่านมา เพราะสาวกทไวไลท์เราจึงสามารถถ่ายทำได้ครบทุกภาค ได้เปลี่ยนจากนวนิยายขายดีมาเป็นแฟรนไชส์หนังที่ประสบความสำเร็จ ผมคิดว่าตัวเองรู้สึกโชคดีที่สุดที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางนี้" -------------------------------------------มนุษย์ในเมืองฟอร์คส------------------------------------------ บิลลี่ เบิร์ก กลับมารับบทเป็น ชาร์ลี พ่อของ เบลล่า เหมือนเดิม แต่ครั้งนี้คือการกลับมาเป็นพ่อเจ้าสาว เขาเล่าว่า "ชาร์ลี อยู่ในสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าจะเกิดขึ้นกับลูกสาว แต่เขาก็เข้าใจว่าเธอต้องการมีชีวิตเป็นของตัวเอง และก็ต้องการทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ ซึ่งในฐานะพ่อ ชาร์ลี ก็เคารพในการตัดสินใจของเธอ" เบิร์ก เล่าต่อว่า "มันเป็นความเคารพซึ่งกันและกันระหว่าง เบลล่า และ ชาร์ลี ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาในแต่ละภาคที่ผ่านมา เมื่อ คริสเต็น และผมพบในกองถ่าย Twilight ครั้งแรก ความสัมพันธ์ของ เบลล่า และพ่อก็เหมือนกับที่คุณเห็นในหนัง แต่เมื่อเราได้เริ่มทำความรู้จักกัน ความสนิทสนมก็ถูกถ่ายทอดลงไปในตัวตนของ ชาร์ลี และ เบลล่า และทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เติบโตขึ้นตามลำดับ" ในขณะเดียวเพื่อนของ เบลล่า และ เอ็ดเวิร์ด จากโรงเรียนฟอร์คส ก็เป็นแขกรับเชิญในงานแต่งด้วย โดย แอนนา เคนดริก นักแสดงที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ และเพิ่งมีผลงานการแสดงใน 50/50 ก็ได้กลับมารับบทเป็นเพื่อสาว เจสสิก้า รวมถึงคนอื่นๆอย่าง ไมเคิล เวลช์ รับบทเป็น ไมค์, คริสเตียน เซอร์ราโตส รับบทเป็น แองเจล่า และ จัสติน ชอน รับบทเป็น เอริค เคนดริก พูดถึงตัวละครของเธอว่า "เจสสิก้า ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ซึ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรักตัวละครนี้ เธอมีเสน่ห์และความสดใสแบบวัยรุ่น โดยความรู้สึกของเธอที่มีต่อ เบลล่า นั้นก็ยังคงเดิม เธอยังเห็น เบลล่า เป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา ฉันคิดว่า เจสสิก้า เป็นตัวละครที่ทำให้หนังมีอารมณ์ขันมากขึ้น" ไมเคิล เวลช์ รับบทเป็น ไมค์ พูดถึงพิธีแต่งงานว่า "ไมค์ รู้สึกตกใจที่คนหน้าตาดีมากมายปรากฏตัวในเมืองเล็กๆแห่งนี้ (หัวเราะ) เขาเคยจีบ เบลล่า ในภาคที่ผ่านมา แต่ก็พึ่งมารู้สึกตัวว่าต้องต่อสู้กับใคร สำหรับนักเรียนธรรมดาในเมืองเล็กๆ เขาไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้มาจากไหน" คริสเตียน เซอร์ราโตส รับบทเป็น แองเจล่า เพื่อนสาวอีกคนของ เบลล่า พูดถึงงานแต่งงานว่า "ไม่มีฉากงานแต่งในหนังเรื่องไหนที่จะอลังการไปกว่า Breaking Dawn — Part 1 มันทั้งยิ่งใหญ่และสวยงาม เอ็ดเวิร์ด และ เบลล่า อยู่ในจุดที่เป็นเหมือนฝันของสาวๆทุกคน และพวกเราก็ช่วยเติมเต็มจินตนาการให้กับพวกเธอ" ทีมนักแสดงที่รับบทเป็นมนุษย์ต่างก็รู้สึกดีกับการร่วมทำงานกับผู้กำกับ บิล คอนดอน โดย จัสติน ชอน ที่รับบทเป็น เอริค เล่าว่า "เขาเป็นผู้กำกับที่สุภาพและเป็นมิตรกับทุกคน ผมรู้ทันทีเลยว่าเขาเป็นคนที่เชี่ยวชาญในการทำงานกับนักแสดง เขาเปิดรับไอเดียของทุกคน และถ้าคุณเคยดูผลงานของเขาคุณก็จะรู้ว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่ทำ" -------------------กลุ่มแวมไพร์เดนาลี ตัวแปรสำคัญใน Breaking Dawn------------------- ในช่วงเริ่มต้นของ Breaking Dawn — Part 1 เดนาลี กลุ่มแวมไพร์พันธมิตรจากอลาสก้าก็ถูกแนะนำเป็นครั้งแรก โดยสมาชิกของแวมไพร์กลุ่มนี้ก็ได้นักแสดงอย่าง มายแอนนา เบอร์ริ่ง, เคซี่ย์ ลาโบว์ และ แม็กกี้ เกรซ เข้ามารับบทเป็น ทันย่า, เคท และ อิริน่า แวมไพร์สามพี่น้องเชื้อสายรัสเซีย รวมถึง คริสเตียน คาร์มาโก้ และ มิอา แมสโทร ที่รับบทเป็น เอเลอาซาร์ และ คาร์เมน พี่น้องแวมไพร์เชื้อสายสเปน มันถือเป็นความท้าทายของผู้กำกับ บิล คอนดอน ในการแนะนำตัวละครเหล่านี้ ที่จะมีบทบาทสำคัญต่อมาใน Part 2 เขาเล่าว่า "คุณต้องทำให้คนดูจดจำตัวละครเหล่านี้ได้ ผมและ เมลิสซ่า ได้เลือกฉากสำคัญจากหนังสือ เพื่อที่จะทำให้คนดูรู้สึกประทับใจ และจะเป็นชนวนที่นำไปสู่เหตุการณ์ในภาคสุดท้าย โดยเฉพาะการแนะนำสามสาวแห่งเดนาลี ที่จะมีความสำคัญกับเรื่องราวของ เรเนสมี ใน Part 2" มายแอนนา เบอร์ริ่ง พูดถึงตัวละครที่เธอรับบทว่า "ทันย่า เป็นหัวหน้าของกลุ่มแวมไพร์เดนาลี แต่เธอเป็นคนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม (หัวเราะ) มันยอดเยี่ยมมากในการได้แสดงเป็นเธอ เพราะเธอเองก็มีลักษณะและนิสัยที่คล้ายคลึงกับตัวตนของฉัน นั้นคือการเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ" มิอา แมสโทร ที่รับบทเป็น คาร์เมน ก็เล่าถึงประวัติความเป็นมาของกลุ่มแวมไพร์เดนาลีว่า "กลุ่มแวมไพร์เดนาลีมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวคัลเลน เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มแวมไพร์มังสวิรัติเพียงสองกลุ่มบนโลก พวกเรามีความสนิทสนมกับ เอ็ดเวิร์ด เพราะว่าเขามาอาศัยอยู่กับเราที่อลาสก้า ตอนเขาออกจากเมืองฟอร์คสเพราะ เบลล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทันย่า ซึ่งมีความสนิทสนมกับ เอ็ดเวิร์ด มากกว่าใครเพื่อน" เบอร์ริ่ง เสริมต่อว่า "ทันย่า แอบรัก เอ็ดเวิร์ด มายาวนาน ฉันคิดว่าเธอคงรู้สึกแบบเดียวกับที่ เจคอบ รู้สึกกับ เบลล่า เธอคิดว่า เอ็ดเวิร์ด เกิดมาเพื่อคู่กับเธอ แต่ในที่สุดเธอก็เข้าใจและยอมรับว่า เอ็ดเวิร์ด นั้นได้พบรักแท้กับ เบลล่า อย่างไรก็ตามปัญหาในงานแต่งไม่ได้เกิดจาก ทันย่า อย่างที่ทุกคนคิด แต่มันเกิดขึ้นกับ อิริน่า น้องสาวของฉัน" แม็กกี้ เกรซ นักแสดงจาก Taken ที่รับบทเป็น อิริน่า เล่าว่า "อิริน่า เป็นคนรักของ โลรองต์ ซึ่งถูกกลุ่มหมาป่าสังหารใน New Moon และเธอคิดว่าครอบครัวคัลเลนต้องรับผิดชอบ และเมื่อสมาชิกเผ่าควิลยูตปรากฏตัวในงานแต่ง มันก็ยิ่งไปจุดไฟในตัวเธอ ถึงแม้ อิริน่า จะถูกสั่งว่าไม่ให้ก่อเรื่อง แต่ถ้าคุณสูญเสียคนรัก การแก้แค้นก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้" ผู้ชายเพียงคนเดียวในกลุ่มแวมไพร์เดนาลีก็คือ เอเลอาซาร์ ที่รับบทโดย คริสเตียน คาร์มาโก้ นักแสดงจากซีรี่ย์ Dexter โดยเขาพูดถึงสิ่งที่ดึงดูดเขาว่า "มันมีการตีแผ่อารมณ์ในหลายระดับ มันมีเรื่องราวของการสูญเสีย ความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก พ่อและลูก ความรักของหนุ่มสาว ทุกอย่างก็ถูกถ่ายทอดในระดับที่เป็นมนุษย์มากที่สุด มันมีมากมายหลายสิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมถึงได้ เพราะทุกคนต่างเคยสูญเสียใคร เคยรักใคร หรือเคยต่อสู้เพื่อใครมาแล้วทั้งนั้น" คาร์มาโก้ ยังรู้สึกพอใจกับการได้ร่วมงานกับผู้กำกับ บิล คอนดอน "มันยอดเยี่ยมที่ได้ทำงานร่วมกับทีมนักแสดงคุณภาพ หนังที่มีสเกลยิ่งใหญ่ และยังมีผู้กำกับที่ทำงานร่วมกับคุณอย่างใกล้ชิด บิล ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เขานำความรู้สึกของตัวเองเข้ามาใส่ เพราะว่าหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์ ในขณะหนังมีความเข้มข้นและการต่อสู้ระหว่างแวมไพร์และหมาป่า แต่เขาก็ไม่เคยลืมหัวใจของมัน" แมสโทร ก็เห็นด้วยกับ คาร์มาโก้ เธอเล่าว่า "การทำงานร่วมกับ บิล ยอดเยี่ยมมาก เขามีความละเอียดอ่อนและใจดีกับนักแสดงทุกคน พวกเราเป็นทีมนักแสดงที่ใหญ่มาก โดยมีนักแสดงหลักมากกว่า 40 ชีวิต แต่ บิล ก็ไม่ลืมที่จะทักทายและพูดคุยกับทุกคน ฉันคิดว่ามันเป็นงานที่หนักสำหรับเขา เพราะเราต้องถ่ายทำสองภาคติดต่อกัน แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาหัวเสียหรือหงุดหงิดเลย" เกรซ รู้สึกตื่นเต้นที่สาวก Twilight จะได้ดูหนังเรื่องนี้ "ฉันชื่นชมวรรณกรรมชุดนี้ และ สเตฟานี่ ก็ถือเป็นส่วนสำคัญ อีกอย่างก็คือโลกแวมไพร์เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่เสื่อมคลาย ฉันเข้าใจถึงความคาดหวังของแฟนๆที่อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามหนังสือ และฉันคิดว่าภาคนี้ถ่ายทอดออกแบบที่จะไม่ทำให้ใครผิดหวัง" ----------------------เบื้องหลังการถ่ายทำ: การถ่ายทำสองภาคในครั้งเดียว--------------------- The Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 1 เริ่มต้นด้วยเรื่องราวความรักทั้งการแต่งงานและฮันนีมูน แต่ผลลัพท์จากการตั้งท้องก็ได้กลายเป็นชนวน ที่ทำให้หนังมุ่งหน้าไปในสโคปที่ใหญ่ขึ้น และนำไปสู่องค์ที่สามที่ตื่นเต้นเร้าใจกับการต่อสู้ระหว่างครอบครัวคัลเลนและฝูงหมาป่า นี่ถือเป็นความท้าทายเมื่อทีมงานต้องถ่ายทำหนังถึงสองภาคพร้อมกัน นั้นก็คือ The Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 1 และ The Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 2 ที่จะฉายในปี 2012 ทำให้ทีมงานจากต่างสถานที่ต้องทำงานพร้อมกัน โดยมีฐานกำลังหลักอยู่สองจุดนั้นคือ บาร์ตัน โร้ค ในรัฐหลุยเซียน่า ที่ใช้ถ่ายทำฉากภายในสถานที่ และอีกจุดก็คือเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ที่ใช้ถ่ายทำฉากภายนอกสถานที่ รวมถึงทีมงานพิเศษที่มุ่งหน้าไปบราซิล เพื่อถ่ายทำฉากฮันนีมูนของ เบลล่า และ เอ็ดเวิร์ด ทีมงานหลักใช้เวลาถ่ายทำยาวนานถึง 101 วัน โดยผู้ร่วมอำนวยการสร้าง บิล แบนเนอร์แมน เล่าว่า "ความหลากหลายเรื่องสถานในภาคนี้มีเยอะกว่าทุกภาคที่ผ่านมา และยิ่งเราต้องครอบคลุมทั้งสองภาค เราถ่ายทำกันในสามประเทศ โดยมีกองถ่ายทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกองหนึ่ง กองสอง กองแอ็คชั่น กองสถานที่ กองเอฟเฟ็ค และกองอากาศ พวกเราต้องวางแผนกันอย่างละเอียดเพื่อทำให้ทุกอย่างไหลลื่น มันเป็นเหมือนกับการเล่นหมากรุก" อย่างไรก็ตามมันก็ยังต้องมีเรื่องให้คอยแก้ไข บิล คอนดอน ผู้กำกับเล่าว่า "แต่ถึงพวกเราจะมีการวางแผนแล้ว แต่มันก็เกิดเรื่องให้เราต้องขอแก้ปัญหาตลอด อย่างเช่นเราใช้เวลาถ่ายทำที่ บาร์ตัน โร้ค นานเกินไป พอมีฉากที่ต้องถ่ายทำนอกสถานที่ในเมืองแวนคูเวอร์ เวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว มันคือความท้าทายเพราะสถานที่ที่เราสำรองเอาไว้ล้วนแต่มีหิมะหรือไม่ก็ฝนตกหมดแล้ว" คริสเต็น สจ๊วต พูดถึงสาเหตุในการถ่ายทำรวดเดียวว่า "พวกเรามีจุดมุ่งหมายในการถ่ายทำ Breaking Dawn ทั้งสองตอนพร้อมกัน ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกทำเหมือนกับหนังเรื่องยาวเรื่องเดียว ซึ่งเป็นเพราะตัวนิยายนั้นไม่ได้ถูกแยกเป็นสองภาคเหมือนหนัง เราจึงต้องการให้มันเป็นกระบวนการที่ไหลลื่น" เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ เล่าถึงประสบการณ์ในการถ่ายทำสองภาคว่า "บางวันพวกเราต้องถ่ายทำฉากแรกๆของ Part 1 ในตอนเช้า จากนั้นก็มีถ่ายทำช่วงสุดท้ายของ Part 2 ในตอนบ่าย มันบ้ามาก (หัวเราะ) ตัวละครของเรามีการเปลี่ยนแปลงจาก Part 1 ไปสู่ Part 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจคอบ ดังนั้นผมจึงต้องตั้งสติในการปรับเปลี่ยน แต่ก็ยังโชคดีที่มีคนคอยช่วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็น บิล, สเตฟานี่ รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ผมคิดว่านี่คือภาคที่ท้าทายความสามารถของนักแสดงมากที่สุด" ถึงแม้ว่า Breaking Dawn จะมีสเกลขนาดยักษ์ แต่ด้วยทีมงานคุณภาพก็ทำให้ทุกอย่างออกมามีคุณภาพไม่แพ้กัน ผู้อำนวยการสร้าง วิค ก็อดฟรีย์ เล่าว่า "ผมรู้สึกสนุกกับการสนับสนุนบุคลากรคุณภาพให้กับ บิล ในสองภาคนี้เรามีการใช้เอฟเฟ็คที่มากที่สุด และมันก็เป็นหนังที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ บิล เคยทำ ผมจึงอยากให้แน่ใจว่าเขามีคนที่จะช่วยเหลือ เราได้ผู้กำกับภาพรางวัลออสการ์อย่าง กิลเลอร์โม นาวาโร่ รวมถึงผู้ดูแลวิชวลเอฟเฟ็ครางวัลออสการ์อย่าง จอห์น บรูโน่" ก็อดฟรีย์ เสริมต่อว่า "พวกเราโชคดีที่ได้ จอห์น บรูโน่ หลังจากที่เขาทำงานใน Avatar เขาเป็นผู้ดูแลวิชวลเอฟเฟ็คที่เก่งที่สุดในโลก เขารู้ว่ามีสิ่งไหนบ้างที่ควรสร้างด้วยเทคนิกพิเศษ จากนั้นเราก็ติดต่อไปหา นาวาโร่ ที่เป็นผู้กำกับภาพคู่ใจของ กิลเลอร์โม่ เดอ โทโร่ เขาเข้าใจถึงการถ่ายทอดภาพออกมายังไง ที่จะทำให้หนังมีมนต์เสน่ห์มากที่สุด" วิค ก็อดฟรีย์ เป็นผู้อำนวยการสร้างมาตั้งแต่ Twilight ภาคแรก โดยเขาได้เล่าถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาว่า "เมื่อปิดกล้อง Breaking Dawn ผมก็พบว่าพวกเราได้ทำหนังทั้งหมด 5 ภาคภายในระยะเวลา 3 ปี 3 เดือน นับจากวันเปิดกล้อง Twilight จนถึงวันสุดท้ายของการถ่ายทำ Breaking Dawn มันเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง ผมไม่รู้ว่าแฟรนไชส์หนังเรื่องไหนจะสามารถทำเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ได้เหมือนเรา" ครั้งแรกที่ สเตฟานี่ เมเยอร์ เขียนนิยายเรื่อง Twilight ในปี 2003 เธอไม่เคยคาดฝันว่ามันจะกลายเป็นปรากฏการณ์เช่นนี้ "การได้มีส่วนร่วมกับการทำหนังเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้เห็นตัวหนังสือของคุณกลายเป็นภาพเคลื่อนไหว นักแสดงอย่าง คริสเต็น และ ร็อบ ที่เป็นนักแสดงดาวรุ่งในตอนนั้น ตอนนี้พวกเขากลายเป็นคนที่โด่งดังที่สุดในโลก ช่วงเวลาสามปีกว่าถือเป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตที่ฉํนจะไม่มีวันลืม" ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง แบนเนอร์แมน เสริมว่า "จะมีสักกี่ครั้งที่คุณได้เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์แบบนี้ นอกจาก Star Wars หรือ Harry Potter คงไม่มีแฟรนไชส์หนังที่มีสาวกเฝ้าติดตามอย่างเช่น Twilight แฟนๆที่นอนรอหน้าโรงภาพยนตร์ เพื่อที่จะได้ดูหนังเป็นกลุ่มแรก หรือการตั้งแค้มป์ในงานอีเว้นท์ เพื่อที่จะได้สัมผัสกับนักแสดงที่ตัวเองชื่นชอบ สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่คุณเลียนแบบไม่ได้" ก็อดฟรีย์ ก็เห็นด้วยกับปรากฏการณ์ที่น่าทึ่งแบบนี้ "สาวกของหนังเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกทึ่ง เมื่อตอนที่เราไปถ่ายทำที่บราซิล แฟนๆทไวไลท์ก็เรียกได้ว่าคลุ่มคลั่ง มีแฟนๆมากกว่า 250 คนชูป้ายอยู่หน้าโรงแรมที่ ร็อบ และ คริสเต็น มาพัก พวกเขาส่งเสียงเรียกให้ออกมาทักทาย คุณจะไม่เคยเห็นปรากฏการณ์ไหน ที่เทียบเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนังเรื่องนี้อีกแล้ว" ในขณะที่ Part 1 กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ตอนนี้ผู้กำกับ บิล คอนดอน ก็กำลังทำโพสโปรดักชั่นของ Part 2 อย่างขะมักเขม้น เขาสรุปถึงประสบการณ์ทั้งหมดว่า "สำหรับผมแล้ว 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ที่เข้มข้นที่สุดในชีวิต ตั้งแต่การพัฒนาบท การเตรียมงานเพื่อถ่ายทำสองภาคพร้อมกัน มันมีตารางการทำงานที่แน่นมาก โดย Part 1 จะเป็นการปูเรื่องราวที่สำคัญ และเป็นแท่นกระโดดไปสู่ Part 2 ที่เข้าสำรวจโลกของแวมไพร์อย่างเต็มตัว มันมีสเกลที่ยิ่งใหญ่และถือเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวทั้งหมด" -------------------------------------------------ทีมนักแสดง------------------------------------------------- โรเบิร์ต แพททินสัน (รับบทเป็น เอ็ดเวิร์ด) เมื่ออายุ 19 ปี เขาก็ได้รับเลือกให้เล่นเป็น เซดริค ดิคกอรี่ ในภาพยนตร์มหากาพย์พ่อมดเรื่อง Harry Potter & Goblet of Fire แต่ผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักกันมากกว่า สำหรับนักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษคนนี้ ก็คือการรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Twilight ที่เขาสามารถเอาชนะนักแสดงที่เข้ามาทดสอบบทถึง 5,000 คน ก่อนหน้านี้เขายังมีผลงานอย่างเช่น How to Be ชองผู้กำกับ โอลิเวอร์ เออร์วิ่ง (Oliver Irving) ที่ได้รับรางวัล Special Honorable Mention for Narrative Feature ในเทศกาลหนัง Slamdance และยังมี Little Ashes ของผู้กำกับ พอล มอรริสัน (Paul Morrison) ที่เขาเล่นเป็นนักวาดภาพชื่อก้อง ซัลวาดอร์ ดาลี ผลงานต่อมาของ โรเบิร์ต ก็ยังมี Remember Me ภาพยนตร์รักโรแมนติกเรื่องเยี่ยม ที่เขาแสดงคู่กับ เอมิลี่ เดอ ราวิน, เพียร์ส บรอสแนน และ คริส คูเปอร์ โดยในปี 2011 เขาก็เพิ่งมีผลงานที่ผ่านตาเราไปใน Water for Elephant ที่เขานำแสดงร่วมกับ รีส วิทเธอร์สปูน และ คริสตอฟ วอลซ์ และในปี 2012 ก็จะมีผลงานหนังพีเรียดเรื่อง Bel Ami ที่แสดงคู่กับ อูม่า เธอร์แมน อีกด้วย คริสเต็น สจ๊วต (รับบทเป็น เบลล่า) คริสเต็น สจ๊วต คือนักแสดงสาวที่โด่งดังจากการรับบทเป็น "เบลล่า" สาวที่ตกหลุมรักแวมไพร์จาก Twilight และ The Twilight Saga: New Moon โดยเธอยังมีผลงานมากมาย ตั้งแต่แจ้งเกิดจากการรับบทเป็นลูกสาว โจดี้ ฟอสเตอร์ ใน Panic Room ภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่องเยี่ยมของ เดวิด ฟินเชอร์ เช่น Into the Wild ของ ณอน เพนน์ และ Zathura: A Space Adventure ของ จอห์น ฟาฟโรว์ ผู้กำกับ Iron Man ผลงานชื่อดังเรื่องอื่นของเธอก็คือ Adventureland ของผู้กำกับ เกร็ก ม็อตโตล่า ที่ร่วมแสดงกับ ไรอัน เรย์โนลด์ และ เจสซี่ ไอเซนเบิร์ค เธอยังแสดงนำในภาพยนตร์อินดี้เรื่อง The Cake Eaters ของ แมรี่ สต๊วท มาสเตอร์สัน, Yellow Handkerchief ที่แสดงร่วมกับ วิลเลี่ยม เฮิร์ท และ มาเรีย เบลโล่ และบทสมทบในเรื่อง What Just Happened ที่นำแสดงโดย โรเบิร์ต เดอนีโร และ ณอน เพนน์ เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ (รับบทเป็น เจคอบ) ในปี 2008 ชื่อของ เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เมื่อเขาถูกเลือกให้รับบทเป็น เจคอบ แบล็ค หมาป่าหนุ่มแห่งเผ่าควิลยูตใน Twilight ที่ร่วมแสดงกับ โรเบิร์ต แพททินสัน และ คริสเต็น สจ๊วต โดยหลังจากความสำเร็จของ Twilight ก็ทำให้มีภาคต่อออกมาทุกปี ใน The Twilight Saga: New Moon, The Twilight Saga: Eclipse และล่าสุด The Twilight Gaga: Breaking Dawn - Part 1 ที่มีกำหนดฉายในเดือนพฤศจิกายน ปีนี้ เทย์เลอร์ เริ่มเป็นที่รู้จักจากหนังเรื่อง The Adventures of Sharkboy and Lavagirl 3D ของผู้กำกับ โรเบิร์ต โรดริเกวซ ก่อนที่เขาจะมามีบทบาทในภาพยนตร์ครอบครัวเรื่อง Cheaper By The Dozen 2 ที่นำแสดงโดย สตีฟ มาร์ติน และ ฮิลารี่ย์ ดัฟฟ์ ก่อนหน้านี้ เทย์เลอร์ มีผลงานที่อยู่ในจอแก้ว ไม่ว่าจะเป็น My Wife and Kids Summerland, The Bernie Mac Show และ The Nick and Jessica Variety Hour โดยเขายังประสบความสำเร็จในการให้เสียงในแอนิเมชั่นอย่าง Danny Phantom รวมถึง What’s New Scooby-Doo? และ Charlie Brown โดยผลงานทางจอเงิน เขาก็เป็นส่วนหนึ่งใน Valentine’s Day หนังโรแมนติก-คอมเมดี้รวมดาว ปีเตอร์ ฟาซิเนลลี (รับบทเป็น ดร. คาร์ไลล์ คัลเลน) ผลงาน >>> Eclipse, New Moon, Twilight, Finding Amanda, Hollow Man 2, Touch the Top of the World แอชลี่ย์ กรีน (รับบทเป็น อลิซ คัลเลน) ผลงาน >>> Eclipse, New Moon, Twilight, King of California, Shark (ซีรี่ย์), Crossing Jordan (ซีรี่ย์) นิคกี้ รีด (รับบทเป็น โรซาลี คัลเลน) ผลงาน >>> Eclipse, New Moon, Twilight, Thirteen, Mini’s First Time แจ็คสัน รัทซ์โบน (รับบทเป็น แจสเปอร์ คัลเลน) ผลงาน >>> Eclipse, New Moon, Twilight, Big Stan, Senior Skip Day อลิซาเบ็ธ รีซเซอร์ (รับบทเป็น เอสเม่ คัลเลน) ผลงาน >>> Eclipse, New Moon, Twilight, Puccini For Beginners, Grey’s Anatomy (ซีรี่ย์) เคลแลน ลัทส์ (รับบทเป็น เอมเม็ต คัลเลน) ผลงาน >>> Immortals, Eclipse, New Moon, Twilight, Stick It, Prom Night จูเลีย โจนส์ (รับบทเป็น ลีอาห์ เคลียร์วอเตอร์) ผลงาน >>> Eclipse, Hell Ride, Black Cloud แม็กกี้ เกรซ (รับบทเป็น อิริน่า) ผลงาน >>> ซีรี่ย์ Lost, Taken ทีมสร้าง บิล คอนดอน (ผู้กำกับ) คอนดอน คือผู้กำกับที่ได้รับรางวัลออสการ์ สาชาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเรื่อง Gods and Monsters นำแสดงโดย เอียน แม็คเคลแลน และ ลินน์ เรดเกรฟ ที่เขาทั้งเขียนบทและกำกับเอง และยังมีผลงานที่ได้รับทั้งเสียงชื่นชมและทำรายได้งดงามอย่าง Dreamgirls ที่เข้าชิงถึง 8 รางวัลออสการ์ และได้รับมาถึงสองรางวัล รวมถึงยังเข้าชิงรางวัลบนเวทีสำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ลูกโลกทองคำ รางวัลแบฟต้า รวมถึงรางวัลสมาคมนักแสดง คอนดอน เขียนบทและกำกับหนังปี 2005 เรื่อง Kinsey ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก British Directors Guild รวมถึงส่งให้นักแสดงนำอย่าง เลียม นีสัน เข้าชิงรางวัลนำชายบนเวที Los Angeles Film Critics และ ลอร่า ลินนี่ย์ ที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม คอนดอน ยังเขียนบทภาพยนตร์ให้กับหนังที่ได้รับรางวัลออสการ์ประจำปี 2002 อย่าง Chicago ซึ่งตัวเขาเองก็ถูกเสนอชื่อในสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยในปัจจุบันเขาก็กำลังทำโพสโปรดักชั่นให้กับ The Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 2 ซึ่งมีกำหนดฉายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2012 เมลิซซ่า โรเซนเบิร์ค (ผู้เขียนบท) ผลงาน >>> Twilight, Step Up, The O.C., Boston Public, Ally McBeal วิค ก๊อดฟรีย์ (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> Twilight, The Mask, Dumb and Dumber, Behind Enemy Lines, Alien vs Predator กิลเลอร์โม นาวาโร่ (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >>> Pan’s Labyrinth, Hellboy II: The Golden Army, Hellboy ริชาร์ด เชอร์แมน (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ผลงาน >>> Kinsey, Things We Lost in the Fire, Gods and Monsters จอห์น บรูโน่ (ผู้ดูแลวิชวลเอฟเฟ็ค) ผลงาน >>> Avatar, X-Men: The Last Stand, Rush Hour 3, The Abyss ไมเคิล วิลคินสัน (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ผลงาน >>> 300, Sucker Punch, Tron: Legacy, Watchmen

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ